ขับไล่ไอ้มารตัณหา ~เพราะได้รับกิฟต์สุดอนาจารเลยโดนไล่ออกจากนครหลวง แต่แค่ทำเรื่องลามก (รวมช่วยตัวเองด้วย) ก็เวลอัพแบบพรวดพราดเฉย~ - ตอนที่ 1: พิธีประทาน
คืนวันนั้นเป็นคืนที่นครหลวงเปี่ยมล้นไปด้วยความครื้นเครงอย่างเริงร่าหรรษา
วันนี้เป็นวันงานเทศกาลคาร์นิวัลที่หนึ่งปีจะมีหน
นับเป็นวันอันสำคัญที่เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวผู้มีอายุครบ 14 ในปีนี้จะได้รับ <กิฟต์> จากสวรรค์
<กิฟต์> ที่ว่านี้ก็คือพรสวรรค์ของคนเราที่สวรรค์จะส่งมอบลงมาให้
มีหลากหลายประเภทยกตัวอย่างเช่น <นักดาบ> หรือ <ช่างตีเหล็ก> เป็นต้น, เรียกได้ว่าชีวิตของคนเราจะถูกตัดสินขึ้นอยู่กับว่าได้รับ <กิฟต์> ประเภทไหนมานั่นแหละ
เหล่าเด็กๆ ผู้มีอายุครบ 14 ในปีนี้ต่างมาเข้าแถวยืนเรียงรายอยู่กันในลานโล่งหน้าโบสถ์อันเป็นจุดศูนย์กลางของนครหลวง ค่อยๆ ทยอยรับ <กิฟต์> กันอย่างเป็นลำดับ
“ อูวว ประหม่าสุดๆ ไปเลยแฮะ ”
ตัวผม, เอริโอ สการ์เล็ตเองก็กำลังยืนเข้าร่วมอยู่ในแถวดังกล่าวพร้อมกับหัวใจที่เต้นถี่รัวแรง
ก็น่าจะประหม่ากันหมดทุกคนหรอก แต่คิดว่าผมนี่แหละคงจะประหม่าหนักยิ่งกว่าใครราวเท่าตัวนึงได้
ก็เพราะว่าตระกูลของผมคือตระกูลดยุคสการ์เล็ต อันถือเป็นตระกูลชื่อดังโดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ ภายในนครหลวงแห่งนี้เลยยังไงละ
คนของตระกูลสการ์เล็ตมักจะได้รับ <กิฟต์> สาย <อัศวินศักดิ์สิทธิ์> กันซะมาก ทำให้บ้านของผมเป็นตระกูลขุนนางอันสูงศักดิ์ที่มีหน้าที่ต้องใช้พลังอำนาจดังกล่าวเพื่อปกป้องนครหลวงแห่งนี้เอาไว้
แน่นอน ตัวผมที่เป็นหนึ่งในตระกูลก็ถูกคาดหวังให้ได้ <อัศวินศักดิ์สิทธิ์> ด้วยเหมือนกัน เพราะแบบนี้ก็เลยได้อาจารย์ฝีมือดีมาคอยตามติดช่วยมอบความรู้ให้การศึกษาในหลากหลายด้านหลากหลายแขนงมาตั้งแต่สมัยยังเล็กๆ เลย เค้าอุตส่าห์ลงทุนทำให้ซะขนาดนี้เลยไง ถ้าเกิดว่าผมได้ <กิฟต์> พิลึกๆ กลับไปขึ้นมานี่แค่คิดก็ปวดหมองแล้ว
“ ไม่ต้องประหม่าไปถึงขั้นนั้นหรอกนะเอริโอ ”
ผู้กล่าวเช่นนั้นพร้อมวางมืออย่างอ่อนโยนลงเหนือไหล่ของผมก็คือคุณพ่อ
คุณพ่อที่เป็นผู้นำตระกูลดยุคสการ์เล็ตคนปัจจุบันได้แสดงรอยยิ้มอันเป็นกันเอง ก่อนจะกล่าวคำพูดต่อออกมา
“ พูดแบบนี้มันก็อาจฟังดูยังไงอยู่ แต่ตระกูลสการ์เล็ตของเราน่ะมีพี่ชายสองคนของลูกที่ได้รับกิฟต์ <อัศวินดาบศักดิ์สิทธิ์> อยู่แล้ว เกี่ยวกับเรื่องทายาทผู้สืบทอดนี่คือไม่มีอะไรต้องกังวลเลย ช่วงนี้เห็นเขาเล่ากันว่ามีขุนนางที่ขับไล่ลูกตัวเองออกจากบ้านเพราะไม่พอใจที่ได้รับ <กิฟต์> ประหลาดๆ อยู่เหมือนกันก็จริง แต่พ่อน่ะไม่ใช่คนใจร้ายใจดำแบบนั้นหรอก ต่อให้ได้รับ <กิฟต์> แบบไหนมาแต่ลูกก็จะยังคงเป็นลูกที่รักของพ่ออยู่ดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลงนั่นแหละ ดังนั้นก็เข้าไปรับ <กิฟต์> อย่างมั่นใจได้เลย ”
