ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 341 ล่อเสือออกจากถ้ำ
ชิวอวี้ที่ยังมีริมฝีปากบิดเบี้ยวยืนทำตัวไม่ถูก
หากแต่ก่อนหลินเมิ้งหยาทำให้เขาคิดว่านางเป็นคนฉลาดเฉลียวแล้วล่ะก็ เช่นนั้นหลินเมิ้งหยาในเวลาเสมือนได้ถอดเปลือกนอกจอมปลอมออกทั้งหมดและคงเหลือไว้เพียงภาพลักษณ์ของหญิงสาวซึ่งมีชีวิตธรรมดาสามัญคนหนึ่ง
นอกจากเขาแล้ว คาดว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนมีชีวิตเรียบง่าย
หญิงสาวที่ทั้งโดดเด่นและงดงามร้องเรียกเจ้านายของตนเองด้วยความเป็นห่วง แต่ท่าทางการแสดงออกกลับสนิทสนมกันดั่งพี่น้อง
ที่นี่หาได้มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ บรรยากาศอบอุ่น ทุกคนล้อมรอบหญิงสาวที่กำลังแย้มยิ้มกว้าง
ภาพบรรยากาศอันแสนอบอุ่นนี้ทำให้เขารู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย
บางทีโลกใบนี้คงจะมีลูกรักของเทพสวรรค์อยู่จริงๆ สินะ
แม้แต่คุณชายผู้เพียบพร้อมเช่นเขายังรู้สึกว่าตนเองมิอาจเทียบกับพวกนางได้
นำยาสมุนไพรที่ท่านป้าป๋ายต้มไว้มาล้างหน้า อาการบวมแดงบนใบหน้าของหลินเมิ้งหยาพลันหมดไป
นี่เป็นอาการแพ้อย่างหนึ่ง แม้จะล้างไม่ออก แต่หลังจากนี้หนึ่งคืนก็จะหายไปเอง
ทว่าหญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามจะปล่อยให้ใบหน้าของตนเองน่าเกลียดน่าชังอับอายผู้อื่นได้อย่างไร?
“ในที่สุดท่านก็กลับมา นายหญิง ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นห่วงท่านมากขนาดไหน”
ป๋ายจื่ออาศัยความอายุน้อยที่สุดเข้าไปเกาะหลินเมิ้งหยาไม่ยอมปล่อย
นางเข้าไปกอดรัดแขนของหลินเมิ้งหยาเอาไว้
“ขอโทษ ข้าทำให้พวกเจ้าต้องเป็นห่วงแล้ว”
หลินเมิ้งหยาหลุบตา เอ่ยเสียงเบาเพื่อปลอบโยนทุกคน
อันที่จริงสิ่งแรกที่นางคิดถึงคือการมายังร้านสามสหาย
หนึ่งเพื่อเพิ่มพลังให้กับตนเอง สองเพื่อรับสาวใช้ของตนกลับไปด้วยกัน
“เอาล่ะ พวกเจ้าปล่อยตัวพระชายาก่อนเถิด เดี๋ยวข้าวจะเย็นเสียก่อน พวกเจ้ากินข้าวอิ่มกันหมดแล้ว นี่หรือว่าพวกเจ้าจะปล่อยให้พระชายาอดตายกันเล่า?”
