กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ - ตอนที่ 12 ล้มอวิ๋นเลี่ย
ผู้อาวุโสแปดรู้ถึงความเก่งกาจของหลานชายเป็นอย่างดี ในบรรดาเด็กรุ่นเดียวกันของตระกูลอวิ๋น เกรงว่าคงมีแต่พวกอวิ๋นซั่งหลงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถปะทะกับหมัดของอวิ๋นเลี่ยได้ อวิ๋นโม่กล้าปะทะกับอวิ๋นเลี่ยตรงๆ เช่นนี้ไม่เท่ากับหาเรื่องตายหรือ
เปรี้ยง!
เสียงกึกก้องดังไปทั่วสนาม ภาพที่ทุกคนคิดเอาไว้ในใจกลับไม่เกิดขึ้น อวิ๋นโม่เพียงถูกเรี่ยวแรงมหาศาลกระแทกจนถอยหลังไปหลายสิบก้าว ส่วนอวิ๋นเลี่ยเองก็ถูกพลังหมัดอันน่าหวาดหวั่นของอวิ๋นโม่กระแทกจนถอยหลังอย่างแรงเช่นกัน
“เป็นไปได้อย่างไร” เมื่อเห็นภาพนี้ ผู้คนทั้งหมดในสนามก็เบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ คำเรียกสวะของอวิ๋นโม่ไม่มีผู้ใดในตระกูลอวิ๋นไม่รับรู้ แต่ว่าตอนนี้ขยะในสายตาของพวกเขาสามารถปะทะกับผู้มีพรสวรรค์อย่างไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคน
การที่ผู้คนยากจะเชื่อว่า เศษสวะที่เกือบถูกทุบตีจนตายเมื่อไม่นานมานี้สามารถปะทะกับอวิ๋นเลี่ยบนเวทีประลอง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
อวิ๋นเสี่ยวกั่วที่อยู่ล่างเวทียกมือขึ้นปิดปากอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า ก็เพราะว่าอวิ๋นโม่ไร้ประโยชน์เกินไป นางจึงเลือกทอดทิ้งเขา ทั้งยังดูถูกอวิ๋นโม่อย่างโหดเหี้ยมทิ้งท้ายเพื่อเอาใจอวิ๋นเลี่ย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า อวิ๋นโม่กลับแสดงถึงพละกำลังที่ไม่พ่ายแพ้ต่ออวิ๋นเลี่ย แล้วนางจะไม่ตื่นตระหนกได้อย่างไร
“หึ! ที่แท้ก็ไม่ใช่คนดีอะไร ถึงกับเก็บงำพละกำลังมาตลอด ยังดีที่ข้าทิ้งเขาไปแต่แรก คนที่มีจิตใจเช่นนี้ จะฝากชีวิตที่เหลือไว้กับเขาได้อย่างไร” อวิ๋นเสี่ยวกั่วพึมพำ “แต่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าสะสมชื่อเสียงเหม็นเน่ามาตลอด ไม่เคยได้เรียนรู้วิชาหมัดมวยอะไร ส่วนอวิ๋นเลี่ยมีโอกาสเรียนรู้วิชาหลากหลาย ต่อให้เจ้ามีพละกำลังเทียบเคียงอวิ๋นเลี่ย ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
ประมุขตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่บนเวทีต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน ผู้อาวุโสแปดถึงกับลุกพรวดขึ้นมา แต่ก็รีบนั่งลงไปอย่างรวดเร็ว
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนั่นจะปิดบังได้แนบเนียนเช่นนี้ แต่ไม่เป็นไร เลี่ยเอ๋อร์มีประสบการณ์การต่อสู้โชกโชนกว่ามาก เขาจะต้องไม่แพ้แน่” ผู้อาวุโสแปดยิ้ม แม้จะเห็นว่าพละกำลังของอวิ๋นโม่และอวิ๋นเลี่ยเสมอกันก็ไม่กังวล
ถึงจะประหลาดใจกับพละกำลังที่เพิ่มขึ้นของอวิ๋นโม่ แต่อวิ๋นเว่ยเซิงยังคงเชื่อว่าเด็กหนุ่มจะพ่ายแพ้
อวิ๋นเลี่ยถอยหลังไปหลายสิบก้าว มองอวิ๋นโม่ด้วยความตื่นตระหนก ที่จริงแล้วเขาต่างหากที่เป็นคนที่ตกใจมากที่สุด มือขวาของอวิ๋นเลี่ยยังคงสั่นสะท้าน ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้บนหน้าผากผุดเหงื่อเย็นเม็ดโต ทุกคนคิดว่าพลังของเขาและอวิ๋นโม่สูสีกัน แต่ที่จริงขณะปะทะกันเมื่อครู่ เขาต่างหากที่เสียเปรียบ หมัดของเขารู้สึกเหมือนต่อยลงไปบนแผ่นเหล็กก็ไม่ปาน กระดูกมือขวาของเขาคงแตกถึงได้เจ็บปวดมากขนาดนี้
“ไอ้เด็กร้ายกาจ เก็บงำมิดชิดนัก!” อวิ๋นเลี่ยเอ่ยอย่างโกรธแค้น เขาไม่เชื่อว่าพละกำลังของอวิ๋นโม่จะเพิ่มพูนได้มากขนาดนี้ภายในหนึ่งเดือน
อวิ๋นโม่ไม่อธิบาย ความจริงเขารู้สึกไม่ค่อยพอใจ จากสภาวะเมื่อครู่เขายังแข็งแกร่งกว่าลั่วเทียนตอนที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่ช่วงเวลาความแข็งแกร่งนี้มีขีดจำกัด ไม่สามารถรักษาสภาวะเอาไว้ได้ตลอดเวลา แต่ว่าอวิ๋นโม่ก็ไม่คิดมาก สถานการณ์ตรงหน้าได้แต่ต้องเดินไปทีละก้าวจึงจะดีที่สุด ยังดีที่เขามีน้ำนมปฐพี หลังจากตนใช้น้ำนมปฐพีฝึกฝนร่างกาย พละกำลังจะต้องเหนือกว่าลั่วเทียนยามที่อยู่ในระดับเดียวกัน
ฝูงชนต่างประหลาดใจกับพละกำลังของอวิ๋นโม่ หากรู้ว่าเด็กหนุ่มใช้แค่พละกำลังระดับเสริมกำลังขั้นห้าชั้นฟ้า พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร
“คิดไม่ถึงว่าเจ้ามีพละกำลังขนาดนี้ ถึงกับเทียบข้าได้ แต่ว่าการประลองครั้งนี้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว จากที่ข้ารู้มา เจ้าไม่เคยได้ร่ำเรียนวิชาต่อสู้อย่างถูกต้องมาเลยสักวิชาใช่ไหม เหอะๆ ข้าได้ฝึกฝนกรงเล็บป่นศิลามาแล้ว สามารถเอาชีวิตเจ้าได้ในกรงเล็บเดียว!” อวิ๋นเลี่ยคลี่ยิ้ม
“กรงเล็บป่นศิลา” อวิ๋นโม่ขมวดคิ้ว วิชาต่อสู้เช่นนี้ ในตระกูลอวิ๋นถือเป็นวิชาระดับสูง คนที่ไม่มีผลงานเพียงพอไม่อาจฝึกฝน ผู้อาวุโสแปดคงอาศัยฐานะของตนเองลอบถ่ายทอดวิชานี้แก่อวิ๋นเลี่ย
แต่อวิ๋นโม่ไม่กังวล ไม่พูดถึงว่าที่จริงแล้วพละกำลังของเขาเหนือกว่าอวิ๋นเลี่ยมาก ต่อให้พละกำลังเสมอกับอวิ๋นเลี่ย เขาก็เชื่อว่าสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ กรงเล็บป่นศิลาก็เป็นแค่วิชาฝ่ามือสำหรับคนธรรมดาที่ไม่อาจควบคุมพลังวิญญาณใช้ต่อสู้กันเท่านั้น แต่หมัดทลายภูผาที่อวิ๋นโม่ฝึกฝนเป็นสุดยอดวิชาเสริมกำลัง ความซับซ้อนของวิชานี้เหนือกว่าวิชากรงเล็บป่นศิลาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร
“ตายเสีย!” อวิ๋นเลี่ยพุ่งเข้าหาอวิ๋นโม่อย่างฉับพลัน กางมือเป็นรูปกรงเล็บ คว้าลำคอของอวิ๋นโม่จากตำแหน่งซึ่งรับมือได้ยาก หากเป็นคนธรรมดาย่อมไม่สามารถหลบหลีกกรงเล็บที่น่ากลัวนี้ กรงเล็บป่นศิลาทรงพลังมาก หากถูกคว้าจับเพียงครั้งเดียว ต่อให้เป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแกร่งเช่นอวิ๋นโม่ ลำคอก็อาจถูกบีบแตกได้
ปัง!
“บังอาจนัก!” อวิ๋นเว่ยเซิงตบแขนเก้าอี้ด้วยความเดือดดาล “ผู้อาวุโสแปด อวิ๋นเลี่ยยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะฝึกกรงเล็บป่นศิลากระมัง”
เขาปรายตาไปยังผู้อาวุโสแปดอย่างเย็นชา จากนั้นก้าวไปด้านหน้าคิดจะหยุดยั้งการประลอง
“ท่านประมุขตระกูล ท่านมิได้สังเกตเรื่องราวภายในตระกูลมาระยะหนึ่งจึงไม่รู้ว่า กรงเล็บป่นศิลานี้ ลูกศิษย์มากมายต่างก็ได้ฝึกฝนกันแล้ว มิใช่ว่ามีแต่เลี่ยเอ๋อร์เพียงผู้เดียว” ผู้อาวุโสแปดกล่าว
ผู้อาวุโสใหญ่เองก็เอ่ยปาก “ท่านประมุขตระกูล ข้าเห็นว่า กฎระเบียบเหล่านั้นสมควรเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ควรเปิดกว้างให้พวกลูกศิษย์ได้ฝึกฝนวิชาเหล่านี้ จึงจะทำให้ตระกูลของเราพัฒนา”
“ผายลม!” อวิ๋นเว่ยเซิงมีโทสะ “หากเป็นเช่นนั้น พวกศิษย์จะมีแรงผลักดันเพื่อกระทำเรื่องต่างๆ ได้อย่างไร เจ้าหลีกไป การประลองจะต้องยุติเพียงเท่านี้!”
“ท่านประมุข คนภายนอกไม่อาจแทรกแซงการประลอง นี่เป็นกฎ หรือท่านจะฝ่าฝืนให้ได้” ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยเสียงขรึม เขาย่อมไม่คิดจะปะทะกับอวิ๋นเว่ยเซิงจริงๆ เพราะตนเองยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย แต่ว่าขอเพียงขัดขวางประมุขตระกูลไว้ชั่วครู่ อวิ๋นโม่ก็คงต้องตายด้วยน้ำมือของอวิ๋นเลี่ยแล้ว
“หลีกไป!” อวิ๋นเว่ยเซิงโกรธขึ้นมาแล้ว เขาโบกฝ่ามือทะยานออกไปในพริบตาทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ต้องถอยหลังไปหลายก้าว ผู้อาวุโสใหญ่ชวนเซถอยหลังจากนั้นกระอักเลือดคำหนึ่ง เขามองประมุขตระกูลอย่างคาดไม่ถึงว่า พลังของผู้อื่นจะเพิ่มพูนขึ้นอีกแล้ว
อวิ๋นเว่ยเซิงที่กำลังจะขึ้นไปบนเวทีพลันหยุดลง เพราะเห็นว่าอวิ๋นโม่ขยับฝ่าเท้าหลบหลีกการคว้าจับของอวิ๋นเลี่ยได้อย่างง่ายดาย
“นี่ไม่ใช่วิชาของตระกูลอวิ๋น!” อวิ๋นเว่ยเซิงประหลาดใจ กรงเล็บป่นศิลาเป็นวิชาร้ายกาจ ลูกศิษย์ของตระกูลอวิ๋นหากไม่เคยฝึกฝนกลวิธีแบบเดียวกันย่อมไม่อาจหลบหลีกได้ คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นโม่กลับหลบได้อย่างง่ายดาย ที่แท้เด็กหนุ่มยังมีโอกาสเอาชนะ การก้าวเท้าเช่นนี้ช่างหลักแหลมนัก
เรื่องที่อวิ๋นเว่ยเซิงยิ่งคิดไม่ถึงอยู่ถัดจากนี้
อวิ๋นโม่หลบหลีกกรงเล็บของอวิ๋นเลี่ยได้อย่างง่ายดาย ขณะที่สีหน้าไม่คาดคิดของอวิ๋นเลี่ยปรากฏขึ้น ขาซ้ายของอวิ๋นโม่ก็ย่อลง พลิกร่างกลับก่อนส่งหมัดของตนออกไป
ตูม!
พลังหมัดรุนแรงกระแทกแผ่นหลังของอวิ๋นเลี่ย อวิ๋นเลี่ยกระอักเลือดออกมาสายหนึ่ง รู้สึกว่ากระดูกหลังของตนเองหักสะบั้น ถูกอวิ๋นโม่ต่อยใส่แผ่นหลังเพียงหมัดเดียวก็รู้สึกว่าร่างกายปราศจากเรี่ยวแรงลุกไม่ขึ้น ยามนี้เด็กหนุ่มไม่ได้คิดว่าทำไมอวิ๋นโม่ถึงได้แข็งแกร่ง แต่กลับรู้สึกหวาดกลัว เขาแพ้แล้ว เช่นนี้อวิ๋นโม่จะปล่อยเขาหรือไม่ คำตอบต้องเป็นไม่อย่างแน่นอน
“ไม่! เจ้าไม่อาจ!”