“ ขะ ครับคุณพ่อ! ”
คำพูดของคุณพ่อที่ทั้งเท่และมีเกียรติได้ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมา
“ โอ้ววววววววววววววววว! ”
เป็นตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องดังกระหึ่มขึ้นมาจากทิศเบื้องหน้า
พอหันมองไปด้วยความสงสัยว่ามีอะไรกันปุ๊บ
“ สุดยอด! มีคนได้ <อัศวินศักดิ์สิทธิ์เทวะ> ด้วยเว้ย! ”
เสียงดังเซ็งแซ่ของเหล่าชาวเมืองทำให้ผมถึงกับตะลึงหลุดพูดว่า “อะ อัศวินศักดิ์สิทธิ์เทวะ!?” ออกมา
นั่นคือ <กิฟต์> ระดับสูงสุดที่ทรงอำนาจเหนือมากยิ่งกว่า <อัศวินดาบศักดิ์สิทธิ์> ของพวกพี่ชายซะอีก
ระดับที่ถูกเล่าขานว่าผู้ได้รับอำนาจนั้นทั้งหมดทุกรายจะได้ถูกจารึกชื่อลงไปในประวัติศาสตร์ในฐานะนักรบระดับแกร่งสุดในยุคสมัยเลยเชียว……
และพอกำลังเขย่งเท้าพยายามมองดูว่าผู้ที่ได้รับ <กิฟต์> อันสุดจะยอดเยี่ยมเหลือหลายแบบนั้นมันเป็นใครอยู่
“ โฮ่……ลูกสาวคนเล็กของตระกูลบลูอายส์รึ ก็จริงอยู่ที่เป็นเด็กเก่งเป็นเลิศมาตั้งแต่สมัยยังเล็ก แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะได้รับ <กิฟต์> อันทรงอำนาจมากถึงขนาดนั้น…… ”
“ เอ๊ะ……ลูกสาวคนเล็กของตระกูลบลูอายส์นี่ หมายถึงอลิเซียเหรอ!? ”
พอได้ยินคำพูดของพ่อจนผมกระโดดกระเด้งขึ้นมามองดูแล้ว……ก็พบว่าผู้ที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของเสียงดังเซ็งแซ่ก็คืออลิเซียจริงๆ นั่นแหละ
ลูกคนสุดท้องของตระกูลมาร์ควิสบลูอายส์ ที่มีเอกลักษณ์จุดเด่นเป็นเส้นผมสีเงินและดวงตาสีฟ้าอันงดงามระดับไม่อยากเชื่อว่ามีอยู่จริงภายในโลกนี้
รวมทั้งเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผมที่มักจะตัวติดกันอยู่เรื่อยในช่วงที่ยังเล็กๆ ด้วย
อลิเซียรับคำสรรเสริญของผู้คนโดยรอบด้วยสีหน้าเฉยเมยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่เหมือนทุกที
จริงอยู่ที่อลิเซียมีความถนัดในด้านวิชาดาบและวิชาเรียนสูงลิ่วมาตั้งแต่ก่อนแล้ว ทำให้ผมต้องรู้สึกเจ็บใจที่เทียบไม่ติดมาตลอดเลยก็จริงหรอก……แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้รับ <กิฟต์> ที่สุดยอดมากถึงระดับนั้น
เห็นอลิเซียแล้วหัวใจที่ไม่อยากพ่ายแพ้มันก็มอดไหม้ร่ำร้องว่า “ผมจะไม่น้อยหน้าหรอก……!” ขึ้นมา และเป็นตรงนั้นเองที่คุณพ่อยิ้มอย่างเบิกบานไปพลางจ้องมองลงมาหาผม
“ มีบ่อยครั้งที่ <กิฟต์> จะถ่ายทอดผ่านทางพันธุ์กรรม ในฐานะของตระกูลสการ์เล็ตที่มีหน้าที่ต้องพิทักษ์นครหลวงแล้วนับว่าอยากจะให้เด็กคนนั้นมาแต่งเข้าบ้านเราสุดๆ เลย พ่อคาดหวังในตัวลูกนะ เอริโอ ”