ท่านป้าป๋ายเอ็นดูหลินเมิ้งหยาที่สุด ดังนั้นจึงเข้าไปเคาะหน้าผากป๋ายจีและป๋ายจื่อคนละที
การถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของพวกนางจึงหยุดลงชั่วคราว หลินเมิ้งหยาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วกินอาหารอย่างรวดเร็ว
“อึก” เสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นแสลงหู
ทุกคนหันไปมองทางต้นเสียงด้วยความสงสัย
ชิวอวี้หยักยิ้มเชิงเกรงใจ ลูบไล้หน้าท้องของตัวเอง ก่อนจะส่งเสียงเบา
“คือว่า…ข้าเองก็ยังไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันเหมือนกัน…”
อาการบิดเบี้ยวบนใบหน้าหายไปแล้ว
ทุกคนที่ได้เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาโดดเด่นพลันตกตะลึง ป๋ายจีซึ่งมีไหวพริบมากที่สุดรีบหมุนตัวเข้าไปในครัวแล้วหยิบถ้วยกับตะเกียบออกมาวางบนโต๊ะ
“ข้าลืมแนะนำให้พวกเจ้ารู้จัก นี่คือเพื่อนที่ข้ารู้จักในวังหลวงนามว่าชิวอวี้ เหตุที่ข้าสามารถกลับมาที่นี่อย่างปลอดภัยได้ก็เพราะเขาคอยช่วยเหลือ”
แม้จะช่วยให้ยุ่งมากขึ้นก็ตาม
แต่หลินเมิ้งหยาหาใช่คนลืมบุญคุณคน คืนนั้นในตรอก ผู้หญิงในชุดดำหมายมั่นจะเอาชีวิตนาง
หากชิวอวี้ไม่ไปพบเจอเข้า ป่านนี้นางคงกำลังนั่งจิบชากับพวกผีน้อยผีใหญ่อยู่ในนรก
“ขอบคุณคุณชายชิวมากเจ้าค่ะ ท่านแม่รีบไปเตรียมกับข้าวเพิ่มเถิด อย่าทำให้คุณชายชิวต้องรอเลย”
ผู้มีพระคุณของหลินเมิ้งหยาย่อมเป็นผู้มีพระคุณของพวกนาง
ทุกคนไม่ว่าหญิง ชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนคิดเห็นเหมือนกันทั้งสิ้น
ท่านป้าป๋ายตอบรับแล้วเตรียมตัวไปทำอาหารอีกสองสามอย่าง ทว่าชิวอวี้กลับร้องห้ามเอาไว้
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ท่านป้ามีฝีมือในการทำอาหารยิ่งนัก แม้แต่พ่อครัวในวังหลวงยังสู้ไม่ได้ ข้ากับพระชายาเป็นเพื่อนกัน ฉะนั้นทุกคนย่อมเป็นเพื่อนกับข้าด้วย อาหารเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
ชิวอวี้ปากหวานซ้ำใบหน้ายังหล่อเหลา ฉะนั้นท่านป้าป๋ายจึงรู้สึกดีกับเขามาก
หลินเมิ้งหยานั่งอยู่บนตั่ง หลังจากกินอิ่มแล้ว หัวใจของนางสงบลงมาก
แม้จะยุ่งวุ่นวายตลอดทั้งวันจนมาถึงร้านสามสหายได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจะจบ
คาดว่าตอนนี้ว่านหลิวถัง เลขที่สิบสามจะต้องถูกคนตรวจสอบอย่างแน่นอน หลังจากทางการทราบข่าว พวกเขาคงรีบส่งคนไปล้อมเอาไว้
ก่อนหน้านั้นคาดว่าพวกคนที่ถูกส่งไปจับตาดูคงพบแต่เพียงความว่างเปล่า จากนั้นพวกเขาจะต้องพังเรือนหลังนั้นอย่างแน่นอน
หากย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อยจะพบว่าชิวอวี้เป็นผู้ส่งคนไปแจ้งทางการเรื่องนี้เอง
ตั้งแต่ครั้งแรกที่คนคุมบังเหียนกลับมา นางรู้ได้ทันทีว่าคนที่กำลังจับตามองนางจะต้องเกี่ยวข้องกับทหารหลวงและไท่จื่ออย่างแน่นอน
