ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ - ตอนที่ 47 สะเทือนไปทั้งร้าน
“เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น?”
“ให้ตายสิ พี่ใหญ่เหลยมาได้ไงเนี่ย?”
“แล้วไอ้หมอนั่นคือใคร ดูเหมือนว่ามันยั่วยุให้พี่ใหญ่เหลยโมโหแล้วสิ มันต้องตายแน่!”
เมื่อเห็นเหลยเหลาหู่และคนของเขายืนอยู่หน้าประตูบาร์ ผู้คนมากมายก็หันมองมาและให้ความสนใจทันที!
“แกน่ะเหรอเย่เทียน?”
“ได้ข่าวว่าเจ๋งนักใช่ไหม ถึงกล้าแตะต้องคนของข้า? ยังเคยเล่นงานคุณชายซุนจนฟกช้ำไปทั้งหน้าด้วย นานแล้วนะที่ไม่มีใครกล้ามาซ่าในถิ่นของข้าแบบนี้!”
เหลยเหลาหู่คาบบุหรี่ในปากแล้วพูดกับเย่เทียนอย่างเย็นชา
เย่เทียนกวาดมองไปรอบๆ เขาพบว่ามีคนมากกว่ายี่สิบคนที่มือเท้าสะเอวและดูเหมือนมีอาวุธติดตัวกันทุกคน
แต่เขาไม่ได้สนใจ ได้แต่จับจ้องไปที่เหลยเหลาหู่แล้วพูดเบาๆ ว่า “คุณต้องการอะไร?”
“ต้องการอะไรงั้นเหรอ? หักแขนหักขาทั้งคู่ของแกไงล่ะ!”
ซุนปินเดินออกมาพูดอย่างเย็นชา
“โอ้ว? ขนาดนี้เลยเหรอ?”
เย่เทียนมองดูเหลยเหลาหู่ด้วยความสนใจและไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย “คุณหมายความว่าอะไรครับ?”
เหลยเหลาหู่ที่เห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นแน่นๆ
เขาเดินอยู่ในเส้นทางของนักเลงมานานหลายปี แน่นอนว่าต้องผ่านลมผ่านฝนมาเยอะแยะมากมายอยู่แล้ว แต่โดยปกติ ด้วยสถานการณ์แบบนี้ ศัตรูของเขาคงต้องกลัวจนร้องไห้หาแม่และคุกเข่าลงเพื่อขอความเมตตาแล้ว
แต่แล้ว เย่เทียนกลับสีหน้าเฉยเมยและยังถามเขาอย่างท้าทาย?
ไอ้หมอนี่มันเอาความมั่นใจมาจากไหน?
เหลยเหลาหู่คิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า ได้แต่พูดอย่างเย็นชาว่า “แน่นอน ข้าเหลยเหลาหู่ไม่ใช่คนไร้เหตุผลอยู่แล้ว แกทำร้ายร่างกายคุณชายซุนกับลูกน้องของข้า ข้าจะเอาแขนทั้งสองข้างของแก แต่แกไม่ถึงกับตายหรอกนะ!”
เป็นคำพูดที่ฟังดูแน่วแน่มาก ดูเหมือนเขาคิดจะเอาแขนทั้งสองข้างของเย่เทียนไปได้ทุกเมื่ออย่างไรอย่างนั้น!
ห่าวเหรินที่ได้ยินเช่นนี้ก็กลัวจนทำอะไรไม่ถูก เขากัดฟันและรีบเดินไปข้างหน้า
“พี่ใหญ่เหลย ให้โอกาสผมหน่อยนะครับ เพื่อนผมก้าวก่ายคุณไปแล้ว ในนี้มีเงินสองแสน พี่ใหญ่เหลยยกโทษให้เขาเถอะครับ!”
ห่าวเหรินหยิบบัตรธนาคารออกมาด้วยมือที่สั่นเทาและยื่นมันออกไป
เงินสองแสน เป็นรายได้ทั้งหมดในหนึ่งโครงการของเขาเลย แต่เขายอมเอาออกมาเพื่อใช้ในการปกป้องเย่เทียน
เย่เทียนที่เห็นสิ่งนี้ก็รู้สึกอบอุ่นใจ และรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
ซึ่งการกระทำของห่าวเหรินทำให้เย่เทียนรู้สึกยอมรับในความเป็นเพื่อนของเขาจริงๆ!
