ขอเกิดใหม่ เป็นภรรยาคุณชายโม่ - ตอนที่ 101 ยังไงก็จะใส่ร้ายเธอ
จางหมิ่นเห็นท่าทางของเก๋อหงหง ก็รู้ทันทีว่าเก๋อหงหงชอบสร้อยเส้นนี้เข้าแล้ว
จางหมิ่นยิ้มจางๆและพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำว่า "เก๋อหงหงดูนี่สิ สร้อยเส้นนี้คุณฉู่เป็นคนให้เธอนะ"
เก๋อหงหงเบิกตากว้างทันทีและรีบยกมือขึ้นหยิบสร้อยคอที่จางหมิ่นยื่นมาให้ แต่จางหมิ่นกลับหลบเบาๆแล้วหลีกเลี่ยงมือที่เก๋อหงหงยื่นมา
“อะไรน่ะ จางหมิ่นคุณอิจฉาฉันเหรอที่ได้สร้อย ไม่เต็มใจให้ฉันงั้นเหรอ?” เก๋อหงหงโกรธจนเบิกตากว้าง
จางหมิ่นยิ้มพร้อมกับส่ายหัว แล้วพูดเบาๆว่า “จะเป็นไปได้ยังไง การที่ได้อยู่ข้างๆคุณฉู่มีอะไรที่ไม่มีบ้างล่ะ? จะไปใส่ใจกับสร้อยเพชรแค่เส้นเดียวได้ยังไงล่ะ? ฉันแค่มีเรื่องบางอย่างอยากขึ้นไปคุยกับเธอบนรถ ทำไมเหรอ ไม่อยากให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถก่อนงั้นหรือ”
“โธ่ พี่จางพูดอะไรเนี่ย” เก๋อหงหงได้ยินว่าจางหมิ่นยินดีที่จะมอบสร้อยให้เธอ จึงรีบเปิดประตูทันที: “ทำไมฉันจะไม่ให้พี่จางขึ้นมาบนรถล่ะ? รีบมาสิ รีบขึ้นมาเถอะ!”
จางหมิ่นเพิ่งขึ้นไปบนรถและรอให้เธอปิดประตูก่อน จากนั้นก็มอบสร้อยคอของฉู่เสี่ยวเสี่ยวให้กับเก๋อหงหง: "นี่คุณฉู่ให้ฉันเอามาให้เธอ คุณฉู่หวังว่าเธอจะสามารถใส่สร้อยเพชรนี้ลงไปในกระเป๋าเป้ของเฉิงเสี่ยวเถียนได้"
“เอ๊ะ? ไม่ใช่ให้ฉันหรอกเหรอ?” ดวงตาของเก๋อหงหงเบิกกว้าง: “ให้เฉิงเสี่ยวเถียนงั้นเหรอ?”
จางหมิ่นยิ้มและพูดว่า “ไม่ใช่ เฉิงเสี่ยวเถียนเป็นคนขโมยมาเอง”
“แต่ แต่ก็เห็นๆกันอยู่ว่าฉันเป็นคนใส่มันเข้าไป เฉิงเสี่ยวเถียนจะขโมยได้ยังไง?” เมื่อเก๋อหงหงพูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะออกมาทันที: “อ้อ คุณฉู่ต้องการให้ฉันใส่สร้อยนี้ลงไปในกระเป๋าเป้ของเฉิงเสี่ยวเถียน จากนั้นก็ให้คนอื่นคิดว่าเฉิงเสี่ยวเถียนเป็นคนขโมยสร้อยนี้ไปใช่ไหม?”