ฉะนั้นนางจึงส่งคนไปแจ้งทางการว่าบ้านถูกปล้น ยิ่งไปกว่านั้น นางยังแนะนำให้คนไปแจ้งทางการกุเรื่องเป็นตุเป็นตะและพยายามกระตุ้นโยนความผิดให้กับคนของทางการเพื่อบีบบังคับให้พวกเขาส่งทหารเข้ามา
แต่เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจของหลินเมิ้งหยา นางสั่งให้คนจุดไฟเผาเรือน เท่านี้คนที่มาช่วยดับไฟก็ได้เห็นฉากการเข้าไปในเรือนของพวกทหารหลวงและทหารของทางการด้วย
คาดว่าค่ำคืนนี้คนเหล่านั้นจะต้องอยู่อย่างไม่สงบสุขแน่นอน
คราวนี้นอกจากไท่จื่อจะขโมยไก่ไม่ได้แล้ว คงยังต้องเสียข้าวสารในกำมืออีก
หลังจากอยู่บ้านชิวอวี้นานหลายวัน นางเริ่มคิดได้แล้ว
แม้นางจะไม่ออกหน้า แต่ไท่จื่อและฮองเฮาก็ไม่มีวันปล่อยนางไป
หากฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมา เช่นนั้นไท่จื่อและฮองเฮาคงไม่หยิ่งผยองเช่นนี้อีกต่อไป แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่อาจฝากความหวังทั้งหมดไว้กับผู้อื่นได้
ไท่จื่อและฮองเฮาทำกับนางเอาไว้มากมาย หากนางไม่เอาคืน เช่นนั้นนางก็เสียเปรียบสองแม้ลูกคู่นั้นน่ะสิ
“เจ้าคิดจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ตลอดไปอย่างนั้นหรือ? หรือจะส่งคนไปบอกอ๋องอวี้เพื่อให้เขาส่งคนมารับเจ้า?”
ชิวอวี้ซึ่งกินข้าวจนอิ่มท้องแล้วกระซิบถามหลินเมิ้งหยา
เขากับหลินเมิ้งหยาแตกต่างกัน เหตุเพราะอีกฝ่ายไม่รู้จักตัวตนของเขา งานทุกอย่างล้วนเป็นลูกน้องของเขาไปจัดการ ฉะนั้นเขาจึงสามารถกลับวังหลวงได้โดยไม่ถูกสงสัย
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับแตกต่างกัน คาดว่ารถม้าที่ว่างเปล่าจะต้องถูกพบแล้วอย่างแน่นอน
แต่ถ้าหากนางเผยโฉมออกมา นางจะต้องตกเป็นเป้าอย่างแน่นอน
ที่นี่ถือว่าเป็นสถานที่ปลอดภัย ต้องขอบคุณในความระมัดระวังของนางที่ไม่แสดงออกให้ใครเห็นว่าร้านยาแห่งนี้เป็นของนาง
“ไม่ต้องรีบร้อน คืนนี้จะต้องมีคนกำจัดคนเหล่านั้นทิ้งอย่างแน่นอน สิ่งที่พวกเราต้องทำคือการนอนหลับพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าจึงแอบกลับจวนอวี้”
หลินเมิ้งหยากลับไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อย นางอ้าปากหาว ป๋ายซูหยิบหมอนนุ่มนิ่มเข้ามาวางไว้ให้นางได้พิงหลัง
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเจ้า หรือเจ้ากำลังจะบอกว่ามีคนกำจัดพวกเขาแทนพวกเราอย่างนั้นหรือ? ใครจะมีความสามารถเช่นนั้น แม้แต่หลงเทียนอวี้ก็คงไม่มีทางทำเช่นนั้นได้แน่นอน”
ชิวอวี้เป็นคนฉลาด เขารู้เรื่องในราชสำนักของต้าจิ้นดี
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองเขา ก่อนจะอธิบายเสียงอ้อยอิ่ง