“ พะ พูดอะไรกันครับคุณพ่อ…… ”
ผมโต้กลับด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
ไม่รู้ทำไมแต่อลิเซียมักจะคอยตามคลอเคลียผมมาตั้งแต่ก่อนแล้ว ก็เลยทำให้ถูกเข้าใจผิดว่าเรามี ความสัมพันธ์กันแบบนั้น อยู่บ่อยครั้ง
ดังนั้นก็เลยชินกับการถูกแหย่แบบนี้แล้วละ
……น่าจะเป็นแบบนั้นหรอกนะ แต่ตอนนี้อลิเซียก็สวยมากขึ้นมาเป็นกองเลย พอถูกแหย่เรื่องความสัมพันธ์แบบนั้นแล้วก็ทำหน้านิ่งอยู่เฉยไม่ค่อยได้หรอก
แถมดวงตาของคุณพ่อยังดูจริงจังเอาเรื่องเลยด้วยอีกต่างหาก ทำใจให้ตอบแบบนิ่งๆ ไม่ได้เลย
“ เอริโอ สการ์เล็ต! ออกมาข้างหน้า! ”
เป็นในระหว่างนั้นเองที่คิวของผมมาถึงซะที
เนื่องจากการมอบ <กิฟต์> ใกล้จะจบลงเต็มทีแล้ว ผู้คนก็เลยให้ความสนใจกับผมซึ่งเป็นคนตระกูลดยุกสการ์เล็ตอย่างหนักหน่วงผิดกับคนอื่นลิบลับ
ความกดดันที่คุณพ่อช่วยปัดเป่าไปให้เมื่อตะกี้นี้ชักจะกลับมาหาผมเข้าอีกครั้งแล้ว
ไม่ต้องสุดยอดเท่าอลิเซียก็ได้ อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้รับ <กิฟต์> ที่มันปกติเป็นผู้เป็นคนหน่อยเถอะ……!
ปล่อยตัวไปให้กับคุณบาทหลวงพลางเฝ้าภาวนาเช่นนั้น
เท่านั้นแหละพลันเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่ามีความร้อนก่อตัวขึ้นมาจากภายในร่างกาย
(นี่น่ะเหรอคือสัมผัสในตอนที่ได้รับ <กิฟต์>……แต่เอ๊ะ? ไหงถึงรู้สึกร้อนแปลกๆ ลามไปถึงตรงบริเวณร่างกายท่อนล่างด้วยล่ะ……)
มีรู้สึกสับสนอยู่เหมือนกัน แต่เหมือนว่าการมอบ <กิฟต์> จะเสร็จสิ้นลงไปในระหว่างที่ผมกำลังฉงนอยู่นั่นแล้ว
คุณบาทหลวงเริ่มต้นอ่าน <กิฟต์> ที่ได้รับออกมาด้วยเสียงอันดัง
“ เอริโอ สการ์เล็ต! <กิฟต์> ของเธอก็คือ……? ……!? ”
ท่าทีของคุณบาทหลวงดูพิลึกไปยังไงชอบกล
ดูสับสนสุดขั้วไปเลย แค่สังเกตจากเค้าลางท่าทางก็พอจะมองออกแล้วว่ากำลังอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก
ปะ เป็นอะไรไปน่ะ……
“ เป็นอะไรไปรึบาทหลวง ลูกชายฉันได้รับ <กิฟต์> อะไรรึ พูดออกมาเถอะ ต่อให้เป็น <กิฟต์> ที่ใช้ต่อสู้ไม่ได้ฉันก็จะไม่ใส่ใจใดๆ ทั้งสิ้น ”
คุณพ่อเอ่ยถามราวกับช่วยเป็นตัวแทนความสงสัยของผม
“ ถะ ถ้าอย่างนั้นก็จะประกาศนะครับ เอริโอ สการ์เล็ต <กิฟต์> ของเธอก็คือ—— ”
หลังจากคิดหนักอยู่นานคุณบาทหลวงก็ตัดสินใจทำตามธรรมเนียมประเพณี โดยการป่าวประกาศ <กิฟต์> ของผมออกมาด้วยเสียงอันดังกลางสถานที่แห่งนั้น
“ <กิฟต์> ของเธอก็คือ <มารตัณหา> ! สกิลแรกเริ่มก็คือ……พยศเย็ดครับ! ”
“ …………………………ห้ะ? ”
เสียงเช่นนั้นของผมกลายเป็นตัวทิ้งท้าย ส่งให้ลานพิธีประทานถึงกับเงียบกริบราวกับเวลาหยุดเดินไปเลย