“แมร้ง ไอ้อ้วน แกมีสิทธิ์อะไรมาขอร้องพี่ใหญ่ของเราวะ?”
ลูกสมุนคนหนึ่งเดินออกมาด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งและยกมือขึ้นเพื่อจะตบห่าวเหริน!
ห่าวเหรินที่ยังไม่ทันตั้งตัวจึงได้แต่ยืนนิ่งให้เขาตบ!
ในช่วงเวลาวิกฤติที่สุด สายตาของเย่เทียนเคร่งขรึม และทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปคว้ามือของลูกสมุนคนนั้นไว้เพื่อไม่ให้เขาตบห่าวเหริน
“คุยไม่ถูกคอก็จะลงไม้ลงมือเลย คุณมีเหตุผลไหม?”
“เหตุผล? คำพูดของกูก็คือเหตุผล!”
ลูกสมุนคนนั้นไม่คิดว่าเขาจะถูกห้ามไว้ได้ เขาจึงจ้องเขม็งไปที่เย่เทียนอย่างมุ่งร้าย “ในเมื่อมึงคิดว่ามึงเป็นพี่ใหญ่ งั้นกูขอจัดการมึงก่อนก็แล้วกัน!”
ในขณะที่พูดอยู่ เขาพยายามดึงแขนกลับมา
แต่เมื่อขยับแล้ว เขาก็พบว่าแขนของเขาเหมือนถูกคีมล็อกไว้อย่างแน่นหนา ต่อให้ใช้แรงทั้งหมดที่มีก็ไม่สามารถดึงกลับมาได้
ทุกคนที่เห็นภาพนี้ก็หัวเราะคิกคัก
“เปียวจื่อ นี่นายไม่ได้กินข้าวมาเหรอ? แค่ดึงมือกลับยังทำไม่ได้?”
“หรือว่าเมื่อคืนในชุยฮวา นายใช้แรงไปหมดแล้ว?”
“วันหลังอย่าบอกว่าเป็นเพื่อนเรานะ อายเขา!”
ลูกสมุนทั้งหมดต่างพากันหัวเราะเยาะเปียวจื่อ และเปียวจื่อเองก็ทำตัวไม่ถูกและรู้สึกขายหน้ามาก เพราะเขาแค่ดึงแขนกลับมายังทำไม่ได้
งั้นเอาให้จบไปเลยดีกว่า จากนั้นแขนอีกข้างของเขาจึงชักมีดออกมาจากเอวแล้วฟันไปที่เย่เทียนโดยตรง!
“แมร้ง ไปตายซะ!”
เย่เทียนไม่คิดว่าศัตรูจะลงมือฆ่าเขาเลย จากนั้นแสงเย็นวาบเกิดขึ้นในดวงตาของเขา “ดิ้นหาที่ตายชัดๆ!”
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เกรงใจกัน เขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกต่อไป
ด้วยเสียงฮึดฮัดเย็นชา และด้วยแรงบีบเบาๆ เสียงแคร่กดังขึ้น กระดูกแขนของลูกสมุนคนนั้นหักทันที
จากนั้นตามด้วยเย่เทียนเตะไปที่กลางลำตัวของเขา ทำให้เขากระเด็นออกไปหลายต่อหลายเมตร และล้มกระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรงจนสลบไป
เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนต่างก็ตะลึงงันและมองไปที่เย่เทียน
พวกเขาไม่นึกเลยว่าเย่เทียนจะแข็งแกร่งขนาดนี้!
เตะทีเดียวแต่กระเด็นออกไปหลายเมตรขนาดนี้ ต้องใช้แรงมากแค่ไหนกัน?
แม้แต่เหลยเหลาหู่ยังต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้หยุดลูกน้องเขาไว้ เพียงเพราะจะสั่งสอนเย่เทียน
แต่ผลสรุปกลับพลิกตาลปัตร เมื่อนึกถึงคำพูดของหลี่จุนแล้ว แสงแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
“ไอ้หนุ่ม แกก็พอมีฝีมืออยู่บ้างนะ ข้าเปลี่ยนใจละ ในเมื่อแกพูดดีๆ ไม่ได้ งั้นต้องอัดให้นายลุกไม่ขึ้นก่อนค่อยว่ากัน!”