“เจ้าคิดว่าพวกแม่ทัพนายกองที่จงรักภักดีของต้าจิ้นตายไปหมดแล้วอย่างนั้นหรือ? เหตุที่แต่ก่อนไม่มีใครกล้าคัดค้านก็เพราะฮองเฮาและไท่จื่อทำเพียงเบ่งอำนาจแต่เพียงเท่านั้น ทว่าคราวนี้พวกเขากลับใช้ทหารหลวงลุกล้ำเข้าไปในบ้านเรือนของประชาชน สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความน่าอับอายและเป็นการสั่นคลอนจิตใจของราษฎรด้วย! เจ้าจะต้องรู้ว่าราษฎรล้วนเชื่อมั่นในราชสำนัก เหตุเพราะทั้งทหารหรือแม้กระทั่งราชสำนักล้วนดำรงอยู่เพื่อปกป้องประชาชน หากพวกเขารู้ว่าทหารหลวงลุกล้ำข่มเหงปล้นฆ่าประชาชน เช่นนั้นพวกทหารจะแตกต่างจากโจรตรงไหน? ข้าเคยได้ยินประโยคที่ว่าน้ำสามารถพยุงเรือให้ลอยได้ก็สามารถคว่ำเรือได้เฉกเช่นเดียวกัน หัวใจของราษฎรคือความสงบสุขของราชสำนัก แล้วทหารเล่า? หากไม่มีราษฎรคอยหล่อเลี้ยง หากมิได้รับการสนับสนุนจากปุถุชน ทั้งเสบียงหรือกำลังพลก็คงจะหมดไป เหตุใดตอนก่อตั้งบ้านเมืองจึงมีการยกเว้นภาษีและการเกณฑ์แรงงานเล่า? นั่นก็เพราะพวกเขากลัวการก่อจลาจลของประชาชน แต่พอมาวันนี้ราษฎรกำลังถูกข่มเหงจากทหารหลวงซึ่งมิต่างอันใดจากโจร หากข้าเดาไม่ผิด พวกคนของทางการเหล่านั้นเองก็เป็นคนของไท่จื่อใช่หรือไม่?”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ชิวอวี้เหม่อลอยอยู่นาน
เขาไม่ขยับเขยื้อน แต่ทำเพียงจ้องหลินเมิ้งหยานิ่ง ดวงตาเปล่งประกาย
เหตุใดเขาจึงคิดไม่ถึงกันนะว่าหลินเมิ้งหยาจะวางแผนได้อย่างแยบยลเช่นนี้
เขาเพียงพูดถึงทางการครั้งเดียวเท่านั้น หลินเมิ้งหยามิได้เค้นถาม ตอนแรกเขาคิดว่านางมิได้ใส่ใจ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้จะอยู่ในกำมือของนางหมดแล้ว
ถูกต้อง คนของทางการเป็นคนของไท่จื่อ แม้แต่ทหารหลวงเองก็เป็นพวกเดียวกัน
ในสายตาของคนในราชสำนัก คาดว่าพวกเขาจะต้องคิดว่าไท่จื่อไม่พึงพอใจที่คนของตนเองถูกตรวจสอบ ฉะนั้นจึงส่งทหารหลวงไปก่อเรื่องเช่นนี้
พฤติกรรมนี้คืออะไร? อาจเป็นความเอาแต่ใจขององค์ชายผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งแต่เพียงเท่านั้น
ทว่าเขาเป็นถึงองค์รัชทายาท เป็นว่าที่ผู้สืบทอดบัลลังก์คนต่อไปของต้าจิ้นเชียวนะ!
เพียงตรวจสอบคนของเขาก็ถูกทหารหลวงเข้าปล้น นั่นมิเท่ากับว่าหากมีใครไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขา ก็จะถูกเขากำจัดทิ้งหรอกหรือ?
เมื่อใคร่ครวญดู ไท่จื่อเป็นคนกำเริบเสิบสาน หากอนาคตฮ่องเต้ห้ามมิให้เขาทำเรื่องไม่ดี เช่นนั้นไท่จื่อจะก่อกบฏหรือไม่
คราวก่อนในเขาหลิงจู ไท่จื่อไม่คิดสู้ ซ้ำยังหลบหนีเอาตัวรอด ต่อมายังมีข่าวลือฉาวโฉ่อีกมากมาย หากต้าจิ้นมีองค์รัชทายาทเช่นนี้ นั่นมิเท่ากับว่าบ้านเมืองกำลังจะล่มจมหรอกหรือ!
หลินเมิ้งหยามั่นใจว่าไม่มีใครกล้าแตะต้องนาง เหตุเพราะนางรู้ดีว่าเหตุที่ต้าจิ้นตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ก็เพราะอาการประชวรของฮ่องเต้