ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี - ตอนที่ 196 ดีต่อสังคมด้วย
จางหยวนกับหม่าหยางเหลือบมองตากัน
หม่าหยางเบ้ปาก “พี่เชียน ยังไม่ต้องไปถึงเรื่องอื่น เอาเรื่องชื่อก่อน ชื่อมันดูความหมายลบๆ ยังไงไม่รู้[1]…เหมือนจะสื่อว่าเราจัดส่งโคตรช้าอะไรอย่างนี้”
เผยเชียนส่ายหน้า “ไอ้หม่า แกมันจะไปรู้อะไร ลมต้านน่ะเหมาะกับบินเครื่องบิน รู้รึเปล่า ชื่อของเราจะสื่อว่าเราพร้อมที่จะเหินฟ้าต่างหาก!”
จางหยวนกะพริบตาถี่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เขาไม่เข้าใจความคิดของบอสเผยเลยสักนิด!
ตอนแรกจางหยวนพยายามจะเดาเป้าหมายต่อไปของบอสเผย
จะพัฒนาสาขาอื่นรึเปล่านะ
หรือจะไปจัดการโมหยูเดลิเวอรี่แทน
สุดท้ายกลับไม่ใช่ทั้งสองอย่าง บอสเผยดันวางแผนจะขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น
ทั้งสองมองเผยเชียนอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เผยเชียนกระแอมกระไอ “ฉันรู้ แผนนี้ฟังดูใหญ่เกินไป จากเงินทุนที่เรามีอยู่ตอนนี้อาจจะยังถือว่าไกลเกินเอื้อม
“แต่ฉันก็ไม่ได้จะเร่งสร้างบริษัทโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ครอบคลุมทั้งประเทศสักหน่อย ไม่ได้คิดจะให้บริการข้ามเมืองด้วยซ้ำ
“เราจะให้บริการแค่ในเมืองจิงโจว โดยจะมุ่งจัดการกับปัญหา ‘กิโลเมตรสุดท้าย’!”
ตอนนี้มีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซมากมายบนโลกนี้ ปัญหาคือแพลตฟอร์มเหล่านี้ยังไม่ได้รับความนิยมเมื่อเทียบกับภายหลังจากนี้
เป็นเรื่องปกติที่บริการขนส่งและโลจิสติกส์จะเริ่มให้บริการทั่วทั้งประเทศ แถมยังพัฒนาไปได้ดีเลยทีเดียว
แต่บริการขนส่งหลายๆ เจ้าก็ยังล้าหลังอยู่ มีส่งพัสดุไม่ตรงเวลา ทำพัสดุหาย และชอบปล่อยพัสดุไว้ที่จุดบริการปลายทาง ปล่อยให้ลูกค้าไปรับกันเองเป็นเรื่องปกติ
พูดง่ายๆ คือ มีไม่กี่บริษัทที่ส่งพัสดุถึงหน้าบ้านลูกค้า
โดยปัญหาที่ว่านี้เรียกว่า ปัญหา ‘กิโลเมตรสุดท้าย’
แม้แต่ในสิบปีให้หลัง ปัญหานี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข นอกจากบริษัทดีๆ อย่าง SF Express กับ JD Central แล้ว บริษัทขนส่งหลายๆ เจ้ายังปล่อยพัสดุไว้ที่จุดบริการปลายทางเหมือนเดิม
มีการก่อตั้งบริษัท Hive Box บริษัทไช่เหนี่ยว และบริษัทอื่นๆ ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับให้บริการได้แย่มาก
ต้นตอของปัญหาอยู่ที่เงินทุน
การส่งพัสดุจากคลังสินค้าไปถึงหน้าบ้านลูกค้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทำให้หลายบริษัทเลือกที่จะผลักค่าใช้จ่ายตรงนี้ไปให้ลูกค้า
เผยเชียนคิดง่ายๆ ว่า ที่คนอื่นๆ ไม่ยอมเหนื่อยกับตรงนี้ก็เพราะไม่ได้กำไร
แต่ฉันไม่สน!
