เซี่ยอันหรานพูดออกมาแล้วก็รู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย เมื่อหันไปมองก็เห็นทีมงานกำลังตั้งกล้องถ่ายมาที่ตัวเธอแล้ว อีกทั้งหมิงเยี่ยนเฟยก็ยกยิ้มมุมปากเสียจนตาโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว พยักหน้าให้เธอเบาๆ
เซี่ยอันหรานจึงทำได้เพียงยื่นมือออกมาแล้วพูดกับหมิงเยี่ยนเฟยขึ้นว่า "งั้น งั้นก็ส่งช้อนมาให้ฉันละกัน"
หมิงเยี่ยนเฟยมองไปที่เซี่ยอันหรานหนึ่งที มุมปากโค้งยิ้มเป็นรูปสวยก่อนจะยื่นช้อนส่งไปให้เซี่ยอันหราน
เซี่ยอันหรานรับช้อนมา จากนั้นก็รีบเอาช้อนตักข้าวขึ้นมาหนึ่งคำ คีบกับข้าววางลงไปบนช้อนนั้น แล้วยื่นไปจ่ออยู่ที่ริมฝีปากของหมิงเยี่ยนเฟย หมิงเยี่ยนเฟยรีบอ้าปากกินข้าวเข้าไปในทันที ซ้ำยังส่งยิ้มกลับไปให้เซี่ยอันหราน
เซี่ยอันหรานรับรู้ได้ถึงกล้องที่กำลังจับภาพของเธอกับหมิงเยี่ยนเฟย อีกทั้งยังถ่ายภาพโดยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เป็นฉากภาพระยะใกล้ระหว่างตัวเธอและหมิงเยี่ยนเฟย ภายในใจของเซี่ยอันหรานก็อดที่จะรู้สึกว่าตนคิดผิดขึ้นมาไม่ได้ รู้สึกว่าไม่ควรที่จะเสนอเรื่องป้อนข้าวให้เขาเพียงเพราะรู้สึกเป็นกังวลว่าหมิงเยี่ยนเฟยจะทานข้าวไม่สะดวกเลย
แต่หมิงเยี่ยนเฟยกลับไม่สนใจกับสีหน้าอันฝืนทนที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเซี่ยอันหรานเลยแม้สักนิดเดียว กินกับข้าวเข้าไปอีกหนึ่งคำ แล้วยังยกนิ้วขึ้นชี้ไปที่อาหารที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า "ผมอยากกินอันนั้น ช่วยตักให้ผมหน่อยครับ"
"อื้ม โอเค" เซี่ยอันหรานรีบตักข้าวแล้วยื่นไปอยู่ที่ตรงหน้าของหมิงเยี่ยนเฟย "งั้น…….อ้าปากสิ…….."
เซี่ยอันหรานที่ได้ตักข้าวแล้วยื่นไปจ่ออยู่ที่ปากของหมิงเยี่ยนเฟย หมิงเยี่ยนเฟยกลับยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมอ้าปากกินข้าวเข้าไปเสียที เซี่ยอันหรานก็เริ่มรู้สึกร้อนใจ จึงอ้าปากขึ้นมา ราวกับว่ากำลังอ้อนเด็กตัวน้อยๆ อย่างไรอย่างนั้น แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาๆ ว่า "อ้าปากนะ อ้า…….."
