ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 336 เทศกาลโคมไฟ
วันที่สิบห้าของเดือนนี้ตรงกับเทศกาลโคมไฟ สถานที่แห่งนี้ประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีสันสวยงามละลานตา อีกทั้งยังมีขนมบัวลอยให้ได้กิน
มือของนางถูกมือหนาแห้งกร้านแต่อบอุ่นกุมเอาไว้แน่น หลินเมิ้งหยามิต่างอันใดจากจอกแหน นางเดินตามหลังเขาอย่างว่านอนสอนง่าย
เรื่องของป๋ายซูทำให้หัวใจของนางว้าวุ่น ป๋ายซูจะต้องจำใจทำเรื่องเหล่านี้อย่างแน่นอน แต่ไม่ว่าจะเพื่อป๋ายซูหรือเสี่ยวอวี้ สุดท้ายนางก็ไม่สามารถเก็บป๋ายซูเอาไว้ข้างกายได้
“ยังเสียใจเรื่องของป๋ายซูอยู่หรือ?”
อยู่ๆ เสียงทุ้มต่ำของหลงเทียนอวี้พลันดังขึ้นจากเหนือศีรษะ หลินเมิ้งหยาเงยหน้า เมื่อดวงตาทั้งสองคู่สบกัน นางรู้สึกราวกับถูกดวงตาสีดำคมกริบของเขาดึงดูด
“หม่อมฉัน…พระองค์ก็รู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่เพคะ? พระองค์จะไม่กล่าวโทษหม่อมฉันหน่อยหรือ?”
หลินเมิ้งหยารู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย เหตุเพราะนางเป็นคนพาป๋ายซูเข้าวัง หากเกิดเรื่องขึ้นกับฮ่องเต้ขึ้นมา เช่นนั้นนางจะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“ข้ารู้จักตัวตนของป๋ายซูตั้งแต่แรกแล้ว เหตุที่ข้าอนุญาตให้เจ้าพานางเข้าวังก็เพราะข้ารู้ว่านางไม่มีทางทำอะไรเสด็จพ่อ”
อยู่ๆ หลงเทียนอวี้ก็หันหน้าไป ใบหน้าด้านข้างถูกความมืดบดบัง ฉะนั้นนางจึงมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดเจน
ทว่าความขุ่นเคืองพลันปรากฏขึ้นในหัวใจของหลินเมิ้งหยา
ใบหน้าเย็นชาเล็กน้อย หลินเมิ้งหยาคิดจะดึงมือของตนเองกลับ แต่หลงเทียนอวี้กลับกำเอาไว้แน่น ฉะนั้นมือของนางจึงมิอาจหลุดจากการเกาะกุมของเขาได้
“ในเมื่อพระองค์รู้อยู่แล้ว เหตุใดจึงไม่บอกหม่อมฉันเล่า?”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงต่อว่า แต่ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นหลุดออกไป ความอ่อนล้าพลันกัดกินหัวใจ
อันที่จริงนางเดาเรื่องตัวตนของป๋ายซูเอาไว้แต่แรกแล้ว แต่เหตุที่นางยังพาป๋ายซูเข้าวังก็เพราะนางอยากทดสอบป๋ายซูว่าสุดท้ายแล้วพวกนางยังมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องกันอยู่หรือไม่
แต่ในท้ายที่สุด ไม่ว่านางหรือหลงเทียนอวี้ก็ล้วนสงสัยในตัวของป๋ายซูว่านางจะหักหลังตัวเองหรือไม่
อยู่ๆ รอยยิ้มแข็งทื่อประหนึ่งเครื่องจักรพลันปรากฏบนใบหน้า นางกับหลงเทียนอวี้ล้วนเป็นคนประเภทเดียวกัน
พวกนางคิดว่าตนเองกำลังวางแผนในกระโจม แต่กลับกลายเป็นว่าตนเองได้นำความรู้สึกของคนข้างกายมาพนัน
“อันที่จริงนางไม่อาจลงมือทำอะไรเสด็จพ่อได้ เหตุเพราะนางรู้ดีว่าหากนางลงมือ เช่นนั้นแม้แต่เจ้าเองก็ต้องถูกจับกุม ฉะนั้นนางจึงไม่ทำ”
หลงเทียนอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว
อันที่จริงเขาไม่เข้าใจความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของพวกหลินเมิ้งหยา
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้ดี
ไม่ว่าป๋ายซูหรือสาวใช้อีกสามคน พวกนางล้วนยอมสละชีวิตเพื่อหลินเมิ้งหยาได้
เฉกเช่นเดียวกับพวกหลินขุย ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา คนเหล่านั้นจะคำนึงถึงความปลอดภัยของเขาก่อนเป็นอย่างแรก
ฉะนั้นเขาจึงวางใจให้ป๋ายซูติดตามหลินเมิ้งหยาเข้าวัง
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วนางเกือบจะกลายเป็นเครื่องมือของไท่จื่อในการทำร้ายหลินเมิ้งหยา
คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความลับ แม้แต่เขาเองก็ยังไม่อาจรู้ทุกอย่างอย่างแน่ชัด แต่เพราะเหตุใดแม้แต่องครักษ์ตัวเล็กๆ ของไท่จื่อกลับรู้เรื่องตัวตนของป๋ายซูอย่างชัดเจน
สัญชาตญาณของเขาสัมผัสได้ถึงแผนการร้ายบางอย่าง
“เฮ้อ ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นเพคะ หวังว่าป๋ายซูจะคิดได้และหาเส้นทางที่ตนเองต้องเดินเจอ ไม่ว่าหม่อมฉันหรือเสี่ยวอวี้ก็ล้วนมิใช่เส้นทางที่นางจะเดินไปด้วยได้”
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าป๋ายซูแตกต่างจากสาวใช้ทั้งสาม
ทั้งชาติกำเนิดและวิทยายุทธล้วนมิอาจทำให้นางเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาได้
บางทีอีกหลายปีต่อจากนี้ ป๋ายจื่อและป๋ายซ่าวอาจจะแต่งงานออกเรือนกับคนธรรมดาไป บางทีจุดจบเช่นนี้ของป๋ายซูอาจดีสำหรับตัวนางที่สุด
เงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำสนิท ไม่รู้เลยว่าโคมไฟถูกปล่อยลอยละล่องเต็มนภาตั้งแต่เมื่อไหร่
ทั้งโคมไฟสีแดงและเหลืองล้วนส่องแสงพร่างพราวงดงาม
สมัยยังเด็ก พวกคุณแม่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามักจะปล่อยโคมไฟทุกครั้งเมื่อถึงวันเกิดของเด็กๆ
ได้ยินมาว่าเหล่าเทพธิดานางฟ้าจะมองเห็นพรของเด็กจากโคมไฟที่ลอยละล่องขึ้นไป
“วางใจเถิด ข้าสั่งพวกหลินขุยแล้วว่ามิให้ทำอันใดป๋ายซู หากตำหนักของเจ้าขาดคน เช่นนั้นข้าจะสั่งให้คนเลือกสาวใช้ให้เจ้าเอง”
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หลงเทียนอวี้ใส่ใจนางมากขนาดนี้
“หม่อมฉัน…ไม่ต้องการหรอกเพคะ ยิ่งคนเยอะก็จะยิ่งทรมานเมื่อต้องแยกจากกัน แต่ถึงกระนั้นก็ต้องขอบพระทัยท่านอ๋องมาก”
ผินหน้าส่งยิ้มอ่อนหวาน
หลงเทียนอวี้มองหน้านางนิ่ง เขาเห็นทุกห้วงอารมณ์ของนางหมดแล้ว แต่วันนี้เขากลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของนางภายใต้แสงจันทร์ช่างงดงามยิ่งนัก