เพราะยังไงเขาก็ต้องทำให้ตัวเองขาดทุนอยู่แล้ว การยอมเหนื่อยทำตรงนี้แทนคนอื่นจะช่วยให้เขาขาดทุนได้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังช่วยให้ลูกค้าสะดวกสบายขึ้นด้วย ทำไมเขาจะไม่อยากช่วยคนอื่นล่ะ
“ฉันวางแผนไว้แล้ว เราจะเปิดจุดบริการนี่เฟิงในเมืองจิงโจวร้อยจุด โดยจะให้บริการครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองจิงโจว
“จากนั้นเราจะติดต่อบริษัทขนส่งเจ้าอื่นๆ ให้พนักงานของพวกเขามาส่งพัสดุไว้ที่จุดบริการของเรา แล้วพนักงานของเราจะเป็นคนเอาพัสดุไปส่งถึงหน้าบ้านลูกค้า”
พูดง่ายๆ คือ พวกเขาคือจุดบริการไช่เหนี่ยวที่ส่งพัสดุถึงหน้าบ้านลูกค้า
แต่ปัญหาอยู่ที่จุดบริการไช่เหนี่ยวบางสาขาสามารถทำกำไรได้
จุดบริการไช่เหนี่ยวใช้เงินลงทุนตั้งต้นแค่แห่งละสองถึงสามหมื่นหยวน ที่ต้องทำก็แค่เช่าสถานที่ภายในพื้นที่ให้บริการ ค่าเช่าแต่ละเดือนอยู่ที่ประมาณพันสองพันหยวน (อิงตามราคาตลาดการเช่าพื้นที่ในเมืองจิงโจว) จากนั้นก็ต้องการเงินอีกหนึ่งหมื่นหยวนไว้ใช้ซื้อชั้นวางของ เคาน์เตอร์ คอมพิวเตอร์ ตู้เก็บของ และตกแต่งภายใน เสร็จแล้วก็พร้อมเปิดให้บริการ
ต้องมีการเจรจาหาค่าจ้างที่เหมาะสมกับพนักงานส่งของ ซึ่งจะได้เงินชิ้นละประมาณสองถึงสี่เหมา ถ้าส่งพัสดุได้สองถึงสามร้อยชิ้นต่อวัน รายได้ต่อเดือนจะอยู่ที่ประมาณสามพันหยวน
ปกติแล้วจุดบริการไช่เหนี่ยวมีพนักงานประจำแค่สองคน โดยช่องทางอื่นในการหารายได้ก็มีขายของ ให้บริการโฆษณา ส่งของ และอื่นๆ
สรุปแล้วจุดบริการไช่เหนี่ยวนั้นสามารถทำกำไรได้ จึงมีหลายคนเริ่มลงทุนเปิดจุดบริการไช่เหนี่ยว
แต่จุดบริการนี่เฟิงของเผยเชียนนั้นไม่เหมือนกัน เนื่องจากพวกเขามุ่งเป้าไปที่การส่งของถึงหน้าประตูบ้านลูกค้า
เหตุผลหนึ่งก็เพราะต้องเสียเงินจ้างพนักงานส่งของแพงขึ้น ถ้าต้องส่งพัสดุสองถึงสามร้อยชิ้นต่อวัน พวกเขาก็ต้องจ้างพนักงานส่งของถึกๆ สักคนสองคน ซึ่งเผยเชียนก็ต้องจ่ายเงินเดือนให้พวกเขา
อีกเหตุผลหนึ่งคือ ลูกค้าไม่ต้องมารับสินค้าที่จุดบริการ พอลูกค้าไม่ต้องมาที่ร้าน รายได้จากการขายของและรับโฆษณาก็จะน้อยลง
พวกเขาต้องจ้างคนอย่างน้อยสามคน แบ่งเป็นผู้จัดการหนึ่งคนและพนักงานส่งของอีกสองคน พื้นที่ที่มีคนอาศัยอยู่เยอะอาจต้องจ้างพนักงานส่งของสามคน ถ้าให้เงินเดือนพนักงานส่งของเดือนละสามพันหยวน (เงินเดือนตั้งต้น+ค่าคอมมิชชัน) ก็จะต้องจ่ายอย่างต่ำเดือนละเก้าพันหยวน
เอาไปรวมกับค่าเช่าอีกสองพันหยวน เขาจะมีค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่หนึ่งหมื่นหนึ่งพันหยวน ถ้าคำนวณว่าจะหาเงินได้ประมาณสองถึงสามพันหยวน พวกเขาก็จะขาดทุนเจ็ดถึงแปดพันหยวนต่อเดือน
ถ้าเผยเชียนเปิดจุดบริการสักร้อยแห่งก็จะต้องใช้ทุนตั้งต้นประมาณสามล้านหยวน ยอดขาดทุนรวมต่อเดือนจะอยู่ที่เจ็ดถึงแปดแสนหยวน
แถมนี่ยังแค่เริ่มต้น พอเผยเชียนขยายกิจการออกไป เขาก็ต้องจ้างพนักงานเพิ่ม หมายความว่าก็จะยิ่งขาดทุนมากขึ้น
ที่เยี่ยมที่สุดคือเขาสามารถคุมยอดขาดทุนในธุรกิจนี้ได้!
