ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ - ตอนที่ 53 การขอร้องของหลิวชิง
แคร่ก แคร่ก!
เย่เทียนหักนิ้วเสียงดังกร๊อบแกร๊บและหันกลับมามองเชิ่งหู่ด้วยความเคร่งขรึมแล้วพูดอย่างเย้ยหยันว่า “คนของคุณอ่อนแอจริงๆ เลยนะ ถ้าคุณยังคิดจะใช้วิธีนี้ ผมขอเตือนคุณก่อนว่าอย่ายุ่งกับร้านดรุณียั่วรักเลยจะดีกว่า!”
“……”
นักสู้เหรียญทองที่แข็งแกร่งที่สุดยังถูกเย่เทียนเอาชนะได้ง่ายๆ แบบนี้ เชิ่งหู่ไม่มีเหตุผลที่จะทำอะไรเย่เทียนได้แน่นอน
แต่ว่า การที่เชิ่งหู่ไม่พูดอะไร ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆ ก็จะไม่พูด
หูไห่ที่อารมณ์ร้อนก็ลุกขึ้นทันที จากนั้นหยิบปืนพกจากเอวของเขาแล้วหันปากกระบอกปืนไปที่เย่เทียนและกัดฟันพูดว่า “แมร้งเอ๊ย มึงคิดว่าไม่มีใครทำอะไรมึงได้แล้วใช่ไหม? กูฆ่ามึงได้ทุกเมื่อมึงรู้ไหม!”
เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ ในใจซูเหมยก็สั่นสะท้านและมองไปที่เย่เทียนตามสัญชาตญาณ
เพราะนี่คือปืน และทุกคนก็ต้องกลัวมันอยู่แล้ว
แต่ว่า เย่เทียนกลับแสดงสีหน้าเรียบเฉยแล้วมองเขาอย่างเฉยเมย “คุณลืมบทเรียนครั้งก่อนแล้วเหรอ? หรือว่าอยากลองอีกครั้ง?”
หูไห่โกรธมากเมื่อเห็นเย่เทียนพูดถึงเรื่องเก่า แต่เขาก็ยังกลัวเย่เทียนอยู่ดี
เมื่อเหลือบมองไปที่ผู้นำระดับสูงของแก๊งเสือดำที่อยู่ข้างเขา เขาจึงไม่อยากขายหน้า จึงพูดอย่างแข็งกร้าวว่า “กูก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้วไง เก่งจริงมึงเข้ามาเลย! กูอยากรู้เหมือนกันว่ามือของมึงเร็วกว่าหรือกระสุนปืนของกูเร็วกว่า!”
“จริงเหรอ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ดวงตาอันลึกล้ำของเย่เทียนก็จับจ้องไปที่หูไห่ จิตแห่งการสังหารที่รุนแรงได้แผ่ออกมาจากตัวเขา แม้แต่อุณหภูมิของห้องก็เย็นลง
กรึ๊บ!
เมื่อเห็นออร่ารัศมีอันน่าสะพรึงกลัวทั่วร่างกายที่คล้ายกับการผุดออกมาจากขุมนรกของเย่เทียน หูไห่อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงและตะโกนอย่างดุเดือดว่า “กู กูจะบอกมึงนะว่ากระสุนมันไม่มีตา มึงระวังตัวด้วย!”
“เย่เทียน……”
ซูเหมยรู้สึกประหม่าเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาเบาๆ
ความสามารถของเย่เทียนในตอนนี้ไม่อาจหยุดกระสุนได้ก็จริง แต่ก่อนที่หูไห่จะลั่นไกปืน เย่เทียนสามารถปลิดชีวิตของเขาได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว
เมื่อสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ เขาก็ต้องพิจารณาว่าจะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้หรือไม่
“กึง!”
ในขณะนั้น จู่ ๆ เสียงเปิดประตูที่รุนแรงได้ดังขึ้น
“แหม คึกคักจังเลยนะ?”