ดวงตาเปล่งประกายคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อหยักโค้งเล็กน้อย ใบหน้านวลอ่อนโยนอ่อนหวานราวกับดวงดาราที่สุกสกาวบนฟากฟ้า
เสมือนผู้คนโดยรอบหายไปจากโลกของเขา
ณ ที่แห่งนี้มีเพียงเขาและนางสองคน
ครู่ต่อมาหลงเทียนอวี้โน้มตัวลง
ริมฝีปากหนาพลันเลื่อนเข้าไปประทับยังริมฝีปากบางนุ่มนิ่มของหลินเมิ้งหยา
เบิกตากว้างมองใบหน้าชายตรงหน้าเสมือนคนโง่ ริมฝีปากบางอ้าออกเล็กน้อย ขณะเดียวกันกลิ่นกายอันคุ้นเคยพลันลอยขึ้นมาเตะจมูกจนสติเลือนลาง
สติของหลินเมิ้งหยาหลุดลอย เหตุเพราะนางไม่เคยสัมผัสกับรสจูบแสนหวานมาก่อน มือเล็กเอื้อมไปคว้าแขนเสื้อของหลงเทียนอวี้แน่นราวกับคนกำลังจมน้ำก็มิปาน
สายตาหยุดลงบนใบหน้านวลสีชมพูระเรื่อ นางหาได้สะบัดตัวหนี กลับกันขนตางอนยาวเป็นแพกลับปิดสนิท
ภาษากายของหลินเมิ้งหยาบ่งบอกว่ากำลังอนุญาต อยู่ๆ หัวใจของหลงเทียนอวี้พลันอ่อนระทวย รสจูบที่เคยอ่อนหวานพลันเร่าร้อน
เสื้อคลุมสีเทาบดบังร่างของทั้งคู่
อุณหภูมิเริ่มเพิ่มสูงขึ้นจนร้อนระอุ
หลินเมิ้งหยาที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนรู้สึกว่าโลกกำลังหมุนติ้ว ก่อนที่ร่างของนางจะอ่อนยวบลงในอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้
“สวรรค์โปรด นี่พวกเราทำเรื่องแบบนี้ท่ามกลางฝูงชนหรือ…ฮือ…”
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องเพราะความขวยเขินของหลินเมิ้งหยา รอยยิ้มพลันผุดขึ้นบนใบหน้า
โอบร่างของหญิงสาวที่ไม่ว่าจะพูดเช่นไรก็ไม่ยอมเอามือออกจากใบหน้าเรียวเล็กของตนเองเอาไว้ในอ้อมกอด
หลงเทียนอวี้หยักยิ้มกว้าง เพราะเหตุนี้เสด็จพ่อมักเร่งให้เขาหาชายาเอกอย่างนั้นสินะ
ดูเหมือนเทพสวรรค์จะเห็นใจเขา ฉะนั้นจึงส่งหญิงสาวในอ้อมกอดคนนี้มาให้
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีใครเห็น”
กระซิบเสียงแผ่ว บางทีอาจเพราะเขาอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นรอยยิ้มจึงดูซุกซนไม่เหมือนก่อน
หลินเมิ้งหยาทั้งโกรธทั้งอาย กำปั้นเล็กๆ ทุบลงบนแผงอกของหลงเทียนอวี้
ทว่าการกระทำของนางยิ่งทำให้เขาหัวเราะหนักขึ้น
ยกมือขึ้นปิดหน้า ฝ่ามือของหลินเมิ้งหยาร้อนผ่าวเสมือนถูกไฟเผา แม้นางจะย้อนเวลามาจากอนาคต แต่ถึงกระนั้นเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ทำให้นางขวยเขินจนมิกล้าสบตาใคร
“เอาล่ะ พวกเราไปดูดอกไม้ไฟกันดีกว่า ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยทำดอกไม้ไฟในตำหนักหลิวซินมิใช่หรือ? เช่นนั้นพวกเราไปดูกันหน่อยเถิดว่าดอกไม้ไฟของชาวบ้านธรรมดาแตกต่างจากดอกไม้ไฟของเจ้าเช่นไร”
หลงเทียนอวี้ที่กำลังอารมณ์ดีเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หลินเมิ้งหยาที่ไม่อาจปฏิเสธได้จึงทำได้เพียงผงกศีรษะลง ทว่าใบหน้านวลแดงดั่งลูกมะเขือเทศกลับก้มลงมองพื้นไม่ยอมเงย
