กําเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์
เล่มที่ 4 บทที่ 21 เล่ยอี้
“สมกับเป็นจักรวรรดิอันดับหนึ่งจริงๆ เพียงเมืองรอบข้างของเมืองหลวงก็ใหญ่กว่าเมืองหลวงของเรามากมายนัก”
“ด้วยความมั่งคั่งและอํานาจอันเด็ดขาดย่อมเป็นธรรมดาที่จักรวรรดิมังกรสวรรค์จะยิ่งใหญ่ขนาดนี้”
ภายในร้านอาหารแห่งหนึ่งหยางอี้และข่งยี่จางกําลังนั่งทานอาหารหลังจากเสร็จสิ้นการสํารวจภายในเมืองถัง ไม่ว่าจะที่ไหนแหล่งข่าวที่ดีที่สุดย่อมไม่พ้นโรงเตี้ยมและร้านอาหาร ผู้คนมากมายต่างเข้ามาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารกันอย่างเนืองแน่น…เรียกอีกอย่างมันก็คือสถานที่ที่ใช้รวมตัวพวกชอบนินทาผู้อื่นนั่นเอง
หยางอี้ยังคงนั่งทานอาหารอย่างแช่มช้าไม่ได้เร่งรีบอะไรนัก การมายังต่างถิ่นเรื่องที่จําเป็นต้องรู้คือสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในที่แห่งนั้น ยังมีเรื่องของผู้มีอํานาจที่ไม่ควรไปยั่วยุอีกด้วย การสนทนาของผู้คนต่างแบ่งแยกกันไปตามหัวข้อที่พูดคุย สิ่งที่หยางอี้ให้ความสําคัญเป็นพิเศษคือขั้วอํานาจต่างๆภายในเมืองหลวง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอีกสิบวันทางตําหนักหมื่นโอสถจะจัดแสดงตัวยาระดับสามตัวใหม่ เรื่องนี้สร้างความคึกคักไม่น้อยเลยภายในเมืองหลวง”
“ข้ายังได้ยินมาอีกว่า จวนเย่าเฉ่าก็จะจัดแสดงตัวยาใหม่เช่นกัน ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กันแม้แต่น้อย”
“เฮ้อ ที่น่าสงสารคงจะเป็นพวกหอโอสถ ดูเหมือนคราวนี้ทั้งสองเจ้าจะบีบให้หอโอสถต้องออกจากตําแหน่งหนึ่งในสามหอยาเสียแล้ว”
“นั่นสิ หากถูกลดระดับลงมาเป็นเพียงร้านขายยา หอโอสถจะไม่สามารถจําหน่ายยาระดับสามได้
“ หอโอสถนั้นด้อยกว่าอีกสองเจ้ามากนักแต่ด้วยการจําหน่ายยาในราคาต่ำจึงทําให้ประคองตัวอยู่ได้มานานขนาดนี้ เพ่ย ข้าไม่อยากคิดเลยหากต้องซื้อยาจากตําหนักหมื่นโอสถและจวนเย่าเฉ่า ข้าคงกลายเป็นยาจกอย่างแน่นอน”
“พวกเราจะทําอย่างไรได้ในการวัดคุณสมบัติหอโอสถนั้นผ่านเกณฑ์อย่างเฉียดฉิวมาตลอด หากในครั้งนี้ไม่อาจผลิตยาในระดับเดียวหรือใกล้เคียงกับอีกสองเจ้าในการจัดแสดงได้หอโอสถก็จบเห่แล้ว”
“ข้าได้ยินว่าตระกูล”
“หา! ลูกสาวตระกูลจะแต่งกับลูกชายตระกูล…”
ข่าวสารมากมายต่างถ่ายเทออกมาจากปากของผู้คน หยางอี้ให้ความสนใจกับเรื่องและพยายามจดจําชื่อของตระกูลต่างๆผ่านคําพูดของคนเหล่านี้โดยให้ความสนใจมากเป็นพิเศษกับเรื่องการจัดแสดงโอสถที่จะเกิดขึ้นอีกสิบวัน เมื่อรู้เช่นนี้ชายหนุ่มจึงได้แต่ยิ้มอย่างพอใจขึ้นมา หากสถานการณ์ของหอโอสถเป็นเช่นนี้แล้วการเจรจาแน่นอนว่าหยางอี้สามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน และหอโอสถก็จะไม่สามารถปฏิเสธข้อเสนอของชายหนุ่มได้
“หลบไป!”
ระหว่างนั้นเสียงที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโสของชายคนหนึ่งได้ดังมาจากหน้าประตู เสียงพูดคุยกลายเป็นเงียบสงัดในทันทีพร้อมกับสายตาทุกคู่ที่จ้องไปยังผู้มาใหม่ ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยความหยิ่งผยองพร้อมกับด้านหลังเขามีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาถือพัดเดินตามเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
เสียงบางคนกระซิบกระซาบกันขึ้นมาทําให้หยางอี้รู้ว่าผู้มาใหม่นี้คือ เล่ยอี้ คุณชายของตระกูลเล่ยเป็นตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง
“ข้าได้ยินว่าในงานประลองที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนนี้ เล่ยอี้เป็นหนึ่งในตัวแทนของจักรวรรดิมังกรสวรรค์ด้วย”
“เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจ เล่ยอี้เป็นถึงศิษย์สิบอันดับแรกของลานมังกรศักดิ์สิทธิ์ การบ่มเพาะเองก็อยู่ในระดับสูงด้วยอายุไม่ถึง 25
“อ่า หากลูกชายข้ามีความสามารถเพียง 3 ส่วนของเขาข้าคงจะคุยโวได้ไปทั่วเมืองแล้ว”
“ชูววว เจ้าบ้าเบาๆหน่อยเดี๋ยวก็หัวขาดหรอก!”