"อ้า…………." หมิงเยี่ยนเฟยจึงทำท่าทางเลียนแบบเซี่ยอันหรานขึ้นมา อ้าปากกว้างกินข้าวเข้าไปคำโต รอจนกระทั่งเขาเคี้ยวข้าวแล้วกลืนจนเสร็จเรียบร้อย หมิงเยี่ยนเฟยก็มองเห็นมือที่มีผิวขาวนวลละมุนของเซี่ยอันหรานกำลังยื่นข้าวอีกคำมาจ่ออยู่ตรงหน้าเขาแล้ว จึงทำให้หมิงเยี่ยนเฟยนึกถึงเรื่องราวในค่ำคืนนั้นขึ้นมา มือคู่นี้ของเซี่ยอันหรานได้วางลงบนขาของเขา ความรู้สึกที่บีบนวดขาของเขาอย่างอ่อนโยน
หัวใจของหมิงเยี่ยนเฟยกระตุกวูบ ร่างกายของเขามีปฏิกิริยาบางอย่างตอบสนองขึ้นมา เขาอดที่จะก้มหน้ามองดูมือคู่สวยของเซี่ยอันหรานไม่ได้ ในใจก็มีความรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้กำลังถ่ายทำอยู่ หมิงเยี่ยนเฟยรู้สึกไม่สบายใจที่จะให้เซี่ยอันหรานเข้าใกล้ตัวเขาต่อไปแบบนี้จริงๆ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นอีกครั้ง ที่เขาได้ทำตัวขายหน้าต่อหน้ากล้องด้วยการกระทำที่ไม่ระมัดระวังตัว
หมิงเยี่ยนเฟยจึงส่ายหน้าแล้วหลับตาลง พูดออกมาด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำและแหบพร่า "ผมอิ่มแล้ว เธอกินต่อเองเลยเถอะ"
"จริงเหรอ? " เซี่ยอันหรานรู้สึกโล่งอก การที่หมิงเยี่ยนเฟยไม่ให้เธอป้อนข้าวต่อนั้นดีมากจริงๆ
เซี่ยอันหรานเองก็ไม่ได้โน้มน้าวอะไรหมิงเยี่ยนเฟยต่อ ก้มหน้าแล้วตักข้าวให้ตนเองหนึ่งถ้วย แล้วก็รีบกินข้าว วันนี้เซี่ยอันหรานได้ออกแรงมามากจึงรู้สึกหิวมาก ใช้เวลาไม่นานนักก็กินข้าวจนหมดถ้วย หลังจากนั้นเซี่ยอันหรานก็หันไปตักข้าวเพิ่มใส่ถ้วยอีกครั้ง
เมื่อหมิงเยี่ยนเฟยไม่ได้ยินเสียงกินข้าวของเซี่ยอันหรานอีกก็จึงลืมตาขึ้น และเห็นว่าเซี่ยอันหรานกำลังตักข้าวใส่ถ้วยเพิ่มอีก หมิงเยี่ยนเฟยก็เผลอทำตาโตแล้วเอ่ยถามด้วยความตกใจออกมาว่า "เธอยังกินต่ออีกได้เหรอ"
เซี่ยอันหรานดูเหมือนกับหนูแฮมสเตอร์ตัวน้อยๆ ตัวหนึ่ง ที่รีบเคี้ยวข้าวที่อยู่ในปาก พอกลืนข้าวลงไปก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า "ก็ฉันหิวนี่ วันนี้หิวมากจริงๆ ทั้งวันยังไม่ได้กินข้าวเลย"
"อ่อ…….กินเก่งดีนะ เธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ฉันเคยเจอที่กินข้าวสองถ้วยในหนึ่งมื้อ แถมยังเป็นดาราหญิงอีกต่างหาก!" หมิงเยี่ยนเฟยทำหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา "ตอนแรกที่ถ่ายละคร ฉันก็อยากจะให้คำแนะนำเธอ"
"หืม?" เซี่ยอันหรานขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย "คำแนะนำอะไร?"
หมิงเยี่ยนเฟยกดเสียงลงต่ำแล้วพูดขึ้นมา "การเป็นดารา อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะระมัดระวังเรื่องรูปร่างของตนเองหน่อยนะ"
"อ้อ" เซี่ยอันหรานพยักหน้า "คำแนะนำนี้ ฉันจะจำเอาไว้นะ แต่ว่า ฉันผอมลงไปเยอะมากเลยนะ คุณดูไม่ออกเหรอ"
ขณะที่พูด เซี่ยอันหรานก็บีบแก้มของตัวเอง "ผอมหมดแล้วเนี่ย"
"กินเยอะๆ แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เผลอแปปเดียวก็อ้วนแล้ว" หมิงเยี่ยนเฟยมองดูเซี่ยอันหรานที่บีบแก้มของตัวเอง แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ
เซี่ยอันหรานเม้มปากแน่น "งั้น งั้นพรุ่งนี้ฉันค่อยเริ่มลดน้ำหนักแล้วกัน"
"มีผู้หญิงที่ไหนเป็นแบบเธอกัน แล้วแถมยังเป็นดาราหญิงอีก? "หมิงเยี่ยนเฟยเองก็เม้มปากแล้วจึงหัวเราะออกมา
เมื่อเซี่ยอันหรานเห็นหมิงเยี่ยนเฟยหัวเราะออกมา ก็รีบกินข้าวต่อทันที หมิงเยี่ยนเฟยเห็นเซี่ยอันหรานกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว ก็ค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างช้าๆ "กินเถอะกินเถอะ การได้กินก็เป็นความสุขเหมือนกันนะ"
รอจนกระทั่งเซี่ยอันหรานและหมิงเยี่ยนเฟยทานข้าวจนเสร็จฟ้าก็มืดลงแล้ว ทีมงานเองก็ต้องพักผ่อนแล้วเช่นกัน ตอนที่ทีมงานถ่ายภาพจากไปนั้น หมิงเยี่ยนเฟยก็ใช้จังหวะนี้ในการเข้าไปอยู่ที่ข้างๆ เซี่ยอันหรานแล้วพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า "ผู้ชายที่แพ้อาหารทะเลคนนั้นที่เธอพูดถึง หรือว่าจะเป็นผู้ชายที่เธอแอบรักอยู่หรือเปล่า"
เซี่ยอันหรานหยุดชะงักไปในทันที แล้วจึงหันไปมองหมิงเยี่ยนเฟย ไม่ได้เอ่ยตอบอะไร ทำเพียงแต่ก้มหน้างุดลงไป
แม้ว่าเซี่ยอันหรานจะไม่ได้ตอบอะไร แต่ว่าหมิงเยี่ยนเฟยก็พอจะรู้คำตอบ เขาก็แอบเหล่ตาไปมองเซี่ยอันหรานอยู่หนึ่งที "เธอเองก็ประหลาดดีนะ ผู้ชายที่หลงรักก็บื้อเหมือนกันเลย ทั้งที่แพ้แต่ก็กลับกินอาหารทะเลลงไป…….."
