กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ - ตอนที่ 1 อวิ๋นโม่
นี่อาจเป็นเตาหลอมโอสถที่พิเศษที่สุดในโลก ความพิเศษนี้ไม่ใช่แค่ลักษณะภายนอกของมันเท่านั้น เพียงใช้งานมัน ต่อให้ไม่ใช่ผู้ที่เคยฝึกฝนมาก่อน ขอแค่รู้วิธีใช้ก็สามารถหลอมโอสถวิเศษได้เฉกเช่นเดียวกับยอดนักปรุงโอสถ
หน้าเตาหลอมโอสถมีชายชราผมขาวผู้หนึ่งนั่งอยู่ ความสนใจทั้งหมดของเขาจดจ่ออยู่กับการควบคุมไฟในเตาหลอม
ชายชราผู้นี้มีนามว่าอวิ๋นโม่ เป็นนักปรุงโอสถผู้ยอดเยี่ยมเป็นหนึ่งในใต้หล้า
ผู้คนล้วนไม่เชื่อว่าอวิ๋นโม่ที่ไม่สามารถฝึกฝนพลังยุทธ์ได้ แท้จริงแล้วคือปรมาจารย์โอสถที่เก่งกาจที่สุด เรื่องที่อวิ๋นโม่เสียดายที่สุดในชีวิตก็คือเขาไม่มีเส้นชีพจรยุทธ์ จึงไม่อาจฝึกฝนวรยุทธ์ แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่พอจะชดเชยความเสียดายนี้ได้ นั่นคือการอาศัยทักษะทางการแพทย์และการหลอมโอสถอันสูงส่งของตนสร้างเทพจักรพรรดิผู้แข็งแกร่งขึ้นมาคนหนึ่ง เทพจักรพรรดิลั่วเทียน!
ลูกศิษย์ของเขา เทพจักรพรรดิลั่วเทียน เดิมเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ธรรมดาๆ คนหนึ่งซึ่งถูกผู้คนดูถูกเหยียดหยาม แต่เมื่ออวิ๋นโม่รับตัวลั่วเทียนมาพร้อมฝึกฝนเขาด้วยตนเอง ด้วยวิชาแพทย์และวิชาหลอมโอสถของเขา อวิ๋นโม่ที่มีชีวิตอยู่มานานถึงสามพันปี ในที่สุดก็สามารถผลักดันให้ลูกศิษย์ของตนกลายเป็นเทพจักรพรรดิลั่วเทียนได้สำเร็จ
คิดๆ ดูแล้ว อวิ๋นโม่เองก็มีชีวิตมาเกือบจะสามสิบรอบแล้ว ทุกๆ ครั้งที่เขาเข้าใกล้ความตายก็จะหลอมโอสถคืนชีวิตขึ้นมาเม็ดหนึ่ง และมีชีวิตอยู่ต่อไป ตอนนี้อวิ๋นโม่ใกล้จะถึงช่วงเวลาแห่งความตายอีกครั้งแล้ว เขากำลังหลอมโอสถคืนชีวิตอยู่ แม้มันจะเป็นยาวิเศษแต่ใช้ได้ผลเฉพาะกับคนธรรมดาเท่านั้น อีกทั้งต้องกินขณะใกล้สิ้นชีพจึงจะเกิดผล
ตูม!
ทันใดนั้นเตาหลอมก็เปิดออก โอสถสีขาวเม็ดหนึ่งลอยออกมาร่วงลงบนจานที่เตรียมเอาไว้อย่างพอดิบพอดี เมื่อเห็นโอสถคืนชีวิต อวิ๋นโม่ก็เผยรอยยิ้มออกมา เขารู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของพลังชีวิตในร่างตนเอง ยามใกล้สิ้นลมเขาจะกลืนโอสถคืนชีวิตลงไปและมีชีวิตต่อไปอีก
“พลังยุทธ์ของลั่วเทียนถึงจุดสูงสุดแล้ว วิชาแพทย์ของข้าคงไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกของเขาอีกต่อไป ถึงเวลาที่ข้าจะถ่ายทอดความสามารถของข้าให้เขาแล้ว ด้วยสติปัญญาของลั่วเทียน ย่อมสามารถเป็นแพทย์โอสถที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ไม่ยาก อาจถึงขั้นทลายกฎเกณฑ์ฟ้าดินและมีชีวิตนิรันดร์เลยก็เป็นได้”
กับศิษย์ผู้นี้ อวิ๋นโม่ภาคภูมิใจในตัวเขาเสมอมา เพื่อไม่เป็นการรบกวนการฝึกฝนของลั่วเทียน ก่อนหน้านี้อวิ๋นโม่จึงไม่เคยถ่ายทอดวิชาแพทย์แก่เขา แต่ตอนนี้ลั่วเทียนฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุด อวิ๋นโม่จึงไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวลอีก
เขาล้วงตำราแพทย์เล่มหนึ่งจากอกเสื้อ มองมันด้วยสายตาที่เหมือนกับมองบุตรของตนเอง มันคือบันทึกความรู้ทางการแพทย์ตลอดสามพันปีของเขา เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของวิเศษก็ยังได้ เขาเพิ่งเรียบเรียงเสร็จสิ้นเมื่อไม่นานมานี้และเตรียมส่งมอบมันให้ลั่วเทียน เพื่อเป็นของขวัญที่ลูกศิษย์บรรลุจุดสูงสุดของระดับปราณเทวะ
แอ๊ด!
