ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ - ตอนที่ 104 ซักไซ้ข้อสงสัย
หลังจากที่ชายคนนั้นเดินเข้าไป สายตาของทุกคนก็จับจ้องมาที่เขา
คนที่มามีอายุประมาณ 27-28 ปี ร่างสูงตระหง่าน ตอนเดินเข้ามาดูสง่างามราวกับมังกรพยัคฆ์
เพียงชำเลืองมอง ทุกคนที่อยู่ในนี้ก็อดรู้สึกประหม่าไม่ได้ พลังอันแข็งแกร่งนี้ ต่อให้เป็นแพทย์แผนจีนที่ไม่ได้ฝึกวรยุทธ ก็สามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องเป็นยอดฝีมือในด้านวรยุทธแน่!
เย่เทียนย่อมได้ยินสิ่งที่เขาพูด เขาหันกลับมามองแล้วถอนสายตากลับไป
ความสามารถของเขาไม่เลว มาถึงระดับเหลืองชั้นสูงแล้ว อ่อนกว่าระดับดำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ไม่ได้ห่างกันเพียงเล็กน้อยเลย
ถึงอย่างไรเย่เทียนก็ได้ดูดซับชิ้นส่วนลึกลับเข้าไป พลังงานที่สะท้อนกลับทำให้เขาก้าวขึ้นมาในอีกระดับหนึ่ง มาถึงการฝึกพลังชั้นสี่แล้ว
ถ้าเป็นโลกแห่งวรยุทธ แม้จะอยู่ในระดับดำ แต่จะเป็นระดับดำที่ไร้เทียมทานแล้ว!
และในเวลานี้ เยี่ยนจื่อเฉินกับพวกฉินเจิงหรงก็เพิ่งเดินเข้ามาจากข้างนอกพอดี
ทันทีที่เขาเห็นชายคนนั้นยืนอยู่ที่ประตู ดวงตาของเยี่ยนจื่อเฉินก็เปล่งประกายขึ้น เขาเป็นลูกหลานของตระกูลเศรษฐีในเมืองจิน ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ เขาบังเอิญรู้จักพอดี
“พี่หมิงซวน!”
เขาเรียกเสียงดังแล้วรีบวิ่งเข้าไปหา
“อ้าว จื่อเฉินเองเหรอ ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
ชายคนนั้นหันกลับมามองเยี่ยนจื่อเฉินด้วยท่าทีเฉยเมย
เยี่ยนจื่อเฉินยิ้มอย่างเก้อเขิน จะไม่รู้ท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขาได้อย่างไร? แต่ชายที่ตรงหน้าคนนี้แตกต่างจากเขา
ชายที่อยู่ตรงหน้ามีชื่อว่ายิ่งหมิงซวน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มาจากตระกูลที่ร่ำรวย แต่ความสามารถของเขานั้นอยู่ในระดับคนดังในเมืองจิน ช้าเร็วก็ต้องมีวันที่โด่งดังคับฟ้า!
แม้แต่เยี่ยนจื่อเฉินเองยังต้องประจบประแจงเขา เขารีบยิ้มและพูดว่า “ไม่มีอะไร พ่อของผมสั่งให้ผมมานั่งเล่นเฉยๆ”
เขาพูดพลางหันหน้าเหลือบมองเย่เทียน จากนั้นจึงทักทายฉินเจิ้ง “คุณปู่ฉิน!”
หลินอ้าวเสว่ก็เดินเข้ามาเช่นกัน พลางตะโกนเรียก “สวัสดีค่ะคุณปู่ฉิน”
“อืม คุณเป็นลูกสาวของตระกูลหลิน ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว โตเป็นสาวแล้วนะ หลานสาวของผมก็กำลังจะกลับมาเร็วๆ นี้ พวกคุณคนหนุ่มสาวคุยกันตามสบายเถอะ”
ฉินเจิ้งยิ้มพลางโบกมือให้เยี่ยนจื่อเฉินและคนอื่นๆ เชิญพวกเขานั่งลง
ทุกคนทยอยนั่งบนเก้าอี้ทีละคน ยกเว้นหมิงซวนที่นั่งตรงข้ามกับเย่เทียน เขามาถึงขั้นที่นั่งอยู่ระดับเดียวกับเย่เทียนแล้ว
เย่เทียนไม่สนใจ แต่มีแววแสดงความไม่พอใจในดวงตาของยิ่งหมิงซวน เห็นได้ชัดว่าไม่รู้สึกละอายที่จะนั่งกับเย่เทียนที่รู้จักแต่คุยโวเท่านั้น
ฉินเจิ้งไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่นิดเดียว ถามด้วยรอยยิ้มว่า “หมิงซวน ทำไมคุณมาคนเดียวล่ะ? อาจารย์ของคุณอยู่ที่ไหน?”