หมิงเยี่ยนเฟยพูดไปแล้วก็พลันหยุดชะงักไม่พูดต่อ เขาเองก็เป็นผู้ชาย ที่เข้าใจจิตใจของผู้ชายเช่นกัน ผู้ชายคนหนึ่งที่แพ้อาหารทะเลแต่กลับยังกินอาหารที่ผู้หญิงคนนี้ทำลงไป ถ้าจะบอกว่าไม่มีความรู้สึกให้เลยแม้แต่น้อย ก็คงจะเป็นไปไม่ได้
เพียงแต่ว่าเซี่ยอันหรานยืนอยู่ในจุดนั้น เกรงว่าจะทำให้ดูความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่ออก หรือว่าอีกฝ่ายจะไม่เคลื่อนไหวทำอะไรอย่างอื่นเลย ทำให้เซี่ยอันหรานเข้าใจผิด แต่ไหนแต่ไรหมิงเยี่ยนเฟยก็ไม่ใช่คนที่มีคุณธรรมสูงส่งอะไร จึงไม่ได้คิดที่จะช่วยเซี่ยอันหรานให้รู้ถึงความจริงที่ซ่อนอยู่ข้างหลังประตูกระดาษบางๆ นั้น ไม่ยอมให้เซี่ยอันหรานเข้าใจถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย
หมิงเยี่ยนเฟยจึงหยุดชะงักลง แล้วพูดต่อไปว่า "แล้ว ทำไมเธอถึงไม่เลือกคนที่ฉลาดขึ้นมาหน่อยล่ะ? อย่างเช่น ผมไง? เป็นยังไง?"
เพราะว่าบนตัวไม่มีเครื่องบันทึกเสียงแล้ว รอบข้างเองก็ไม่มีทีมช่างภาพ เซี่ยอันหรานจึงส่ายหน้า แล้วพูดพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า "ไม่เอา คุณคอยเอาแต่แกล้งฉันนี่!"
"ยัยโง่ อย่าไปเลือกผู้ชายที่นิสัยดีสิ…….." แม้ว่าหมิงเยี่ยนเฟยจะถูกปฏิเสธขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็กลับไม่ได้โกรธอะไร เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ ราวกับรู้สึกว่าไม่มีทางทำอะไรได้เลย
หลังจากที่ได้สนทนาเป็นเวลาสั้นๆ ไป ทีมงานทั้งกองก็ได้ทานข้าวกันจนเสร็จแล้ว เครื่องบันทึกเสียงก็ได้ถูกติดตั้งลงบนร่างกายของเซี่ยอันหรานและหมิงเยี่ยนเฟยอีกครั้งหนึ่ง และก็มาถึงเวลาพักผ่อนของทั้งสองคน เซี่ยอันหรานก็เดินมากางถุงนอนลงบนพื้นราบที่ว่างอยู่ แล้วจึงรีบเข้าไปข้างในถุงนอนนั้น โดยให้มีเพียงแค่ส่วนหัวปรากฏโผล่ออกมานอกถุงนอนเท่านั้น
แม้ว่าทีมงานกองถ่ายอีกหลายคนจะกางเต้นท์พักผ่อนอยู่ห่างออกไปเช่นกัน แต่ก็ยังอยู่ในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเซี่ยอันหรานนัก เซี่ยอันหรานนอนทอดกายอยู่โดยมีสภาพราวกับหนอนดักแด้ ทำให้มองดูแล้วก็รู้สึกน่าสงสารอยู่เล็กน้อย
หมิงเยี่ยนเฟยยืนอยู่ข้างๆ เซี่ยอันหรานอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงค่อยเดินเข้าไปหา เอานิ้วจิ้มลงไปบนหัวที่ยื่นโผล่ออกมาจากถุงนอนนั้นของเซี่ยอันหราน "ไม่อย่างนั้น เธอเข้าไปนอนข้างในเต้นท์เถอะ"
เซี่ยอันหรานส่ายหน้าแล้วจึงหดตัวเข้าไปในถุงนอน "ไม่ต้องหรอก ฉันนอนอยู่ในนี้ก็สบายดีแล้ว แขนของคุณเป็นแบบนั้นแล้วจะมานอนในถุงนอนได้ยังไง ใช่แล้ว ตอนที่คุณนอนก็อย่าลืมระวังตัว อย่าไปนอนทับแขนนะ"
