ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ - ตอนที่ 124 นี่มันการแสดงละคร
“คุณตำรวจท่านนี้ครับ ถ้าผมฟังไม่ผิด เขาเรียกคุณว่าหัวหน้าหวงใช่ไหมครับ?”
สำหรับคำถามของหัวหน้าหวงนั้น เย่เทียนได้แต่แสยะยิ้มแล้วถามกลับว่า “ถ้าอย่างนั้นผมขอเดาอย่างกล้าหาญได้ไหมครับว่าพวกคุณไม่ได้เจอกันครั้งแรก?”
“ผมสงสัยจริงๆ ครับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณกับพวกเขาร่วมมือกันหลอกลวงคนอื่น ไม่อย่างนั้นคุณจะมาก่อนที่เราจะแจ้งตำรวจเสร็จได้ยังไงครับ?”
หัวหน้าหวงที่ได้ยินเช่นนี้ถึงกับทำตัวไม่ถูก แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็พูดกลบเกลื่อนทันที “ผมจะทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกันนะ แต่ถ้าคุณกล้ากล่าวหาผมอีก ผมจะแจ้งข้อหาคุณหมิ่นประมาทเจ้าหน้าที่ด้วย!”
ภายใต้สายตาของทุกคน เขาจำเป็นต้องยืนกรานและไม่อาจจะถอนตัวได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกคนอื่นจับผิดได้ และถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะตกอยู่ในที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน
ด้วยความกลัวว่าเย่เทียนจะหาเรื่องอีก หัวหน้าหวงย้ำอีกรอบว่า “ผมจะพูดอีกครั้ง กรุณาแสดงใบอนุญาตขับขี่และบัตรประจำตัวประชาชนด้วยครับ!”
“ให้ตายสิ! นี่ฉันทำอะไรผิดกันแน่? ทำไมต้องทำฉันกับลูกชายฉันแบบนี้ด้วย?”
หญิงวัยกลางคนตะคอกขึ้น เธอหวังจะดึงดูดความสนใจของผู้คนเพื่อให้ผู้คนเห็นใจเธอและไม่ให้พวกเขาเกิดความสงสัยต่อตำรวจวัยกลางคนคนนี้
“ถูกรถชนก็แล้วไป แต่ลูกชายยังถูกคนอื่นทำร้ายร่างกายด้วย ตอนนี้ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้อีก นี่ฉันมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรกันแน่!”
ในตรงกันข้าม ชายหนุ่มที่เห็นความสนใจของผู้คนอยู่ที่หัวหน้าหวงกับเย่เทียน เขาก็หยิบกล่องกระดาษแข็งนั้นแล้วค่อยๆ ถอยออกไปอย่างเงียบๆ
พวกเขาเป็นทีมงานมืออาชีพ ไม่เช่นนั้นคงไม่เชิญมืออาชีพมาจัดการกับเย่เทียนหรอก
หลายๆ คนที่เจอกับมิจฉาชีพและเหตุการณ์แบบนี้ เริ่มแรกพวกเขาอาจจะแข็งข้อกับคนพวกนี้ และยังเสียเวลาเพื่อไปเจรจา แต่สุดท้ายก็ต้องเสียทั้งเงินและเวลาอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
แล้วจะทำอะไรได้ ใครให้กฎหมายของประเทศคุ้มครองสิทธิมนุษยชนมากกว่า?
ยิ่งไปกว่านั้น แขนของหญิงวัยกลางคนคนนี้อาจจะเคล็ดก่อนแล้วก็ได้ ถ้าไปตรวจที่โรงพยาบาลอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ ถึงเวลานั้นพวกเขาจะผลักความผิดไปที่คนขับรถอย่างแน่นอน และทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผนการของพวกเขา!
เพราะคู่กรณีต้องพาพวกเขาไปที่โรงพยาบาล ต้องรอการรักษา และยังต้องดูแลการพักฟื้นอีกด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ ใครๆ ก็คิดว่ายอมจ่ายค่าเสียหายไปตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง
และสำหรับเงินค่าเสียหายหนึ่งล้านนี้ มันก็แค่การขู่ให้คนกลัวเท่านั้น
มันเป็นเหมือนการทำธุรกิจ เป็นการชนะใจคน และถ้าใครเป็นฝ่ายที่อ่อนแอกว่า ผู้นั้นก็คือผู้ที่ต้องเสียเปรียบกว่า!