จางหมิ่นไม่คิดเลยว่าเรื่องอื่นๆเก๋อหงหงจะโง่เช่นนี้ แต่ในฐานะที่เป็นคนใส่ร้าย เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว จางหมิ่นอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากหายใจเข้าลึกๆ เขาก็ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “หงหง เธอนี่ฉลาดจริงๆ นั่นแหละส่ิงที่คุณฉู่ต้องการจะสื่อ”
“ถ้าอย่างนั้นสร้อยเพชรนี้ก็ไม่ได้จะให้ฉันเหมือนกันหนิ…” เก๋อหงหงพบว่าจริงๆแล้วสร้อยนี้เป็นเพียงอุปกรณ์ที่จะใช้เป็นกับดักให้เฉิงเสี่ยวเถียนกลายเป็นขโมยเท่านั้น ไม่ได้มีไว้สำหรับให้เธอ เธอก็ทำหน้ามุ่ยพร้อมกับบ่นด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย: “นี่มันจริงๆเลย ฉันก็คิดว่าเป็นสร้อยที่เอามาให้ฉัน สรุปก็ไม่ได้อะไรเลย!"
“ถ้าทำสำเร็จ เธอจะได้ความเชื่อใจจากคุณฉู่ อนาคตเธอต้องการอะไรมีหรอจะไม่ได้” จางหมิ่นพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “หงหง เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่คนฉลาด น่าจะรู้ดีว่าฝั่งไหนหนักฝั่งไหนเบา"
เก๋อหงหงเอียงตัวเล็กน้อยและชั่งน้ำหนักสร้อยเพชรในมือ: "หึ ฉันรู้อยู่แล้วแหละ"
แม้ว่าเก๋อหงหงจะชอบสร้อยเพชรนี้มาก แต่เธอก็รู้ว่าตัวเองไม่สามารถล่วงเกินฉู่เสี่ยวเสี่ยวได้ ถ้าขโมยสร้อยของฉู่เสี่ยวเสี่ยวไปจริงๆ เธอคงไม่สามารถทนรับกับผลที่ตามมาได้แน่ๆ
เก๋อหงหงพ่นลมหายใจและหันไปมองจางหมิ่น: “แต่ว่า ทำไมพี่จางถึงดีกับฉันขนาดนี้ล่ะ? ถ้าพี่สามารถเอาสร้อยมาได้นั่นก็หมายความว่าคุณฉู่ก็ต้องคุยกับพี่มาก่อน ทำไมพี่ไม่เป็นคนทำล่ะ? หรือว่าด้านใน…”
“ฉันแค่อยากเปลี่ยนโอกาสคืนดีกับเธอ ฉันไม่อยากให้มีคนจ้องฉันอยู่ด้านหลัง” จางหมิ่นไม่อาจพูดออกมาได้ว่าเธอไม่อยากทำร้ายเฉิงเสี่ยวเถียน ดังนั้นจึงทำได้เพียงขมวดคิ้วและโกหกต่อหน้าเก๋อหงหงต่อ: “เธอคิดว่าสิ่งที่เธอทำที่นินทาฉันต่อหน้าคุณฉู่ ฉันจะไม่รู้งั้นเหรอ? คนที่คุณฉู่ไว้ใจมากที่สุดคือฉัน เธอคิดว่าคุณฉู่จะได้ยินสิ่งที่เธอพูดงั้นเหรอ? จะระวังฉันจริงๆงั้นเหรอ?”