“อาจารย์ของผมยังอยู่กับนายท่านจี้ทางด้านนั้น ดังนั้นผมจึงเข้ามาก่อน”
ยิ่งหมิงซวนตอบด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะไม่ได้บอกตัวตนของเขา แต่จากสิ่งที่ฉินเจิ้งพูด เย่เทียนเดาได้ว่าคนคนนี้น่าจะเป็นลูกศิษย์ของมู่หยุนเทียน
ในขณะนั้นเอง ยิ่งหมิงซวนก็หันกลับมามองเย่เทียนด้วยสายตาที่เฉียบคม
“คนหนุ่มมีหน้ามีตานี่คือเรื่องปกติ แต่ผมหวังว่าคุณจะแก้ไขสิ่งที่คุณพูดเมื่อกี้ให้ถูกต้อง”
คำพูดอย่างไม่คาดคิดของเขาทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ตกตะลึง
ดวงตาของเยี่ยนจื่อเฉินเป็นประกาย แอบคิดว่าเย่เทียนรนหาที่ไปทำให้ยิ่งหมิงซวนขุ่นเคืองอะไรหรือเปล่า? ฮ่าฮ่า มีอะไรดีๆ ให้ดูแล้ว!
หลินอ้าวเสว่หน้านิ่วคิ้วขมวด ส่ายหน้าในใจ ตำหนิความหุนหันพลันแล่นของเย่เทียน กล้าหาเรื่องคนไปทั่วได้อย่างไร?
“คุยโว คุยโวอะไร?”
เย่เทียนกลับหัวเราะออกมา แล้วมองอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจ
ยิ่งหมิงซวนพ่นลมหายใจแรง “ก็ที่คุณคุยโวว่าคุณสามารถฝึกฝนอย่างสมบูรณ์ได้!”
“คุณไม่รู้จักผม ทำไมถึงแน่ใจว่าสิ่งที่ผมพูดคือการคุยโว”
เย่เทียนส่ายหน้า ไม่สนใจเขา ทอดสายตาไปยังฉินเจิ้ง “นายท่านฉิน ผมเพิ่งบอกไปว่าถ้าคุณเชื่อมั่นในตัวผมก็สามารถลองดูได้ แต่ถ้าไม่เชื่อ ผมก็ไม่มีทางเลือก”
พูดจบเย่เทียนก็ยักไหล่ แล้วนั่งบนเก้าอี้อย่างเฉยเมยโดยไม่พูดอะไรอีก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของฉินเจิ้งก็แย่ลง
มันเป็นความจริงที่เย่เทียนช่วยชีวิตเขาไว้ แต่เขาไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มอายุยี่สิบอย่างเย่เทียน จะสามารถทำให้พลังภายในวรยุทธของพวกเขาสมบูรณ์แบบได้
แม้จะบอกว่าไม่เชื่อที่เย่เทียนช่วยเขาไว้ได้สองครั้ง แต่ฉินเจิ้งก็ไม่แสดงออกมาบนใบหน้า เขายิ้มและพูดว่า “ฮ่าฮ่า เรื่องนี้พักไว้ก่อนเถอะ วันนี้พวกเรามีเรื่องสำคัญต้องคุยกัน”
“ฮึ นายท่านฉินเป็นคนฉลาด คนคนนี้มองก็รู้ว่าพูดเรื่องไร้สาระ พลังภายในวรยุทธเป็นรากเหง้าของตระกูลใหญ่ เขาจะให้ยืมใช้ตามใจชอบได้อย่างไร?”