หลินเมิ้งหยาเคยเห็นความงดงามหรูหราในเมืองหลวงมาก่อน
สมัยเด็ก นางและป๋ายจื่อมักจะปีนบันไดเล็กขึ้นไปมองดูโลกภายนอกด้วยความอิจฉา
แม้วันนี้จะได้ออกมาข้างนอกอย่างอิสระแล้ว แต่ถึงกระนั้นนางกลับไม่รู้สึกกระตือรือร้นเหมือนเช่นตอนเด็ก
โคมไฟถูกประดับตกแต่งละลานตา มีทั้งโคมไฟแบบเรียบง่ายไปจนโคมไฟประดับลวดลายสลับซับซ้อน หลินเมิ้งหยาเดินตามหลังหลงเทียนอวี้อย่างว่านอนสอนง่าย
“เจ้าชอบอันไหนเล่า ข้าจะซื้อให้”
แสดงออกถึงสิ่งที่คิดด้วยท่าทางเงอะงะ แม้แต่หลงเทียนอวี้เองก็คิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะกำลังพยายามทำให้ใครบางคนมีความสุข
“หม่อมฉัน…แค่ดูก็พอแล้วเพคะ โคมไฟพวกนี้งดงามยิ่งนัก หม่อมฉันชอบมันทั้งหมดเลย”
ซื้อโคมไฟอย่างนั้นหรือ เกรงว่าจะมีแต่เด็กที่อยากได้
หลินเมิ้งหยาหัวเราะ ทว่าสายตากลับหยุดอยู่ที่โคมไฟลายผีเสื้ออยู่หลายวินาที
ช่างงดงามยิ่งนัก ขนาดในยุคสมัยปัจจุบันยังเห็นโคมไฟเช่นนี้ไม่ได้ง่ายๆ
อันที่จริง สายตาของนางเหลือบมองเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่หลงเทียนอวี้กลับสังเกตเห็น
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าออกไปเดี๋ยวเดียว”
ให้หลินเมิ้งหยาอยู่ในที่ปลอดภัย หลงเทียนอวี้หายตัวไปท่ามกลางฝูงชนเพื่อตามหาซื้อโคมไฟ
หลินเมิ้งหยามองตามแผ่นหลังของเขา นางคิดจะร้องห้ามแต่กลับไม่ทันเสียแล้ว
จริงๆ เลย มองตามแผ่นหลังของหลงเทียนอวี้ ดูเหมือนโคมไฟในวันนี้จะมีราคาแพงยิ่งนัก
“อย่าขยับ ชายาอวี้”
อยู่ๆ ที่เอวของนางก็ถูกปลายมีดเล่มหนึ่งจ่อเอาไว้
ร่างของหลินเมิ้งหยาแข็งทื่อ หูพลันได้ยินเสียงร้องเตือน
ขณะที่หัวใจกำลังตื่นตระหนกอยู่หลายวินาที หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรจากโคนันเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะไปที่ใดก็เจอแต่เรื่องซวย
“เจ้าเป็นใคร? คิดจะทำอะไร?”
ด้านหลังของนางคือตรอกมืดสนิท
คนที่อยู่ด้านหลังบังคับให้นางขยับเท้าถอยหลังจนกระทั่งทั้งคู่เข้ามาอยู่ด้านในตรอก
อาศัยแสงจันทร์ริบหรี่เพื่อมองฝ่ายตรงข้าม แต่นางกลับได้เห็นเพียงใบหน้าซึ่งถูกซ่อนอยู่ในผ้าคลุมสีดำ
ราวกับอีกฝ่ายไม่อยากให้ใครดูออกว่าตัวเองเป็นใคร ฉะนั้นแม้แต่เสียงก็กดให้ต่ำลง ทว่าหลินเมิ้งหยามั่นใจว่าคนชุดดำลึกลับตรงหน้าเป็นผู้หญิง
“แน่นอนว่าข้าต้องการชีวิตของเจ้า ชายาอวี้ ข้ารู้ว่าที่นี่มีคนคุ้มครองเจ้ามากมาย แต่วันนี้เจ้าหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน!”
เสียงแหลมสูงขึ้นเล็กน้อย แต่นั่นหาใช่เพราะความกลัว แต่กลับเป็น…ความดีใจ
มีดเงินถูกยกขึ้นสูง อีกเพียงชั่วอึดใจก็จะพุ่งลงไปแทงร่างบอบบางของหลินเมิ้งหยา