แม้ว่าจางหมิ่นจะรู้อยู่แก่ใจว่าเหตุผลที่เฉิงเสี่ยวเถียนเก็บเธอไว้ข้างกาย เป็นเพราะภูมิหลังของเธอนั่นดีกว่า ดูเหมือนในใจฉู่เสี่ยวเสี่ยวจะรู้สึกมีความสุขมากที่มีเธอคอยรับใช้ฉู่เสี่ยวเสี่ยวอยู่แบบนี้ แต่จางหมิ่นไม่เข้าใจเลยว่าทำไมฉู่เสี่ยวเสี่ยวถึงเกลียดชังคนอย่างเธอที่มีภูมิหลังที่ดี มีครอบครัวที่ร่ำรวย และมีการศึกษาสูงเป็นพิเศษแบบนี้
แต่เหตุผลที่ฉู่เสี่ยวเสี่ยวเชื่อมั่นในตัวเธอ จางหมิ่นไม่มีทางพูดขึ้นมาให้คนอื่นได้ยิน โดยเฉพาะคนที่มักนินทาเธอให้ฉู่เสี่ยวเสี่ยวฟัง จนทำให้เธอโดนกดขี่ต่อหน้าฉู่เสี่ยวเสี่ยวอยู่บ่อยครั้งอย่างนี้
จางหมิ่นยิ้มและเหลือบมองที่เก๋อหงหงพร้อมกับพูดว่า "แต่ปกติฉันไม่ค่อยมีเรื่องกับคนอื่น อีกอย่างเธอก็เป็นคนฉลาด ตอนคุณฉู่ถามว่าใครสามารถทำให้เรื่องนี้สำเร็จได้ ฉันก็คิดถึงเธอเป็นคนแรก ฉันหวังว่าเรื่องนี้เธอจะสามารถได้รับความไว้วางใจจากคุณฉู่ได้ จำแค่ผลประโยชน์ของฉันไว้ก็พอ"
เมื่อเก๋อหงหงได้ยินเช่นนี้ ในใจก็สูดหายใจเข้าอย่างเย็นชา: หึ ก็ว่าทำไมจางหมิ่นถึงดีกับฉันนัก จริงๆก็เพราะกลัวฉันจะเอาเธอไปฟ้องฉู่เสี่ยวเสี่ยวนี่เอง แต่นี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีเหมือนกัน ฉันควรคว้ามันไว้ อนาคตเผื่อฉันจะได้แทนที่จางหมิ่นได้ ได้ยินมาว่าเงินเดือนของจางหมิ่นได้เดือนละตั้งหลายหมื่นแน่ะ อีกอย่างฉู่เสี่ยวเสี่ยวยังช่วยดูแลค่าใช้จ่ายอาการป่วยของแม่จางหมิ่น ค่ารักษาพยาบาลนี่ถือว่าไม่ใช่น้อยๆเลย ว่ากันว่าสามารถซื้อสร้อยเพชรได้หลายเส้นเลยแหละ
เก๋อหงหงไม่เข้าใจเลยว่า จางหมิ่นดูอายุมากแล้วแต่ทำไมทำแต่ละอย่างถึงได้โง่เขลาเช่นนี้? จ่ายค่าใช้จ่ายไปตั้งมากมายเพื่อเลี้ยงดูแม่ที่ไร้ประโยชน์? จะมีประโยชน์อะไรกัน? เอาเงินไปซื้อเสื้อผ้ารองเท้าแต่งตัวดีๆ แล้วรีบไปแต่งงานกับทายาทรวยๆนี่สิถึงจะถือว่าฉลาดมีความสามารถ
ตอนนี้จางหมิ่นกำลังให้โอกาสเธอได้ขึ้นไปครองตำแหน่งของจางหมิ่น หึ ต่อไปรอเธอถูกฉู่เสี่ยวเสี่ยวเรียกใช้เรื่องสำคัญ ไม่มีทางหรอกที่จะให้จางหมิ่นช่วย จางหมิ่นนี่โง่จริงๆเลย
แม้ว่าในใจเธอจะด่าจางหมิ่นว่าเป็นคนโง่ แต่ใบหน้าของเก๋อหงหงก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็พิงไปข้างๆจางหมิ่นพร้อมกับพูดอย่างพิศวาสว่า: “ดูสิ่งที่พี่จางพูดเข้าสิ ทำไมถึงมองฉันเก๋อหงหงคนนี้เป็นคนอื่นคนไกลไปได้ ฉันไม่เนรคุณหรอก ฉันจะต้องทำตามคำสั่งของคุณฉู่สำเร็จให้ได้ ดังนั้นพวกพี่วางใจได้ รอให้เฉิงเสี่ยวเถียนกลายเป็นขโมยแล้วเข้าคุกเร็วๆนี้ได้เลย”
“ได้ ฉันจะรอ” หลังจากดิ้นรนอย่างหนักก็กลายเป็นจางหมิ่นผู้ซึ่งทำร้ายผู้อื่นด้วยหัวใจที่แข็งกระด้าง ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมเก๋อหงหงถึงตอบตกลงทำเรื่องนี้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เก๋อหงหงไม่รู้งั้นเหรอว่าการใส่ร้ายคนอื่นเป็นเรื่องที่ผิด? ไม่ลังเลสักนิดเลยงั้นเหรอ?
แม้ว่าความลังเลจะมีเพียงเล็กน้อย อาจดูเหมือนเป็นการเสแสร้ง แต่อย่างน้อยก็ยังพิสูจน์ได้ว่าเธอเองก็รู้ว่าผิดในตอนที่ใส่ร้ายคนอื่นตามอำเภอใจและมีพื้นฐานของความผิดชอบชั่วดีอยู่ ไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ พอพูดถึงการใส่ร้ายคนอื่นมันช่างรู้สึกคึกคักประหนึ่งว่ากำลังทำสิ่งที่น่าสนใจอยู่
“พอดีเลย ฉันรู้สึกไม่ชอบหน้าเฉิงเสี่ยวเถียนมานานแล้วเหมือนกัน หึ ถึงแม้บางคนจะชมเธอว่าน่ารักก็ตาม ฉันจะรอดูว่าถ้าเขากลายเป็นขโมยจะยังมีคนชมเธอว่าน่ารักอยู่ไหม!” เก๋อหงหงยิ้มอย่างได้ใจและเขย่าสร้อยเพชรในมือ: "พี่จางไม่ต้องห่วง ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง"
จางหมิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ยินเธอพูดแบบนี้ฉันก็โล่งใจ”
หลังจากที่จางหมิ่นพูดจบก็หันหลังและลงจากรถพร้อมกับออกแรงปิดประตูรถ ตอนนี้ท้องฟ้าก็มืดลงบ้างแล้ว บรรยากาศก็ค่อยๆครึ้มลงราวกับเศษผ้าสีเทาสกปรกที่ปกคลุมโลกทั้งใบ ทำให้ทุกสิ่งในโลกนี้ดูสกปรกไปหมด
เก๋อหงหงที่นั่งอยู่ในรถมองไปทางจางหมิ่นที่จากไป จากนั้นก็กลอกตาอย่างดูถูก: “หึ ตอนนี้เธอก็คงได้ใจไปสักพักแหละ อนาคตรอให้ฉันได้ขึ้นครองตำแหน่งก่อนเถอะ แม้แต่มาขัดรองเท้าให้ฉันคุณสมบัติอย่างเธอก็ไม่พอ!”
ในขณะที่เก๋อหงหงพูดก็ก้มศีรษะลงมองสร้อยเพชรในมือ พร้อมกับออกแรงกลืนน้ำลาย จากนั้นก็สูดหายใจเข้าไปลึกๆ “ว้าว สวยจังเลย เมื่อไหร่จะกลายเป็นของฉันจริงๆนะ”
เก๋อหงหงจ้องไปที่สร้อยเพชร ทันใดนั้นก็กรอกตาและหันศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมองเธอ เก๋อหงหงก็อ้าปากอย่างไวและกัดไปที่สร้อยเพชรอย่างแรง ขณะที่กัดเธอก็พึมพำว่า: "ถึงจะไม่ได้สร้อยทั้งเส้น แต่ขอเศษเพชรสักหน่อยก็ยังดี ฉันไม่เชื่อหรอกว่าฉันจะไม่ได้เลยสักนิด! "
แต่เก๋อหงหงดิ้นรนออกแรงกัดจนมีเลือดออกจากปาก ก็ยังไม่สามารถกัดเศษเพชรออกมาได้ เก๋อหงหงโกรธจนวางสร้อยคอเพชรลงในกระเป๋าทันทีแล้วเดินออกจากรถตู้ไป
ตอนนี้ฉู่เสี่ยวเสี่ยวและจางหมิ่นต่างก็จากไปแล้วและเหลือเพียงเซี่ยอันหรานเท่านั้นที่ยังมีบทบาทในฉากนี้และยังคงต้องถ่ายทำต่อไป ในทางกลับกันเฉิงเสี่ยวเถียนกำลังถือถ้วยน้ำร้อนและยืนอยู่ด้านข้างของฉาก เฉิงเสี่ยวเถียนจ้องไปที่เซี่ยอันหราน ท่าทางราวกับว่าเธอไม่อยากพลาดซ็อตนี้
“ดัดจริต…” เก๋อหงหงกระซิบด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มทันทีแล้วเดินไปหาเฉิงเสี่ยวเถียนด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “พี่เสี่ยวเถียน พี่ช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม?”