"ฝันดี………" เซี่ยอันหรานกล่าวจบก็หลับตาลง
หมิงเยี่ยนเฟยจึงทำได้เพียงกลับไปพักผ่อนอยู่ข้างในเต้นท์ เขานอนอยู่ในเต้นท์ หลับตาลงสักพัก แต่ก็ยังคอยเอาแต่หวนนึกถึงเซี่ยอันหราน
เวลาล่วงเลยผ่านไปนาน ข้างนอกไม่มีคนเดินไปมาแล้ว ทุกคนต่างก็หลับลงไปกันหมดแล้ว หมิงเยี่ยนเฟยกลับยังคงรู้สึกไม่สบายใจจนนอนไม่หลับ เขาถอนหายใจออกมาแล้วขมวดคิ้วจนยุ่ง พูดออกมาด้วยเสียงอันทุ้มต่ำ "ก็ไม่รู้ว่าเธอจะหนาวไหม"
ขณะที่พูดขึ้นมา หมิงเยี่ยนเฟยก็ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาจากเต้นท์ เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เซี่ยอันหราน หมิงเยี่ยนเฟยที่เดินมาอยู่ที่ข้างกายของเซี่ยอันหรานนั้นก็ได้จับจ้องลงไปที่เซี่ยอันหรานที่ดูจะนอนอย่างอบอุ่นอยู่ โดยใบหน้าของเธอได้ขึ้นสีแดงระเรื่อ
เมื่อเห็นว่าเซี่ยอันหรานนอนหลับสบายดี หมิงเยี่ยนเฟยก็อดที่จะเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ เขาหันไปมองดูรอบๆ ตัว พบว่าที่รอบข้างนั้นไม่มีใครอยู่เลย หมิงเยี่ยนเฟยก็ยกมือขึ้นมา แล้วเอามือลูบลงบนหน้าผากของเซี่ยอันหรานอย่างช้าๆ หลังจากนั้นก็เอาเสื้อคลุมผ้าคอตตอนตัวหนาที่เตรียมมาห่มลงไปบนตัวของเซี่ยอันหราน
หลังจากนั้นหมิงเยี่ยนเฟยก็ไม่ได้จากไปไหน กลับยังคงนั่งอยู่ข้างๆ ถุงนอนของเซี่ยอันหราน แล้วก็อดที่จะวาดรอยยิ้มลงบนใบหน้าตนไม่ได้ ก้มหน้ายิ้มแล้วจับจ้องสายตาลงไปที่เซี่ยอันหราน
แม้ว่าสภาพอากาศจะหนาวอยู่เล็กน้อย แต่ว่าหมิงเยี่ยนเฟยที่ได้มองเซี่ยอันหรานอยู่นั้นกลับไม่ได้รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย เขามองไปที่มือข้างที่ได้รับบาดเจ็บของเซี่ยอันหรานที่ยื่นโผล่พ้นออกมานอกถุงนอนนั้น มือข้างนั้นเริ่มบวมและขึ้นสีแดงแล้ว ผ้าที่ใช้พันอยู่บนมือก็เริ่มสกปรกขึ้นมาเล็กน้อย
หมิงเยี่ยนเฟยจึงอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ พูดพึมพำเบาๆ ว่า "ยัยบื้อ ทำไมถึงไม่รู้จักเปลี่ยนผ้าพันแผลกัน"
เมื่อหมิงเยี่ยนเฟยพูดจบ ก็รีบกลับไปที่เต้นท์ของตนจากนั้นก็หยิบเอายาและผ้าพันแผลของเขาออกมา หลังจากนั้นก็รีบกลับไปอยู่ที่ข้างกายของเซี่ยอันหราน แกะเอาผ้าพันแผลของเซี่ยอันหรานออกแล้วทายาลงไปบนแผลอย่างช้าๆ
แขนข้างหนึ่งของหมิงเยี่ยนเฟยได้รับบาดเจ็บ จึงทำให้ใช้แขนได้เพียงข้างเดียว เพราะอย่างนั้นแล้วการเปลี่ยนผ้าพันแผลและทายาให้เซี่ยอันหรานจึงเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ว่าเขาก็ทำอย่างละเอียดรอบคอบมาก เขาได้ทายาให้เซี่ยอันหรานอย่างช้าๆ แล้วจึงเปลี่ยนผ้าพันแผลที่สะอาดให้เธอ จนสุดท้ายแล้วเซี่ยอันหรานก็ไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
อาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้เซี่ยอันหรานเหนื่อยมาก เธอนอนหลับสนิทราวกับท่อนไม้ แม้ว่าตอนที่หมิงเยี่ยนเฟยทายาให้จะรู้สึกปวดแสบเล็กน้อย แต่ว่าเซี่ยอันหรานก็ทำแค่เพียงขมวดคิ้วและเบะปากลงเท่านั้น แล้วก็นอนต่อไป
เซี่ยอันหรานที่ได้เปลี่ยนผ้าพันแผลก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมามาก นอนหลับฝันหวานยิ่งกว่าเก่า ราวกับเด็กตัวน้อยๆ ก็ไม่ปาน หมิงเยี่ยนเฟยก็นั่งอยู่ข้างกายของเซี่ยอันหราน เมื่อเห็นว่าเซี่ยอันหรานนอนหลับสนิทก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา
หมิงเยี่ยนเฟยไม่ได้ทำอะไรมากนัก เพียงแค่ก้มหน้ามองเซี่ยอันหรานไปอย่างนั้น
ตั้งแต่ที่เขาเริ่มโด่งดัง เวลาของหมิงเยี่ยนเฟยก็ถูกคำนวณเอาไปจัดสรร จนแม้กระทั่งเวลานอนหลับบนเตียงอย่างจริงจังของตัวเขาก็ยังถูกเอาไปคิดคำนวณด้วย สิ่งที่วนเวียนอยู่รอบกายเขานั้นก็เป็นงานเลี้ยง งานถ่ายละคร หรืองานประกาศรางวัลที่มีต่อเนื่องอย่างไม่จบสิ้น
เขาไม่ค่อยได้ใช้เวลาไปกับการดูแลใครคนใดคนหนึ่ง หรือสิ่งใดอย่างจริงจังเลย ตอนนี้หมิงเยี่ยนเฟยกำลังอยู่ในค่ำคืนที่อากาศของการเริ่มต้นแห่งฤดูหนาวเริ่มเข้ามาทักทาย อาศัยแสงสว่างของดวงจันทร์อันละมุนคอยส่องให้ เขาก้มหน้าลงแล้วจับจ้องมองลงไปที่คนคนหนึ่งเป็นเวลานาน
ในสายตาของหมิงเยี่ยนเฟยแล้ว ผู้หญิงคนที่ชื่อ "อันหราน" นั้น ก็มีบางส่วนของเธอที่ทำให้คนรู้สึกไม่ชอบใจอยู่ ไม่ได้ถือว่าเป็นคนที่ดีอะไร อย่างเช่น บางทีเธอก็ดื้อด้านจนเกินไป หรือบางทีก็ทำให้คนรู้สึกรำคาญด้วยคำพูดประชดประชันหรือที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
แต่ว่าความดื้อด้านของเธอก็เจือมาด้วยความเปิ่นซื่อบื้อ คำพูดที่พูดออกมาอย่างประชดประชันก็ยังเป็นเพราะความใส่ใจที่คิดถึงคนอื่นของเธอ และหลังจากที่ได้พูดคำที่มีเล่ห์เหลี่ยมก็จะเผยความใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อยออกมา
หมิงเยี่ยนเฟยไม่เข้าใจเลยว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น มีอะไรถึงได้คุ้มค่าที่จะได้รับความเอาใจใส่เป็นพิเศษจากเขากัน คุ้มค่าพอที่จะให้เขารู้สึกชอบ
แต่ว่าหมิงเยี่ยนเฟยก็หาเหตุผลถึงผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ออกเช่นกัน ว่าตรงไหนของเธอที่จะไม่คุ้มค่าที่จะได้รับความเอาใจใส่จากเขา หรือค่อยๆ ตัดสินตัวตนของเธอ ที่ทำให้เขาไม่ไปชอบเธอ
MANGA DISCUSSION