ขับไล่ไอ้มารตัณหา ~เพราะได้รับกิฟต์สุดอนาจารเลยโดนไล่ออกจากนครหลวง แต่แค่ทำเรื่องลามก (รวมช่วยตัวเองด้วย) ก็เวลอัพแบบพรวดพราดเฉย~ - ตอนที่ 10: เค้าลางศึกระหว่างผู้หญิง (?)
- Home
- ขับไล่ไอ้มารตัณหา ~เพราะได้รับกิฟต์สุดอนาจารเลยโดนไล่ออกจากนครหลวง แต่แค่ทำเรื่องลามก (รวมช่วยตัวเองด้วย) ก็เวลอัพแบบพรวดพราดเฉย~
- ตอนที่ 10: เค้าลางศึกระหว่างผู้หญิง (?)
“ คืนสภาพ ”
พอเพ่งจิตคิดเช่นนั้น ดาบมารอะดามันไทต์ก็หวนกลับมาเป็นดุ้นที่นุ่มหนึบ
“ เรียกใช้สกิล ”
และเมื่อเรียกใช้สกิลโดยที่นึกถึงอิมเมจของดาบมารอะดามันไทต์ ดุ้นของผมก็แปลงสภาพกลายเป็นดาบภายในชั่วอึดใจ
……อือ
ก็รู้ดีแก่ใจอยู่แล้วหรอกนะ แต่เจ้าอาวุธแสนทรงพลังนี่มันคือดุ้นของผมโดยแท้เลยจริงๆ นั่นแหละ
หากเป็นเรื่องเข้าใจผิดอะไรซักอย่างก็คงดี แต่เมื่อตะกี้ผมได้งัดเอาดุ้นของตัวเองออกมาฟาดฟันต่อสู้อย่างจริงแท้แน่นอนเลย เหอๆ ไอ้จ้อนของผมมันกลายเป็นอาวุธสุดสยองที่เปลี่ยนแปลงรูปทรงได้อย่างอิสระไปแล้วเหรอเนี่ย……
ผมแปลงสภาพแล้วก็คืนสภาพดุ้นของตัวเองซ้ำไปซ้ำมา โดยเฝ้าขอให้มีอะไรเป็นใจให้ไอ้ความเป็นจริงสุดยากจะเชื่อนี่มันเปลี่ยนแปลงไปที
แต่ความเป็นจริงก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ที่เปลี่ยนไปนั้นมีเพียงไอ้จ้อนของผมเท่านั้นเอง
เป็นในยามที่ผมกำลังทำอะไรเช่นนั้นอยู่ด้วยดวงตาว่างเปล่า
“ ขะ คือว่า! ”
พลันมีเสียงทักดังมาจากข้างหลัง
เด็กผู้หญิงผมแดงที่พวกผมช่วยเอาไว้นั่นเอง
เป็นตรงนี้ที่ผมเพิ่งจะได้สติ รีบซุกดุ้นภายในมือหลบเข้ากระเป๋าทันที
จะยอมให้คนอื่นนอกจากอลิเซียเห็นของพรรค์นี้ได้ซะที่ไหนกันเล่า!
“ ขอบคุณมากนะที่มาช่วยเอาไว้……! ถ้าไม่ได้พวกเธอ พวกฉันก็คงต้องมาตายกันที่นี่อย่างแน่นอนเลยละ ”
เป็นสาวงามที่เหมาะสมกับคำบรรยายว่า ‘สาวชาวเมืองนิสัยเริงร่า’ แบบเป๊ะๆ
เธอเผยรอยยิ้มราวกับตื้นตันใจอย่างใหญ่หลวงเหนือใบหน้าอันได้รูปไปพลางก้มหัวลงให้อย่างเรียบร้อย
อากัปกิริยานั้นช่างดูสง่างาม แถมดูจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแล้วก็สามารถคาดเดาได้ว่าคงเป็นคนจากบ้านที่มีฐานะร่ำรวยพอสมควรเลย
ว่าจบแล้วเธอก็เงยหน้าอันสดใสขึ้นมาหาผมอย่างตรงไปตรงมา
“ โดยเฉพาะเธอ แข็งแกร่งมากซะจนเชื่อไม่ลงเลยละว่าเป็นคนอายุรุ่นเดียวกับฉัน น่าจะหาที่ไหนอื่นไม่ได้แล้วละมั้งคนสุดยอดแบบเธอน่ะ ถ้ากลับไปถึงเมืองแล้วได้โปรดให้โอกาสได้ตอบแทนทีเถอะนะ หากเป็นอะไรที่ทำได้แล้วละก็ ฉัน—โซเนีย แมคชิเอลคนนี้จะยินดีทำให้ทุกอย่างเลย ”
คงจะพูดขอบคุณอลิเซียเต็มที่ไปเรียบร้อยในระหว่างที่ผมกำลังหนีความจริงอยู่ละมั้ง