ในเวลานี้เยี่ยนจื่อเฉินก็พูดเย้ยหยันตามมา เพียงแต่ไม่พูดว่าเย่เทียนเป็นนักต้มตุ๋น มีจุดประสงค์อะไรที่บอกคนอื่นไม่ได้!
หลินอ้าวเสว่แอบถอนหายใจ รู้สึกว่าเย่เทียนนั้นจองหองเกินไปแล้ว
เย่เทียนขมวดคิ้ว เยี่ยนจื่อเฉินคนนี้ยั่วยุเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมเหรอ คิดว่าเขายอมให้รังแกได้ง่ายๆ งั้นเหรอ?
แต่พอมาลองคิดดู เย่เทียนก็ได้สติกลับมา รู้สึกว่ามันไม่จำเป็น
คนอื่นจะมองเขาอย่างไร มันเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?
ที่นี่นิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
“เอ๊ะ เย่เทียน คุณมาที่นี่ทำไม?”
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินโล่หยินก็เข้ามาจากด้านนอก ทันทีที่เห็นเย่เทียน ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
ถ้าไม่ใช่เพราะยาที่เย่เทียนให้เธอ ปู่ของเธอก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร
เธอทักทายคนที่อยู่รอบข้างก่อน จากนั้นจึงมานั่งข้างเย่เทียน
เธอมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง สัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่าบรรยากาศดูผิดปกติ
“คุณปู่ ไหนท่านบอกว่าจะมีปรมาจารย์ปรุงยาท่านหนึ่งมาไม่ใช่เหรอ? ว่ากันว่าคนคนนี้สามารถปรุงยาดีๆ ได้เป็นจำนวนมาก ได้ผลชะงัดอย่างอัศจรรย์ต่อร่างกายของผู้คน ไม่รู้ว่าถ้าเทียบยาที่เย่เทียนเคยเอามา อย่างไหนจะดีกว่ากัน?”
คำพูดของเธอทำให้ทุกคนกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที
“สภาพอย่างเขานี่ยังปรุงยาได้ด้วยเหรอ?”
เยี่ยนจื่อเฉินยิ้มเยาะอย่างดูถูก
ยิ่งหมิงซวนที่ไม่พอใจเย่เทียนอยู่แล้วก็พ่นลมหายใจแรงเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่กิริยาเสียดสีของเขานั้นชัดเจนโดยไม่ต้องพูด
คนอื่นๆ ต่างก็อยากรู้ พวกเขามารวมตัวกันก็เพราะเรื่องนี้
“ผมก็เพิ่งได้ยินจากเหล่ามู่ว่าปรมาจารย์ปรุงยาท่านนั้นกำลังจะมาถึง ส่วนผลลัพธ์จะเป็นยังไงนั้น ผมไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ยังตัดสินชี้ขาดตอนนี้ไม่ได้”
ฉินเจิ้งพูดพลางมองเย่เทียนด้วยสายตาขุ่นมัวอย่างไม่รู้ตัว
ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน มู่หยุนเทียนก็บอกว่าได้พบกับปรมาจารย์ปรุงยาท่านหนึ่ง เรื่องนี้จะเกี่ยวอะไรกับยาที่เย่เทียนนำมาให้ก่อนหน้านี้หรือไม่?
“คุณฉิน คุณหมายความว่าเขาสามารถปรุงยาได้ด้วยเหรอ?”
ในเวลานี้ ยิ่งหมิงซวนเอ่ยปากถามเบาๆ
เมื่อฉินโล่หยินได้ยินเสียง ก็เหลือบมองเขาโดยไม่รู้ตัว แล้วยิ้มให้อย่างสุภาพ
“แน่นอน ยาที่เย่เทียนปรุงให้ก่อนหน้านี้ได้ช่วยชีวิตคุณปู่ของฉันไว้!”
“อ้อ ไม่แปลกใจเลย!”
ยิ่งหมิงซวนแจ่มแจ้งในทันที พลางยิ้มเยาะว่า “แต่คุณฉินเคยเห็นเขาปรุงยาด้วยตาของคุณเองหรือเปล่า? ถ้าไม่อย่างนั้นคุณจะรู้ได้ยังไงว่ายานั้นถูกปรุงโดยเขา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ตกตะลึง