ตัวอย่างเช่น ถ้าเผยเชียนคำนวณดูแล้วพบว่าต้องผลาญเงินทุนระบบอีกหนึ่งล้านหยวนให้ได้ภายในหนึ่งเดือนก่อนวันปิดบัญชี เขาสามารถเปิดจุดบริการนี่เฟิงขึ้นมาทันทียี่สิบแห่ง ขอแค่เปิดจุดบริการก่อนวันปิดบัญชีหนึ่งสัปดาห์ เงินก็ได้ผลาญ แถมยังไม่ทำให้วันปิดบัญชีล่าช้าออกไปด้วย
จุดบริการนี่เฟิงไม่เหมือนร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูเพราะใช้เวลาไม่มากในการเปิดและปิดกิจการในแต่ละแห่ง ก็เหมือนคำพูดที่ว่า เรือยิ่งเล็ก ยิ่งกลับลำได้เร็ว ธุรกิจนี้จะทำให้เผยเชียนผลาญเงินได้ง่ายขึ้น
เผยเชียนวางแผนไว้หมดแล้ว เขาจะเปิดจุดบริการนี่เฟิงใกล้ๆ บริษัทเถิงต๋า เฟยหวงสตูดิโอ ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูและบ้านของเขาเป็นอันดับแรก
จากนั้นไม่ว่าเขาและครอบครัวจะซื้ออะไรผ่านช่องทางออนไลน์ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปรับพัสดุที่จุดบริการอีก พัสดุทุกชิ้นจะจัดส่งตรงมาถึงหน้าบ้าน
เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เขาจึงเลือกเปิดบริการแถวบ้านก่อน
นอกจากจะช่วยผลาญเงินได้แล้ว ยังถือเป็นการทำดีอีกด้วย ยอดเยี่ยมจริงๆ!
หลังจากได้ฟังเผยเชียนอธิบาย จางหยวนก็ได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้
เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะเดาความคิดบอสเผยได้!
ดูแล้วนี่น่าจะเป็นแผนการระยะยาว
ถึงเผยเชียนจะไม่ได้บอกอะไรละเอียดนัก แต่จางหยวนก็พอเดาได้ว่าเขาน่าจะไปในทิศทางนี้
ถ้าแก้ปัญหา ‘กิโลเมตรสุดท้าย’ ได้ ก็จะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้นี่เฟิงโลจิสติกส์
ในระยะสั้นอาจขาดทุน แต่ถ้ามองในระยะยาวล่ะ
พอคนเริ่มคุ้นชินกับการใช้บริการนี่เฟิงโลจิสติกส์ พวกเขาก็จะเลือกนี่เฟิงโลจิสติกส์เวลาต้องการส่งพัสดุ
ในอนาคตนี่เฟิงโลจิสติกส์จะก้าวขึ้นไปเป็นบริการขนส่งระหว่างเมืองและระหว่างมณฑล
แต่แผนนี้กินระยะเวลานานมาก นานจนคนส่วนใหญ่อาจคาดไม่ถึง!
ไม่แน่ในหลายปีให้หลัง นี่เฟิงโลจิสติกส์อาจจะยังขาดทุนอยู่ แต่ถ้าประสบความสำเร็จขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะส่งผลกระทบกับทุกแง่มุมในชีวิตของทุกคน
จางหยวนอดรู้สึกยกย่องเผยเชียนไม่ได้
นี่สิคือการเริ่มกิจการที่แท้จริง!
[1] ชื่อร้านนี่เฟิง (逆风) ที่เผยเชียนตั้งแปลว่าลมต้าน ซึ่งสวนทางกับประโยค 一路顺风 (ความหมายตรงตัวคือ เดินตามลม) ที่แปลว่าเดินทางโดยสวัสดิภาพ