เด็กผู้หญิงผมแดง—โซเนียจึงเผยรอยยิ้มที่งามเลิศซะจนเผลอตัวมองค้างพลางกล่าวขอบคุณผมตั้งหลายต่อหลายครั้ง
แต่เป็นตรงนั้นเองที่ผมสังเกตเข้า
ว่าเสียงของเธอที่พยายามจะพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำนั้นยังฟังดูสั่นเครืออยู่เล็กน้อย บริเวณหางตาก็มีร่องรอยของหยาดน้ำตา
ซึ่งก็สมควรแล้วละ
ก็ตลอดจนถึงเมื่อกี้ยังถูกมอนสเตอร์ไล่คุกคามเข้าใส่ภายในป่า แล้วโดนกดดันจนอีกนิดเดียวก็จะย่อยยับไปด้วยกันกับเหล่าคนคุ้มกันเลยนี่นา
ถึงแม้จะรอดแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะสามารถสงบอารมณ์ลงได้ในทันที แถมว่ากันแต่แรกเริ่มเดิมทีแล้วนี่ก็ยังอยู่ภายในป่าอยู่เลย คงพูดว่าปลอดภัยแล้วได้ไม่เต็มปากหรอก
(ในเวลาแบบนี้ การช่วยให้เค้ารู้สึกอุ่นใจให้ได้ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญสินะ……)
หวนนึกถึงสิ่งที่ถูกสอนซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตั้งแต่เด็กภายในตระกูลอัศิวลึงค์……เอ้ย <อัศวินศักดิ์สิทธิ์> ซึ่งมีหน้าที่เฝ้าปกป้องประเทศและปวงชนขึ้นได้ ผมจึงจับมือของโซเนียมากุมเอาไว้
แน่นอนว่าไม่ลืมเอามือเช็ดกางเกงก่อนล่วงหน้าแล้ว
ก็จะแตะตัวเพศหญิงด้วยมือสกปรกที่เพิ่งจับไอ้จ้อนมาหมาดๆ ได้ยังไงกันเล่า!
“ ฟุเอ๊!? ”
คุกเข่าลงในสภาพที่กุมมือของโซเนียที่ตื่นตกใจ แล้วจากนั้นผมจึงเผยรอยยิ้มเพื่อช่วยให้เธอรู้สึกอุ่นใจ
“ ไม่ต้องถึงกับขอบคุณหรอกครับ การช่วยเหลือคนที่ถูกมอนสเตอร์คุกคามน่ะถือเป็นเรื่องปกติที่สมควรทำอยู่แล้ว เดี๋ยวพวกผมจะพาไปส่งให้ถึงเมืองนะ ดังนั้นอุ่นใจได้เลยนะครับไม่เป็นอะไรแล้ว ”
ก็มีคิดเหมือนกันว่าไหงทำมาพูดวางท่าเฉยเมื่อตะกี้ยังสวิงดุ้นหมุนติ้วๆ อยู่เลย แต่เอาน่ะ เรื่องหยุมหยิมน่ะทิ้งไปเถอะ ไม่งั้นละก็เดี๋ยวได้บ้าตายกันพอดี
และเมื่อผมแหงนมองโซเนียด้วยท่วงท่ากิริยาที่ได้ร่ำเรียนมาจากที่บ้านแล้ว
“ ……อึก! ”
ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำขึ้นมาซะจนมีระดับเดียวกับสีผม เอ๊ะ?
“ ~~~~อื้อ! นะ หน้าตาน่ารักแถมยังเก่งแล้วก็เป็นสุภาพบุรุษอีกด้วยเนี่ยนะจะเกินไปแล้ว……อุ อุหวายฉันเป็นอะไรเนี่ย หน้าร้อนจี๋เลย……!? อะ อ๊ะ จริงสิ! ไม่ใช่เวลามาเอ้อระเหยอยู่ซะหน่อย! ”
โซเนียเลิ่กลั่กตื่นตกใจอะไรก็ไม่รู้ของเค้าอยู่คนเดียว ก่อนที่จะแผดเสียงตะโกนดังลั่นราวกับเป็นการกลบเกลื่อน
“ ต้องรีบแบกพวกบาบาร่าไปรับการรักษาที่เมือง! ต้องให้พวกเธอช่วยแล้วมาพูดแบบนี้มันอาจฟังดูยังไงอยู่……แต่ได้โปรดช่วยทีเถอะค่ะ! ”
อ๊ะ จริงด้วย!