เหลยเหลาหู่ยิ้มเยาะเย้ย แล้วโบกมือสั่งให้ลูกน้องที่เหลือพุ่งเข้าหาเย่เทียน
เขาไม่เชื่อว่าเด็กหนุ่มคนเดียวจะสามารถรับมือกับอันธพาลมืออาชีพยี่สิบกว่าคนนี้ได้
ถ้ามันทำได้จริงๆ มันคงไม่ใช่คนแต่เป็นซูเปอร์แมนแล้ว!
“หนีเร็วเข้า!”
ห่าวเหรินถึงกับกลัวจนหน้าซีด เพราะเขาไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน จึงตะโกนออกไปแล้วหันหลังเพื่อดึงเย่เทียนหนีไป
แต่เมื่อเขารู้ตัวอีกที เย่เทียนก็ได้หายไปจากจุดเดิมที่เขาอยู่แล้ว และเมื่อเห็นเย่เทียนอีกครั้ง เขาก็ได้วิ่งตรงเข้าหาคนกลุ่มนั้น!
“ไอ้เด็กหัวดื้อ คิดว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้งั้นเหรอ? ถึงได้วิ่งมาหาที่ตายแบบนี้?”
หวางจื้อเฟยหัวเราะอย่างไม่หยุด ในใจยังเต็มไปด้วยความสุขของการได้แก้แค้นเย่เทียน
ส่วนซุนปินก็แสดงสีหน้าภูมิใจมาก เขาไม่เชื่อว่าเย่เทียนจะเก่งถึงขั้นรับมือกับกลุ่มอันธพาลมืออาชีพยี่สิบกว่าคนนี้ได้!
ในเวลานี้ เขานึกถึงจุดจบที่น่าสังเวชของเย่เทียนแล้ว เขาจึงไม่สนใจที่จะดูอีกและหันไปคุยกับเหลยเหลาหู่ “พี่ใหญ่เหลย ถ้าวันนี้คุณช่วยผมได้ ผมซุนปินจะจดจำเรื่องราวของวันนี้ไว้ และต่อจากนี้ คุณก็คือพี่น้องของผม!”
เหลยเหลาหู่ที่ได้ยินดังนี้ เขาจึงยิ้มตอบอย่างฝืนใจ และนัยน์ตายังเกิดการดูหมิ่นดูแคลนอยู่
“พี่น้องงั้นเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะคุณปู่ของคุณ ผมคงไม่มาช่วยคุณแก้ปัญหาด้วยตัวผมเองหรอก!”
เขาคิดในใจ แต่ปากกลับตอบว่า “คุณชายซุนไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ เรื่องนี้เป็นหน้าที่ผมอยู่แล้ว!”
“โอ๊ย!”
“เจ็บ……”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นข้างหูพวกเขา
เหลยเหลาหู่รีบหันไปมองและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
เขาเห็นเย่เทียนที่ถูกล้อมเป็นวงกลมไว้ แทนที่จะถูกโค่นลงกับพื้น แต่เขากลับต่อกรกับคนเหล่านั้นอย่างปราดเปรียว
นอกจากนี้ ลูกน้องยี่สิบกว่าคนของเขา ไม่มีใครสามารถแตะต้องเย่เทียนได้แม้แต่ขนเลย!
แต่ในทางกลับกัน ทุกการโจมตีของเย่เทียน ลูกน้องของเขาก็จะล้มลงกับพื้นทีละคน……
ภายในสองนาทีนั้น ลูกน้องยี่สิบกว่าคนก็นอนอยู่กับพื้นและส่งเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ซึ่งไม่มีใครสามารถลุกขึ้นยืนได้อีก!
เมื่อหันมองไปที่เย่เทียนอีกครั้ง เขากลับยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยใบหน้าที่ยังมีรอยยิ้มจางๆ อยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาเพิ่งผ่านเรื่องเล็กกระจ้อยร่อยมาเท่านั้น!
หวางจื้อเฟย ซุนปิน เหลยเหลาหู่ รวมไปถึงผู้คนในร้านต่างก็ตกตะลึงกันหมด!
“นี่ นี่เขายังเป็นเพื่อนเราอยู่เหรอ?”
ห่าวเหรินถึงกับน่าทึ่งแล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง