สองคนนี้เก็บงำลมหายใจ ลมปราณเล็ดลอดออกมาเบาบาง ที่แท้พวกเขากำลังพยายามปิดบังลมปราณของตัวเอง อวิ๋นโม่อาศัยลมปราณเบาบางนี้ตรวจสอบระดับวรยุทธ์ของพวกเขา มีอยู่คนหนึ่งที่อยู่ระดับเปลี่ยนชีพจรขั้นแปดชั้นฟ้า อีกคนเป็นระดับเปลี่ยนชีพจรขั้นเก้าชั้นฟ้า ในเมืองกวนซาน ความสามารถเช่นนี้นับเป็นยอดฝีมือแล้ว เพราะทั่วทั้งเมืองมีเพียงไม่กี่คนที่บรรลุถึงระดับเปลี่ยนชีพจร
“หึๆ อินทรีตัวนั้นไม่ธรรมดา ส่วนต่างๆ ของมันสามารถทำเงินได้ไม่น้อย เด็กนั่นมีโชคไม่เลว” คนหนึ่งกล่าวเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“จะออกไปจัดการมันหรือไม่ บนตัวเจ้าเด็กนั่นน่าจะมีของดีอยู่ไม่น้อย” อีกคนหนึ่งถาม แววตาปรากฏความละโมบ
“แล้วไปเถอะ วันนี้พวกเราไม่ได้ออกมาล่าสัตว์ แต่มีธุระสำคัญ”
“คนตระกูลฉินพวกนั้น ปล่อยให้รอไปก่อนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับพวกมันมากเกินไป พวกมันมาขอร้องพวกเรา ปล่อยให้รอสักพักจะเป็นไรไป”
“อย่าคิดดูถูกตระกูลฉิน ถึงหัวหน้าจะบรรลุระดับก่อจิตขั้นกลางแล้ว แต่หากเปรียบเทียบกับตาเฒ่าตระกูลฉินก็ยังด้อยกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง ครั้งนี้อันดับสองของตระกูลฉินมาหารือกับพวกเราด้วยตัวเอง อย่าชักช้าจะดีกว่า”
“ช่างน่าเสียดาย เช่นนั้นก็ปล่อยเจ้าเด็กนี่ไปสักครั้ง ถือว่ามันโชคดี พวกเราไปกันเถอะ”
คนทั้งสองกระโดดพุ่งออกไปในทิศทางเดียวกัน
“สองคนนั้นน่าจะเป็นโจรบนภูเขาเหนือเมฆา” อวิ๋นโม่ขมวดคิ้ว เขาได้ยินคำว่าตระกูลฉินสองคำ หรือว่าตระกูลฉินและพวกโจรจะร่วมมือกัน
‘ไปดูดีกว่า!’ อวิ๋นโม่ตัดสินใจไปสังเกตการณ์สักหน่อย หากตระกูลฉินและพวกโจรร่วมมือกัน จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
อวิ๋นโม่แผ่ญาณหยั่งรู้ออกไป ติดตามคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด เคลื่อนที่อยู่บนต้นไม้ ปราดเปรียวราวกับชะมด
โจรภูเขาสองคนนี้ว่องไวมาก ทั้งยังคุ้นเคยกับพื้นที่แถบนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่อวิ๋นโม่คงถูกสลัดทิ้งไปแล้ว ทั้งสองคนวกไปวนมา สุดท้ายค่อยวิ่งเข้าไปในหุบเขาสลับซับซ้อนแห่งหนึ่ง อวิ๋นโม่ยืนมองจากบนที่สูงจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากลางหุบเขามีกระโจมหลังหนึ่ง สีสันกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมรอบด้านจนแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน หากไม่มองอย่างถี่ถ้วนไม่มีทางสังเกตเห็น
“ใคร?”
เมื่อเข้าใกล้หุบเขา ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรคนหนึ่งก็กระโดดออกมาขวางโจรภูเขาสองคนนั้น
“ฮ่าๆๆ ล่าสัตว์น่ะ!” โจรคนหนึ่งหัวเราะ มองคนตรงหน้าพร้อมแลบลิ้น
ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นได้ยินก็ร่างแข็งค้าง รีบถอยหลังไปหลายก้าวแล้วสอบถามต่อ “ล่าสัตว์? แล้วมาทำอะไรที่นี่?”
“ที่นี่มีคนรู้ว่าเหยื่ออยู่ไหน ต้องมาที่นี่จึงจะจับเหยื่อได้”
“เป็นพวกเจ้า เข้าไปเถอะ”
ทั้งสองคนยังแกล้งข่มขู่คนผู้นั้นอีกรอบค่อยเดินเข้าไปในกระโจมอย่างยิ้มแย้ม หลังจากโจรสองคนเข้าไปแล้ว คนเฝ้าทางเข้าก็เช็ดเหงื่อเย็นพลางพูดกับตนเอง “โจรบนภูเขาเหนือเมฆาช่างน่ากลัวจริงๆ แค่พวกมันมองมาไม่กี่ครั้ง ข้าก็รู้สึกเหมือนตกลงไปในคุกน้ำแข็งแล้ว หากไม่ใช่เพราะเบื้องบนต้องการร่วมมือกับพวกมัน ข้าก็ไม่ขอติดต่อกับคนเหล่านี้อย่างเด็ดขาด”
คนผู้นี้ถูกจัดให้เป็นองครักษ์ลับเฝ้าที่นี่ แต่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่า ไม่ไกลจากตรงนั้นมีเงาดำสายหนึ่งขยับออกจากพุ่มไม้ มุ่งไปทางกระโจม
“เป็นเขานั่นเอง!” อวิ๋นโม่แผ่ญาณหยั่งรู้เข้าไปในกระโจม พบว่าด้านในมียอดฝีมือระดับก่อจิตคนหนึ่ง เขาคือคนที่ยืนอยู่กับฉินเหอหลินในงานประมูลวันนั้น คนผู้นี้อยู่ระดับก่อจิตขั้นสองชั้นฟ้า น่าจะเป็นบุคคลที่โจรทั้งสองกล่าวว่า เป็นอันดับสองในตระกูลฉิน
“ทำไมแมงป่องพิษถึงไม่มา” เห็นหน้าโจรภูเขาสองคน ยอดยุทธ์ระดับก่อจิตตระกูลฉินเผยสีหน้าไม่พอใจนัก เขาเป็นถึงระดับก่อจิต อีกฝ่ายกลับส่งแค่ระดับเปลี่ยนชีพจรสองคนมา นี่หมายความว่าอะไร
โจรสองคนนี้แม้เป็นเพียงระดับเปลี่ยนชีพจร แต่เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับก่อจิตตระกูลฉินก็ไม่มีความยำเกรงสักเท่าไร เมื่อได้ยินคำพูดของเขา คนหนึ่งก็กระแทกตัวนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม กล่าวอย่างไม่ดังไม่เบาว่า “หัวหน้าของพวกเรามีงานรัดตัว ไม่ว่างมา เจ้ามีธุระอะไร บอกกับพวกข้าก็ได้แล้ว หากมีเหตุสมควรให้หัวหน้าของพวกเราลงมือ พวกเราก็จะถ่ายทอดคำพูดไป เขาย่อมต้องลงมือ”
ผู้แข็งแกร่งระดับก่อจิตตระกูลฉินเดิมคิดจะระเบิดอารมณ์ แต่ไปๆ มาๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าจึงผ่อนคลายลง
“ครั้งนี้เรียกพวกเจ้ามา เพราะต้องการทำงานใหญ่ร่วมกับพวกเจ้า”
“เอ๋ ใหญ่แค่ไหน? วันๆ พวกเราพี่น้องล่าสัตว์อยู่บนเทือกเขาเหนือเมฆา รายได้ไม่น้อย หากไม่ถูกใจ พวกเราไม่เพียงไม่ร่วมมือ แต่ยังจะคิดค่าเสียเวลาด้วย”
“หึๆ เจ้าวางใจเถอะ เหยื่อครั้งนี้ตัวใหญ่ ต้องให้แมงป่องพิษลงมือ จึงจะฆ่าได้”
“ไม่ต้องอมพะนำแล้ว ว่ามาเถอะ ตกลงแล้วพวกเราต้องจัดการใคร” อีกคนคว้าผลไม้บนโต๊ะขึ้นมายัดใส่ปาก ขณะพูดน้ำผลไม้ก็ไหลเยิ้มออกมาตลอดเวลา ยอดฝีมือตระกูลฉินมองแล้วต้องขมวดคิ้ว
“พวกเจ้าสมควรรู้ว่าตอนนี้ในเมืองกวนซานอำนาจของใครที่กำลังรุ่งโรจน์”
“ใครจะไม่รู้ล่ะ ก็ตระกูลอวิ๋นไม่ใช่หรือ มียอดฝีมือระดับท่องพันลี้หนุนหลัง แม้แต่พวกเรายังต้องกริ่งเกรงอยู่บ้าง”
“คงไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการให้พวกเราจัดการตระกูลอวิ๋นกระมัง หากเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว พวกเราล่าเหยื่อก็ต้องดูพลังของเหยื่อด้วย ให้พวกเราเล่นงานตระกูลอวิ๋น เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นไอ้โง่หรือ”
“เหยื่อในครั้งนี้เป็นตระกูลอวิ๋นจริงๆ!”
“บัดซบ พวกเราไป!”
“ช้าก่อน!”
“ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก ตระกูลอวิ๋นยิ่งใหญ่ พวกเราไม่สามารถยั่วยุ”
“ตระกูลอวิ๋นมีอำนาจ ตระกูลฉินของข้าย่อมรู้ดี คิดหรือว่าพวกเรามาหาเจ้าโดยไร้การวางแผน พวกเจ้าลองฟังแผนการของข้าก่อน หากฟังจบแล้วยังคงไม่อยากร่วมมือ ข้าก็จะไม่รั้งพวกเจ้าอีก”
“เหอะๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะลองฟัง ตกลงแล้วตระกูลฉินของเจ้ามีแผนการแยบคายอะไร” โจรสองคนเดินกลับมา นั่งลงบนเก้าอี้
…………………
“ตระกูลฉินไม่ยอมเลิกราจริงๆ!”
สุดท้ายตระกูลฉินกับพวกโจรก็ตกลงร่วมมือกัน อวิ๋นโม่ฟังแผนการของพวกมันแล้วก็เกิดความคิดฆ่าฟันขึ้นมา หากปล่อยให้แผนนี้ของขุมกำลังทั้งสองเป็นจริง ตระกูลอวิ๋นคงต้องถูกล้มล้าง แม้ท้ายที่สุดแล้วอวิ๋นโม่อาจอาศัยความสามารถคลี่คลายลงได้ แต่ถึงตอนนั้นความสูญเสียที่เกิดขึ้นคงไม่อาจเรียกคืนได้แล้ว
ตามแผนการของพวกมัน พวกอวิ๋นต้ามั่วบิดาของอวิ๋นเสวียนเซิง ผู้อาวุโสสาม อวิ๋นหลานเหอ และท่านผู้นำตระกูลจะถูกสังหารทั้งหมด ถึงตอนนั้นต่อให้อวิ๋นโม่โค่นล้มตระกูลฉินพร้อมทั้งกวาดล้างพวกโจรภูเขาก็ไม่อาจทำให้คนเหล่านี้ฟื้นคืนมาได้
สุดท้ายอวิ๋นโม่ก็เลือกที่จะผละจากไปเงียบๆ ไม่ได้ผลีผลามเข้าไปฆ่าคนเหล่านี้ เพราะเขาคิดจะยืมมือพวกมันจัดการเรื่องยุ่งยากบางอย่าง
อวิ๋นโม่เก็บแผนการส่วนตัวเอาไว้ก่อน เขาวิ่งไปตามเส้นทางบนเทือกเขาเหนือเมฆา มุ่งค้นหากลุ่มล่าสัตว์ของตระกูลอวิ๋น
“สมควรเป็นแถบนี้” อาศัยเงื่อนงำจากข้อมูลที่ได้ยินมาจากตระกูลฉิน ในที่สุดอวิ๋นโม่ก็พบกลุ่มล่าสัตว์ของตระกูลอวิ๋น
แม้ตอนนี้ยังสว่างอยู่ แต่กลุ่มล่าสัตว์ตระกูลอวิ๋นก็ตั้งกระโจมแล้ว พอเห็นคนแปลกหน้าผู้หนึ่งบุกเข้ามา คนที่ทำหน้าที่เฝ้ายามก็ตื่นตัวทันที
“ผู้มาโปรดหยุดเท้า ที่นี่คือที่พักแรมของตระกูลอวิ๋น!” คนหนุ่มกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว มองอวิ๋นโม่อย่างระแวดระวัง ผู้เอ่ยประโยคนี้คืออวิ๋นหลานเหอ หัวหน้ากลุ่มล่าสัตว์ขนาดเล็กของตระกูลอวิ๋น แม้ดูแล้วอวิ๋นโม่จะไม่มีพลังปราณ เป็นแค่ระดับเสริมกำลัง แต่อวิ๋นหลานเหอรู้ดีว่าคนที่สามารถเคลื่อนไหวบนเทือกเขาเหนือเมฆาเพียงลำพังย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
อวิ๋นต้ามั่วยืนอยู่ข้างกายอวิ๋นหลานเหอ ในมือถือขวานวิญญาณที่ประมูลได้ในวันนั้น พลังแข็งแกร่งกระจายออกมาจากร่างกาย ตรงเข้าโอบล้อมอวิ๋นโม่
“ตอนนี้พวกเจ้าตกอยู่ในอันตราย ตระกูลฉินและแมงป่องพิษร่วมมือกัน คิดจะสังหารพวกเจ้า”
“ฮ่าๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของอวิ๋นโม่ คนตระกูลอวิ๋นเกือบทั้งหมดก็ส่งเสียงหัวเราะ
“เจ้ามาเพื่อล้อเล่นงั้นหรือ ตอนนี้ใครบ้างไม่รู้ว่าตระกูลอวิ๋นของเรากำลังรุ่งเรือง ตระกูลฉิน พวกมันกล้าร่วมมือกับแมงป่องพิษมาเล่นงานพวกเราตระกูลอวิ๋นด้วยหรือ”
“น้องชาย ครั้งหน้าหากจะโกหก รบกวนเจ้าพูดอะไรที่เป็นไปได้สักหน่อย ตอนนี้แม้แต่ตระกูลหวังก็ยังไม่กล้าหาเรื่องตระกูลอวิ๋นเรา แค่ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลฉินยังจะกล้าก่อเรื่อง”
“ฮ่าๆๆ ต่อให้ตระกูลฉินและแมงป่องพิษร่วมมือกัน ตระกูลอวิ๋นของพวกเราก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย”
“น้องชาย ฉวยโอกาสที่พวกเรายังอารมณ์ดีอยู่ รีบไปเสียเถอะ พวกเราจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”
ทุกคนต่างผ่อนคลาย คิดว่าแค่บังเอิญเจอคนหลอกลวง แต่มีคนผู้หนึ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด อยากพุ่งเข้ามาสังหารอวิ๋นโม่จนแทบทนไม่ไหว
………………………………………
MANGA DISCUSSION