พอถูกโซเนียว่าเช่นนั้น ผมกับอลิเซียก็ทำการแบกเหล่าคนคุ้มกันอย่างแตกตื่นลนลาน
แล้วจึงรีบวิ่งออกไปจากป่าที่ไม่รู้ว่าจะมีมอนสเตอร์โผล่ออกมาอีกเมื่อไหร่
……ระหว่างนั้น ไม่รู้ทำไมอลิเซียถึงเอาแต่ส่งสายตาจ้องมองผมกับโซเนียตาไม่ละจนรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอยู่หรอก……แต่เพราะอาการของเหล่าคนคุ้มกันนั้นสาหัสกว่าที่คิดไว้มาก จึงไม่มีเวลาได้สอบถามถึงเหตุผลเลย
“ คุณโซเนีย!? เกิดอะไรขึ้นครับ!? ”
“ ถูกพวกมอนสเตอร์ทำร้ายในป่าน่ะ นี่ขอร้องละ ช่วยไปเรียกคนที่มี <กิฟต์> สายฟื้นฟูมาเดี๋ยวนี้ที ”
“ ทราบแล้วครับ! ”
เมื่อพวกผมกลับมาถึงเมือง สภาพของโดยรอบก็พลันเกิดเป็นความโกลาหลขนาดย่อมๆ
ดูจากเสื้อผ้า อากัปกิริยา และความจริงที่ว่ามีคนคอยตามคุ้มกันแล้วก็พอจะเดาๆ ได้อยู่หรอก แต่เหมือนว่าโซเนียจะเป็นคนชื่อดังและมีฐานะภายในเมืองแห่งนี้พอสมควรเลยจริงๆ นั่นแหละ
คงเพราะแบบนั้นละมั้ง พอแบกตัวคนคุ้มกันที่บาดเจ็บมาถึงเมืองปุ๊บเหล่าทหารเฝ้าประตูก็พากันแตกตื่นยกใหญ่ ในช่วงผ่านถนนสายหลักนี่คือถึงกับมีกลุ่มคนมุงที่เหมือนว่าจะประกอบหลักๆ ไปด้วยเหล่าคนรู้จักมากองกันแออัดไปหมด
ผมน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าอลิเซียที่หนีออกจากบ้านมาเกิดกลายเป็นที่สนใจเข้าละก็แบบนั้นจะไม่ดี
โดยเฉพาะอลิเซียยิ่งหน้าตาน่ารักมากๆ เลยด้วย หากโดดเด่นเป็นที่จับตามองขึ้นมาในที่นี้ละก็คงไม่แคล้วได้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาทันตา
ดังนั้นผมกับอลิเซียจึงส่งตัวคนคุ้มกันที่แบกไว้ไปให้กับเหล่าผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะค่อยๆ ถอยห่างออกไปจากที่แห่งนั้นอย่างเงียบเชียบ
“ เอ๊ะ เดี๋ยวสินั่นทั้งสองคนจะไปไหน!? อย่าว่าแต่ขอบคุณเลย นี่เรายังแทบไม่ได้พูดคุยทำความรู้จักกันด้วยซ้ำนะ! ”
ผู้ที่แผดเสียงขึ้นหยุดพวกผมก็คือโซเนีย
แต่พอผมปิดบังใบหน้าร่วมกับอลิเซียพลางพูด “ขอโทษ” แล้วปุ๊บ ก็ดูเหมือนว่าเธอจะพอเดาอะไรได้,
“ ……แบบนี้นี่เอง มีเหตุผลที่บอกไม่ได้สินะ ถ้างั้นอย่างน้อยก็ช่วยบอกชื่อที่บอกได้กับที่พักแรมที่พักอยู่ทีเถอะ! เดี๋ยวจะตามไปขอบคุณให้ได้อย่างแน่นอนเลยทีหลัง! ”
หากถูกพูดแบบนั้นเข้าใส่ด้วยสีหน้าจริงจังแล้วก็ทำใจปฏิเสธไม่ลง
หลังจากคิดอยู่ซักระยะ ผมก็บอกชื่อปลอมว่า “เอริออร์” กับตำแหน่งที่พักแรมให้ไป ก่อนจะปลีกตัวออกห่างไปอย่างจริงๆ แล้วในคราวนี้ด้วยกันกับอลิเซียที่ไหงถึงเงียบกริบมากยิ่งกว่าปกติ