เมื่อเฉิงเสี่ยวเถียนได้ยินเสียงของเก๋อหงหง เธอก็ชูนิ้วชี้ออกไปทันทีและทำท่าทางไม่ให้พูดและพูดเบาๆว่า: “เบาๆเสียงหน่อย ในฉากอย่าพูดเสียงดังเกิน ไม่งั้นเธอจะโดนผู้กำกับดุ! "
แม้ว่าเฉิงเสี่ยวเถียนจะพูดกับเก๋อหงหงด้วยความหวังดี แต่เก๋อหงหงกลับไม่รู้สึกซาบซึ้งใจ เธออดไม่ได้ที่จะกลอกตาและด่าในใจ: เธอมันรู้เยอะ เธอมันแสร้งทำเป็นคนดีจริงๆ ผู้กำกับจะด่าไม่ด่าแล้วมันเกี่ยวไรกับเธอ เธอยุ่งอะไรด้วย
เก๋อหงหงกำลังด่าเฉิงเสี่ยวเถียนอยู่ในใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอไม่น้อยลงเลย เธอเข้าหาเฉิงเสี่ยวเถียนด้วยรอยยิ้มและพูดว่า "พี่สาว… ฉันมีอะไรบางอย่าง อยากให้พี่ช่วย พี่ช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม? รบกวนพี่หน่อย… ถ้าพี่ไม่ช่วยฉัน… จริงๆ…"
ในขณะที่เก๋อหงหงพูดก็เบะปาก ทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้: “ถ้าพี่ไม่ช่วยฉันก็ไม่มีใครช่วยฉันได้แล้ว!"
เมื่อเปรียบเทียบกับฉู่เสี่ยวเสี่ยวแล้ว ท่าทางที่ดูน่าสงสารของเก๋อหงหงนั้นทื่อและดูเงอะงะมาก แต่เฉิงเสี่ยวเถียนเดิมทีเป็นคนเรียบๆง่ายๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูน้อยใจของเก๋อหงหง เธอก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
เนื่องจากในสายตาเฉิงเสี่ยวเถียนฉู่เสี่ยวเสี่ยวเป็นคนที่เอาแต่ใจมากและเป็นคนที่ชอบเล่นใหญ่ เฉิงเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าเก๋อหงหงถูกฉู่เสี่ยวเสี่ยวใช้งานฟรีๆอีกแล้ว
เฉิงเสี่ยวเถียนก็เป็นผู้ช่วยผู้จัดการเหมือนกัน แม้ว่าเซี่ยอันหรานจะดีต่อเธอมาก แต่ที่ผ่านมาไม่เคยเรียกร้องอะไรเขาเลย แต่ในตอนที่เฉิงเสี่ยวเถียนอยู่กับนักแสดงคนอื่นๆก็รู้สึกลำบากไม่น้อย ในใจลึกๆก็รู้ถึงความยากของการเป็นผู้ช่วยผู้จัดการอยู่แล้ว
เมื่อเห็นท่าทางที่น่าสงสารของเก๋อหงหง เฉิงเสี่ยวเถียนก็รีบพูดด้วยความตื่นตระหนก: “เธออย่าร้องไห้สิ มีเรื่องอะไรบอกฉันมา ฉันจะช่วยเธอแน่นอน"
เก๋อหงหงขยี้ตาและเหล่ไปที่เฉิงเสี่ยวเถียนแล้วพูดด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น: “ถ้างั้นพี่เสี่ยวเถียนมากับฉันหน่อย อยู่ตรงรถฝั่งนั้น ฉันหมดหนทางแล้วจริงๆ"
เฉิงเสี่ยวเถียนหันไปมองเซี่ยอันหรานที่กำลังถ่ายทำอยู่และเม้มริมฝีปาก จากนั้นก็หันศีรษะและมองไปที่เก๋อหงหงที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น พร้อมกับขมวดคิ้วและพยักหน้า: "โอเค ฉันจะตามเธอไปเอง!"