แน่นอนว่าครั้งนี้พวกเขาถูกจ้างมาเท่านั้น แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการนั้นไม่ใช่เงิน แต่เป็นการที่จะชนะใจคนมากกว่า เพราะด้วยวิธีนี้ จึงจะเป็นประตูสู่ชัยชนะของพวกเขาได้
ขอเพียงพวกเขาทำให้ทุกคนเห็นใจและทำให้ผู้คนยืนอยู่ข้างพวกเขา เมื่อถึงเวลานั้น ก็แค่ใช้คำพูดปลุกระดมผู้คนก็จะลงทั้งแรงทั้งใจเพื่อช่วยเหลือพวกเขาไม่ใช่หรือ?
และเมื่อถึงขั้นชุลมุน การที่จะนำกล่องกระดาษแข็งนั้นออกไปเพื่อเสร็จสิ้นภารกิจมันจะเป็นเรื่องยากอะไรล่ะ?
และในตอนนี้ สถานการณ์ก็เริ่มเป็นใจแล้ว แล้วจะรออะไรอีก?
แต่พฤติกรรมของชายหนุ่มจะหลุดพ้นจากสายตาของเย่เทียนไปได้อย่างไร เย่เทียนจึงทำท่าว่าจะวิ่งไล่ตามชายหนุ่มคนนั้น
แต่ในทันทีที่เย่เทียนก้าวเท้าออกไป หญิงวัยกลางคนก็กระโดดเข้ามาแล้วเกาะขาเย่เทียนไว้และตะโกนอย่างเสียงดังว่า “ทุกคนช่วยด้วย! มันจะหนีแล้ว!”
สีหน้าของเย่เทียนกลายเป็นความเย็นเยือกทันที จากนั้นเขากระทืบเท้าและหญิงวัยกลางคนก็กระเด็นออกไป
เอื้อก!
พลังของเย่เทียนนั้นรุนแรงมาก แม้จะเป็นการกระทืบเท้าเบาๆ แต่ก็ทำให้หญิงวัยกลางคนถึงกับกระอักเลือดออกมาเต็มปาก แม้เธอจะไม่ช้ำในจริงๆ แต่ครั้งนี้ก็หนีไม่พ้นซะแล้ว
“เย่เทียน คุณทำอะไร!” เฉินหวั่นชิงรู้สึกหมดหวังใจตัวของเย่เทียนแล้ว
เมื่อกี้ไม่เห็นปฏิกิริยาที่ดุเดือดของผู้คนเหล่านี้หรือ? แต่ตอนนี้เย่เทียนกลับ
ทำให้มันเป็นผีซ้ำด้ำพลอยอีก!
เฉินหวั่นชิงที่มีประสบการณ์ทางด้านการเจรจา เธอจึงก็รู้ดี ต่อให้สถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน มันก็แค่ต้องเจรจาเท่านั้น ทุกอย่างยังมีโอกาสตกลงกันได้
แต่เมื่อไหร่ที่ใช้กำลัง ผลที่ตามมามันจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรืออาจถึงขั้นเจรจากันไม่ได้อีก!
แต่ว่าในขณะนี้เย่เทียนจะสนใจเฉินหวั่นชิงได้อย่างไร สายตาเหยี่ยวอันเฉียบคมของเขาได้แต่จับจ้องไปที่ชายหนุ่มที่พยายามจะหนีไปและตะโกนขึ้นว่า “หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
เฉินหวั่นชิงถึงกับสะดุ้งและมองไปตามทิศทางที่เย่เทียนมองอยู่ ในทันใดนั้น เธอก็เข้าใจว่าทำไมเย่เทียนถึงกระวนกระวายใจแบบนี้
แต่ความเข้าใจก็คือความเข้าใจเท่านั้น มันไม่ได้หมายถึงเธอจะเลือกที่จะยอมรับมัน
ลงมือทำร้ายคนอื่นโดยไร้เหตุผล นี่มันไม่ใช่พฤติกรรมของคนป่าเถื่อนหรือ? ซึ่งมันแตกต่างจากการถูกอบรมสั่งสอนของเธอตั้งแต่เด็กมาก!
หยุด?
นั่นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเย่เทียน ชายหนุ่มก็ไม่เสแสร้งอีกต่อไป เขาจึงวิ่งออกไปโดยที่ไม่ลังเล
เย่เทียนอยากจะไล่ตามเขา แต่หัวหน้าหวงไม่ปล่อยโอกาสให้กับเย่เทียนและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณคิดจะทำอะไร?! ขับรถชนคนแล้วยังจะทำร้ายคนอื่นอีก เชื่อว่าพลเมืองดีทุกคนในนี้ไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ หรอก!”
เย่เทียนที่เร่งรีบจะมีเวลามาพูดเรื่องไร้สาระกับหัวหน้าหวงได้อย่างไร เขาได้แต่ผลักหัวหน้าหวงออกไปล้มลงกับพื้นแล้ววิ่งไล่เขาชายหนุ่มคนนั้น
“ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่! ทุกคนช่วยผมจับมันหน่อยครับ ผมจะรายงานให้ผู้บังคับบัญชาของผมและจะให้รางวัลกับพลเมืองดี!”
หัวหน้าหวงที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก เขาก็ไม่คิดจะปล่อยเย่เทียนไปง่ายๆ และได้ขอความช่วยเหลือจากผู้คน
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา คนที่ยังลังเลอยู่ก็ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ไม่นะ ทุกคนช่วยฟังฉันอธิบายก่อน! ฉัน……”
เฉินหวั่นชิงที่เห็นสถานการณ์เริ่มแย่ลง เธอจึงรีบก้าวออกมาเพื่อพยายามจะอธิบาย
แต่น่าเสียดายที่คำพูดของเฉินหวั่นชิงนั้นช่วยอะไรไม่ได้!
เพราะมันเป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ภายใต้การยุยงของผู้เสียหาย เย่เทียนจึงกลายเป็นคนร้ายในสายตาของผู้คน
ทั้งหยาบคายและทั้งเย่อหยิ่ง แล้วเย่เทียนจะเป็นคนดีในสายตาพวกเขาได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเงินรางวัลกับเหรียญพลเมืองดีรออยู่ ถ้าได้มันมาคงเป็นเรื่องที่น่ายกย่องของผู้คนเหล่านั้นไปอย่างน้อยสามปี
หลายคนตื่นตากับอนาคตที่สดใสและน่าภูมิใจนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามช่วยจับเย่เทียนผู้ซึ่งเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย
คนเรามักจะมีนิสัยเลียนแบบพฤติกรรมอยู่แล้ว ยิ่งถ้าหากมีคนนำ ผู้คนเหล่านั้นจึงไม่ลังเลและวิ่งตามกันไปทันที
พวกเขาไม่เพียงแต่จะได้ระบายความไม่พอใจออกมา และยังมีเกียรติยศชื่อเสียงของพลเมืองดีรออยู่ แล้วพวกเขาจะรอช้าได้อย่างไร?
เพียงแต่ว่า หลังจากที่ทุกคนวิ่งไล่กันไปอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาต่างก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นหัวหน้าหวงที่ฉวยโอกาสจากความโกลาหลนี้ค่อยๆ เดินเข้าไปหาหญิงวัยกลางคนแล้วพากันหลบหนีไป
“เกาะผมไว้แน่นๆ นะ!” เมื่อมองดูชายหนุ่มที่ทิ้งระยะห่างไปเรื่อย ๆ เย่เทียนก็อดใจไม่ได้ และทันใดนั้นเขาก็กอดไปที่เอวของเฉินหวั่นชิงอย่างกะทันหัน
“เฮ๊ย!”
การเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันนี้ทำให้เฉินหวั่นชิงถึงขั้นต้องตะโกนกรีดร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ก่อนที่เธอจะตั้งสติได้ ทันใดนั้นโลกก็หมุนไปและอากาศที่อึดอัดก่อนหน้านี้ก็หายไปเช่นกัน
ซึ่งก่อนที่จะถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน เย่เทียนกระทืบเท้าเบาๆ แล้วปีนขึ้นไปบนหลังคารถอย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็วิ่งกลางอากาศโดยการเหยียบไหล่ของทุกคนทีละคนอย่างแม่นยำเพื่อวิ่งไล่ชายหนุ่มคนนั้นที่กำลังหลับหนีไป
และผู้คนที่พยายามจะร่วมมือกันจับเย่เทียนก็ถึงกับตะลึงงัน ได้แต่มองดูสองคนที่วิ่งอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาและในใจก็คิดอยู่อย่างเดียวว่า ‘นี่มันกำลังแสดงหนังอยู่หรือ?’