เสียงของคนคนหนึ่งก็ดังขึ้น
ทุกคนต่างมองไปตามทิศทางของเสียงนั้น ภายใต้การรายล้อมของลูกน้องมากมาย ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ตัดผมทรงลานบินก็เดินเข้ามาจากข้างนอก
เชิ่งหู่เงียบมาตลอด และการกระทำของเย่เทียนก็ทำให้เขาหงุดหงิดมาก
แต่เมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามา เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “หลิวชิง? คุณมาทำอะไรที่นี่?”
หลิวชิง?
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ทุกคนต่างก็ตกใจและนึกได้ทันที
โครม!
ทุกคนในห้องต่างยืนขึ้นทันที ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรของทุกคนจับจ้องไปที่ชายวัยกลางคนที่ไว้ทรงลานบินและเป็นหัวหน้าของผู้คนเหล่านั้น
แม้แต่หูไห่ยังหันหัวปืนไปที่หลิวชิง
ชายที่ชื่อหลิวชิงคนนี้ เขาคืออีกแก๊งใหญ่ในเมืองเจียงหนันแห่งนี้ หรือหัวหน้าของแก๊งไผ่เขียวนี่เอง!
ซึ่งแก๊งไผ่เขียวกับแก๊งเสือดำนั้นไม่ถูกกันมาตลอด และที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยไปมาหาสู่กันเลย
แต่ไม่คิดว่าหลิวชิงจะปรากฏตัวในสโมสรหาดน้ำหนาวในเวลานี้
หลิวชิงได้แต่ยิ้มเยาะเย้ย ก่อนอื่นเขาพยักหน้าให้กับเย่เทียนเพื่อเป็นการทักทายก่อน จากนั้นหันหน้าไปที่หูไห่
“หูไห่ ไอ้แก่อย่างคุณยังกล้าจ่อปืนใส่ผมเหรอ เชื่อไหมว่าผมจะสั่งฆ่าคุณได้?”
แม้คำพูดของหลิวชิงจะดูเหมือนกำลังคุยกับหูไห่อยู่ แต่ทุกคนในนี้ต่างก็รู้ดีว่าเขากำลังพูดกับเชิ่งหู่มากกว่า!
เพราะหูไห่เป็นแค่สมาชิกคนหนึ่งของแก๊งเสือดำเท่านั้น ส่วนเชิ่งหู่นั้นคือหัวหน้าของแก๊งเสือดำ!
“หูไห่ เก็บปืนก่อน”
สำหรับการมาของหลิวชิง เชิ่งหู่ขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่หลิวมีธุระอะไรถึงได้มาถึงที่เองเลยครับ?”
“เปล่า ผมก็แค่ได้ข่าวว่าพี่ใหญู่เชิ่งกำลังจะหาเรื่องคุณเย่ ผมก็เลยแวะมาดูหน่อย”
หลิวชิงยักไหล่แล้วตอบอย่างเฉยเมย
“คุณเย่?”
เชิ่งหู่ตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าเย่เทียนจะรู้จักแก๊งไผ่เขียว
เย่เทียนก็มองไปที่หลิวชิงอย่างน่าสนใจ ดูเหมือนว่าแก๊งไผ่เขียวจะเป็นลูกน้องของตระกูลฉินไม่ใช่หรือ?
“ใช่ เชิ่งหู่ กูจะเตือนไว้ก่อน ถ้ามึงกล้าแตะต้องคุณเย่ มึงกับกูได้เห็นดีกันแน่!”
หลิวชิงพยักหน้าเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขามาเพื่อสนับสนุนเย่เทียน
เมื่อฟังคำพูดของเขาแล้ว เชิ่งหู่ก็ขมวดคิ้วทันที
เขากับหลิวชิงคือคู่อริมาตลอดอยู่แล้ว ทุกคนต่างก็อยากครอบครองพื้นที่ของคนอื่นทั้งนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม แม้สองแก๊งใหญ่นี้จะมีอิทธิพลมาก แต่เบื้องหลังของหลิวชิงยังมีตระกูลยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลฉิน!
ฉะนั้นถ้าหากมีเรื่องกับหลิวชิงในตอนนี้ เกรงว่าเชิ่งหู่จะเป็นคนเสียเปรียบมากกว่า!