ระหว่างที่ทุกคนพูดคุยกันนั้นเล่ยอี้ล้วนได้ยินอย่างชัดเจน คําเยินยอเหล่านั้นล้วนทําให้เขาภูมิใจเป็นอย่างมาก เขาโบกสะบัดพัดคลี่ออกคราหนึ่งก่อนจะพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ข้าเล่ยอี้เพียงมาทานอาหารในวันนี้ ทุกท่านโปรดอย่าได้เกรงใจเชิญทานอาหารกันต่อเถิด”
คําพูดที่เรียบง่ายและดูเหมือนใจกว้าง…แต่เขากลับเต็มไปด้วยความยโส หยางอี้ส่ายหัวและไม่ให้ความสนใจกับเล่ยอี้อีก คนอื่นจะทานอาหารกลับต้องเกรงใจเพียงเพราะเจ้าเดินเข้ามา? ไร้สาระสิ้นดี! ระหว่างนั้นผู้จัดการร้านเมื่อได้ยินว่าเล่ยอี้ศิษย์ของลานมังกรมาเยือนก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับทันที
“ร้านของข้าเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับนายน้อยเลย”
“จัดโต๊ะให้ข้าและนําอาหารที่ดีที่สุดพร้อมกับสุราชั้นเลิศออกมา”
“ขอรับ”
ผู้จัดการร้านรีบรับคําก่อนจะสาดสายตามอง ตอนนี้โต๊ะของร้านได้เต็มหมดแล้วแต่เขารู้ดีว่าไม่อาจปฏิเสธเล่ยอี้ได้ จึงรีบวิ่งมารับหน้าเอาไว้ก่อนและมองหาโต๊ะสําหรับชายหนุ่ม หลังจากตัดสินใจโต๊ะอื่นๆล้วนเป็นจอมยุทธ์ของเมืองถังและส่วนมากก็แต่งตัวดูดีมีฐานะ มีเพียงโต๊ะตรงหัวมุมเท่านั้นที่เขาไม่คุ้นหน้าและทั้งเด็กหนุ่มกับชายชราก็แต่งตัวดูธรรมดาเป็นอย่างมาก
“นายน้อยเล่ยโปรดรอสักครู่ข้าจะรีบไปจัดโต๊ะให้ท่าน”
ผู้จัดการพูดขึ้นพร้อมกับตรงไปยังโต๊ะของหยางอี้ทันที เขามองไปยังชายหนุ่มและชายชราก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงสุภาพ
“นายท่านทั้งสอง ร้านอาหารของเราต้องขอโทษด้วยแต่เนื่องจากโต๊ะทั้งหมดเต็มแล้วข้าจะขอเชิญพวกท่านลุกออกจากโต๊ะนี้ได้หรือไม่ ทางร้านจะชดเชยโดยไม่คิดค่าอาหารมื้อนี้”
ข่งยี่จางขมวดคิ้วทันที ชายชราพร้อมที่จะระเบิดอารมณ์ออกมา ทุกเมื่อทว่าเมื่อเขามองไปยังหยางอี้ที่นั่งทานอาหารต่อไปอย่างสงบ โดยไม่สนใจคําพูดของผู้จัดการจึงตอบกลับไปด้วยเสียงเย็นเฉียบ
“เจ้าไม่เห็นหรือว่านายน้อยของข้ากําลังทานอยู่? หากอยากได้โต๊ะก็ไปหาโต๊ะอื่น!”
ผู้จัดการซะงักไปเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าเจ้าตัวโง่งมทั้งสองนี้ไม่รู้ว่าเขากําลังทําอะไร? หรือพวกเขาต้องการสร้างปัญหาให้กับร้านแห่งนี้
“ผู้อาวุโส เป็นไปได้ว่าท่านไม่รู้? ในเมื่อพวกท่านก็ทานใกล้จะเสร็จแล้วเหตุใดจึงต้องสร้างปัญหาให้ข้า? หรือท่านไม่รู้ว่าข้าต้องต้อนรับนายน้อยเล่ยอี้?”
“นายน้อยเล่ยอี้? อันใด? ร้านของเจ้ายังมีสํานึกอยู่หรือไม่ที่กล้ามาไล่แขกเช่นนี้ ข้าจะพูดอีกครั้งเดียว ใสหัวไป!”
ผู้จัดการแทบกระอักเลือด เจ้าแก่นี่ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง มันรู้หรือไม่เล่ยอี้ที่เขากล่าวถึงเป็นใคร ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องความสามารถแค่สถานะศิษย์ของลานมังกรก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ผู้คนในเมืองหลวงมองด้วยความเคารพ แต่นี่เล่ยอี้เป็นถึงหนึ่งในสิบผู้ยอดเยี่ยม! ในขณะที่ผู้จัดการกําลังจะระเบิดโทสะนั้นเล่ยอี้ก็เดินมาถึง เขายกมือห้ามเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านทั้งสองเพื่อไว้หน้าข้าในครั้งนี้โปรดลุกออกไปได้หรือไม่? ข้าจะขอตอบแทนด้วยสิ่งนี้”
เล่ยอี้กล่าวขึ้นพร้อมกับโยนถุงเงินถุงหนึ่งไปบนโต๊ะของหยางอี้ ชายหนุ่มที่กําลังกินอาหารอยู่จึงหยุดลงและมองไปยังถุงเงินด้วยใบหน้าเรียบเฉย หยางอี้วางตะเกียบลงพร้อมกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“สามลมหายใจ… หากเจ้ายังรักชีวิตก็จงใสหัวออกไปเดี๋ยวนี้”
MANGA DISCUSSION