อวิ๋นเลี่ยนอนอยู่บนพื้น จดจ้องอวิ๋นโม่ด้วยความหวาดกลัว บางทีเป็นเพราะกลัวมากเกินไป หรืออาจเป็นเพราะอวิ๋นเลี่ยไม่เคยคิดว่าตนจะพ่ายแพ้ ดังนั้นจึงลืมที่จะขอยอมแพ้
ส่วนอวิ๋นโม่ในยามนี้มีอยู่เพียงความคิดเดียว นั่นก็คือ อ่อนแอเกินไป! เมื่อครู่เขาใช้พลังขั้นห้าชั้นฟ้าเช่นกัน อวิ๋นเลี่ยกลับรับเอาไว้ไม่ได้แม้แต่หมัดเดียว
อวิ๋นโม่พุ่งไปอยู่เบื้องหน้าของอวิ๋นเลี่ย ดวงตาเปี่ยมรังสีสังหาร เมื่อรู้สึกถึงการฆ่าฟันที่น่าหวาดกลัว อวิ๋นเลี่ยก็รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา ในที่สุดค่อยคิดได้ว่าต้องขอยอมแพ้จึงจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้
“ข้าขอ…”
“เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว!” อวิ๋นโม่อุดปากอวิ๋นเลี่ย คว้าใบหน้าของเขาแล้วยกขึ้นมา
“อื้อๆ…” ดวงตาของอวิ๋นเลี่ยมีแต่ความหวาดกลัว มันคิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งตนเองจะตกอยู่ในเงื้อมมือของอวิ๋นโม่อย่างอัปยศ
ทุกคนในตระกูลอวิ๋นยามนี้ต่างก็นิ่งไป การประลองจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ผลลัพธ์กลับตรงข้ามกับสิ่งที่พวกเขาคาดการณ์อย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครกล้าเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
“หยุดมือ!” เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีการฆ่าฟันของอวิ๋นโม่ ผู้อาวุโสแปดก็มาถึงเป็นคนแรก เขาพูดอยู่ตลอดว่าใครก็ไม่อาจยื่นมือเข้าแทรก ยามนี้บุกขึ้นไปบนเวทีประลองด้วยความเร็วสูงสุด
“หึ!” อวิ๋นโม่แค่นเสียงเย็นชา เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องฆ่าอวิ๋นเลี่ยเพื่อแก้แค้นให้อวิ๋นโม่อีกคนหนึ่ง แล้วทำไมจะต้องหยุดมือ มือซ้ายของเขากำหมัดส่งพลังพุ่งเข้าใส่หัวใจของอวิ๋นเลี่ย
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นรังสีกระบี่อันรุนแรงก็พุ่งเข้ามา พลังที่น่าหวาดกลัวทำให้หนังศีรษะของอวิ๋นโม่ชาวาบ
“ต้องรีบหลบ!” ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจอวิ๋นโม่ ภัยคุกคามจากความตายโอบล้อม เขามั่นใจว่าหากยังยืนกรานจะฆ่าอวิ๋นเลี่ย ตนเองคงต้องตกตายอยู่ใต้กระบี่นี้เช่นกัน
ตึงๆๆ!
อวิ๋นโม่ปล่อยอวิ๋นเลี่ยแล้วรีบร้อนถอยหลัง
ซูม!
รอยกระบี่ลึกพาดผ่านสนามประลองอย่างน่ากลัว ทำให้อวิ๋นโม่ที่ถอยออกไปหลั่งเหงื่อเย็นออกมา หากเขาช้าไปแม้เพียงเสี้ยวเดียว เกรงว่าคงถูกฟันเป็นสองส่วนแล้ว
“ท่านปู่ ฆ่ามันเลย! ฆ่ามัน!” อวิ๋นเลี่ยตะโกนเสียงดัง รังสีสังหารที่ทะยานเข้าใส่เมื่อครู่ทำเอาเขาหวาดกลัวถึงขีดสุด
“เด็กชั่ว แม้แต่คนตระกูลเดียวกันก็ยังกล้าลงมือฆ่า หากตระกูลอวิ๋นเก็บเจ้าไว้มีแต่จะเป็นเภทภัย!” ผู้อาวุโสแปดเอ่ยเสียงเย็น จากนั้นวาดกระบี่ใส่อวิ๋นโม่อีกครั้ง
เห็นรังสีกระบี่ที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว อวิ๋นโม่พลันขนลุกชัน สัมผัสได้ถึงความตายที่ใกล้เข้ามา เขารู้ว่ากระบี่นี้ผู้อาวุโสแปดลงมือเต็มกำลัง ตนไม่อาจหลบหลีกได้ ตอนนี้เขายังเป็นเพียงระดับเสริมกำลังขั้นเจ็ดชั้นฟ้าเท่านั้น แต่ผู้อาวุโสแปดเป็นยอดฝีมือขั้นสูงสุดของระดับก่อจิตขั้นเก้าชั้นฟ้าแล้ว เขายังห่างชั้นมากนัก
“ไม่!” หลีเยียนกรีดร้องอย่างหวาดกลัว อวิ๋นโม่เอาชนะอวิ๋นเลี่ยได้แล้ว นางยังไม่ทันยินดีก็ต้องเห็นอวิ๋นโม่ถูกฆ่า
ในยามนั้นเองเงาร่างสายหนึ่งเข้ามาขวางอยู่เบื้องหน้าอวิ๋นโม่ เขายกมือคว้ากระบี่เล่มนั้นไว้ จากนั้นก็สลายทิ้งในฝ่ามือเดียว
“ผู้อาวุโสแปด เจ้าทำเกินไปแล้ว!” ท่านประมุขตระกูลสีหน้าเคร่งขรึมเปี่ยมรังสีสังหาร
ผู้อาวุโสแปดหัวใจกระตุก เขาเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขตระกูล หากอีกฝ่ายลงมือขึ้นมาจริงๆ เขาเองก็คงไม่รอดแน่ จึงได้เก็บความคิดฆ่าฟัน เอ่ยอย่างเฉไฉ “เด็กคนนี้จิตใจชั่วร้าย ลงมือเหี้ยมโหด แม้แต่คนในตระกูลเดียวกันก็ยังคิดฆ่า ข้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ชั่วขณะ จึงได้…”
หลีเยียนพุ่งไปบนเวทีประลอง ขวางอยู่เบื้องหน้าอวิ๋นโม่ นางชี้หน้าผู้อาวุโสแปดพลางร้องด้วยความโกรธแค้น “ไอ้แก่หนังเหี่ยว หลานเจ้าเป็นศิษย์ตระกูลอวิ๋น แล้วลูกชายของข้าไม่ใช่หรือ ก่อนหน้านี้อวิ๋นเลี่ยกดดันรังแกโม่เอ๋อร์จนเกือบจะสังหารเขา เจ้าเคยว่าอะไรไหม วันนี้โม่เอ๋อร์ประลองกับอวิ๋นเลี่ย อวิ๋นเลี่ยไม่ได้ขอยอมแพ้ ต่อให้โม่เอ๋อร์สังหารอวิ๋นเลี่ยก็ไม่ถือว่าทำผิดกฎ! หลานชายของเจ้าเข่นฆ่าผู้คนโดยไม่สนใจกฎตระกูลสามารถทำได้ แต่ลูกของข้าที่ฆ่าคนโดยอยู่ในกติกากลับต้องรับโทษตาย นี่มันเหตุผลอะไรกัน!”
“อวิ๋นโม่เป็นเศษสวะตัวหนึ่ง แต่ว่าเลี่ยเอ๋อร์ของข้า…” ผู้อาวุโสแปดพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็ต้องหยุดปาก ยามนี้อวิ๋นโม่เอาชนะอวิ๋นเลี่ยได้แล้ว หากบอกว่าอวิ๋นโม่เป็นเศษสวะ เช่นนั้นหลานชายของเขาจะนับเป็นตัวอะไร
หลีเยียนและอวิ๋นเว่ยเซิงต่างมองผู้อาวุโสแปด ด้วยสายตาเย็นชา ผู้อาวุโสใหญ่รีบตามมาถึงด้านหน้าเวที ผู้อาวุโสรองที่อยู่บนเวทีสูงดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“พอได้แล้ว พาคนไสหัวไป!” อวิ๋นเว่ยเซิงเอ่ย “จำไว้ ต่อไปจะไม่มีทรัพยากรส่วนของอวิ๋นเลี่ยอีกแล้ว ทั้งหมดจะเป็นของอวิ๋นโม่ หากต่อไปอวิ๋นเลี่ยต้องการทรัพยากรก็ต้องช่วยเหลืองานของตระกูล ใช้ความชอบแลกเปลี่ยนกับทรัพยากร!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของประมุขตระกูล อวิ๋นโม่ทั้งครอบครัวก็รู้ว่านี่เป็นการไกล่เกลี่ยสถานการณ์
………………………………………