เมื่อนึกถึงจุดนี้ เชิ่งหู่ก็หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่หลิว คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมแค่อยากคุยธุระกับคุณเย่คนนี้เท่านั้น!”
หลังจากหยุดไปสักพัก เขาค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วพูดต่อ “ตอนนี้เราคุยธุระกันเสร็จแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวก่อนนะครับ พวกคุณเชิญตามสบายเลยครับ!”
เมื่อพูดจบ เชิ่งหู่ก็มองไปที่เย่เทียนอย่างมีนัย และในระหว่างที่เดินผ่านเย่เทียนเขายังหยุดลงแล้วพูดเบาๆ ว่า “ผมจะให้เวลาคุณพิจารณาสักสองสามวันนะ ถ้าตัดสินใจได้แล้วบอกผมด้วยล่ะ!”
แต่เย่เทียนกลับเฉยเมยและไม่ได้พูดอะไรสักคำ
เชิ่งหู่ไม่ได้รอคำตอบจากเย่เทียน จากนั้นเขาก็พาคนของแก๊งเสือดำจากไปทันที
หลังจากที่เชิ่งหู่และคนของเขาจากไป เย่เทียนจึงจะหันมองไปที่หลิวชิงแล้วถามอย่างเฉยเมยว่า “ตระกูลฉินให้คุณมาเหรอ?”
หลิวชิงรีบส่ายหัวแล้วยิ้มตอบ “ตระกูลฉินไม่ได้เรียกผมมาครับ แต่ผมมาเอง หวังว่าคุณเย่จะไม่เข้าใจผิดนะครับ”
เย่เทียนยิ้มแปลกๆ แล้วถามต่อ “ไม่มีของฟรีในโลก ผมว่าพี่ใหญ่หลิวต้องมีเหตุผลที่มาช่วยผมนะ?”
“หุหุ ไม่มีอะไรที่ปิดบังคุณเย่ได้จริงๆ นะครับ ใช่ครับ ผมมาเพราะมีเรื่องให้ช่วยครับ”
เป็นถึงผู้นำของแก๊งไผ่เขียว แต่ต่อหน้าเย่เทียนแล้ว หลิวชิงก็ยังเจียมเนื้อเจียมตัว
“เจาะจงหน่อยนะ” เย่เทียนยักไหล่
“จริงๆ ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมแค่อยากให้คุณเย่ช่วยจัดการกับคนคนหนึ่ง”
เมื่อถึงจุดนี้ หลิวชิงไม่ได้อ้อมค้อมแต่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เขาคนนั้นทำร้ายคนของผมไปหลายคนเลย ได้ข่าวว่ามันไม่กลัวปืนด้วย ผมสงสัยว่ามันต้องเป็นนักบู๊ที่มีฝีมือแน่ และผมก็ได้ยินลูกน้องบอกว่าคุณเย่สามารถจัดการกับคนมากกว่ายี่สิบคนด้วยตัวคนเดียวได้ ฉะนั้น ผมเชื่อว่าฝีมือของคุณต้องแข็งแกร่งมากครับ!”
หลังจากหยุดไปสักพัก หลิวชิงกลัวว่าเย่เทียนจะปฏิเสธ เขาจึงรีบพูดถึงผลประโยชน์ว่า “ขอแค่คุณเย่ยอมช่วยผม ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ผมจะให้ผลตอบแทนกับคุณสิบล้าน!”
“สิบล้านเหรอ?” ดวงตาเย่เทียนเป็นประกาย ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง เขาก็จะได้เงินสิบล้าน ในโลกนี้จะมีอะไรที่ดีกว่านี้อีก?
อีกอย่าง ทุกวันนี้เขาขาดแคลนเงินมาก!
“ได้สิ คุณโทรบอกผมได้เลย!”
“ได้ครับ”
หลิวชิงตอบตกลงอย่างมีความสุข เขาไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น หลังจากที่แลกเบอร์โทรกับเย่เทียนเสร็จ เขาก็จากไปทันที