ประตูห้องปรุงโอสถถูกเปิดออก บุรุษร่างกำยำผู้หนึ่งก้าวเข้ามา เขาคือศิษย์คนโปรดของอวิ๋นโม่ เทพจักรพรรดิลั่วเทียน!
อวิ๋นโม่คลี่ยิ้ม เขาหยิบโอสถคืนชีวิตขึ้นมาอย่างยากลำบากพลางเอ่ย “ลั่วเทียน เจ้ามาดูการคืนชีพของอาจารย์หรือ”
เทพจักรพรรดิลั่วเทียนมิได้กล่าวอะไร เขายื่นมือออกไปหยิบโอสถคืนชีวิตจากมือของอวิ๋นโม่
“ลั่วเทียน เจ้าซุกซนอีกแล้ว คืนโอสถให้ข้า ข้าใกล้จะไม่ไหวแล้ว” อวิ๋นโม่หอบหายใจหนัก กับคนใกล้หมดลมหายใจอย่างเขา แม้แต่การพูดธรรมดาก็เป็นเรื่องลำบาก
“ท่านอาจารย์ ท่านมีชีวิตอยู่มาสามพันปี ในฐานะคนธรรมดาถือว่ามากเกินไปแล้ว” ขณะพูดลั่วเทียนไม่ได้มองไปที่อวิ๋นโม่ แต่กลับจ้องโอสถคืนชีวิตในมือด้วยสีหน้าเย็นชา
“เจ้า หมายความว่าอย่างไร” อวิ๋นโม่หัวใจกระตุกอย่างคนสังหรณ์ใจไม่ดี
“ข้าเป็นถึงเทพจักรพรรดิยังไม่อาจมีชีวิตนิรันดร์ แต่ท่านเป็นเพียงคนธรรมดาผู้หนึ่งกลับสามารถใช้โอสถคืนชีวิตยืดอายุขัยต่อไปได้ตลอดเวลา นี่มัน ช่างน่ากลัวนัก!” เทพจักรพรรดิลั่วเทียนเผยสีหน้าเหี้ยมเกรียม “ท่านสามารถสร้างข้าลั่วเทียนขึ้นมา ก็สามารถสร้างเทพจักรพรรดิลั่วเทียนได้อีกนับพันนับหมื่นคน เช่นนี้ ยังจะไม่น่ากลัวได้อีกหรือ”
ว่าแล้วเทพจักรพรรดิลั่วเทียน ก็หยิบตำราแพทย์ที่อยู่เบื้องหน้าอวิ๋นโม่ขึ้นมา “ในที่สุดก็เขียนเสร็จแล้วหรือ ข้ารอวันนี้มานานแสนนาน สามารถสร้างเทพจักรพรรดิขึ้นมาผู้หนึ่ง ทั้งยังทิ้งวิชาเอาไว้ เจ้าสามารถตายได้อย่างสบายใจแล้ว!”
“ลั่วเทียน เจ้า!” อวิ๋นโม่ตกตะลึง ลูกศิษย์ที่ตนเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มากับมือ แท้จริงแล้วมีจิตใจชั่วร้าย สามารถกระทำเรื่องอย่างการสังหารอาจารย์ตัวเองได้
“เห็นแก่ที่เจ้าเป็นอาจารย์ของข้า ข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตต่อไปอีกนิด” เทพจักรพรรดิลั่วเทียนกลืนโอสถคืนชีวิตลงไป ตัดเส้นทางต่อชีวิตของอวิ๋นโม่
อวิ๋นโม่เข้าใจความคิดของเทพจักรพรรดิลั่วเทียนแล้ว ในสายตาของลั่วเทียน ทันทีที่ตนเขียนวิชาแพทย์สำเร็จก็กลายเป็นคนตายผู้หนึ่ง
“เจ้า เจ้าศิษย์ทรยศ!” อวิ๋นโม่โกรธถึงขีดสุด ทั้งยังเสียใจมาก เขามัวแต่ศึกษาวิชาแพทย์จึงไม่เคยสังเกตเห็นธาตุแท้อันเลวทรามของลั่วเทียน
แต่แม้จะโกรธมากขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์ พลังชีวิตของเขาใกล้จะหมดลงแล้ว
เทพจักรพรรดิลั่วเทียนมิได้มีความละอายแม้แต่น้อย เขามองอวิ๋นโม่ด้วยรอยยิ้มจนกระทั่งพลังชีวิตของอวิ๋นโม่หมดสิ้นไป
ตูม!
ร่างของอวิ๋นโม่และห้องปรุงโอสถที่เขาอาศัยอยู่มากว่าครึ่งชีวิตแหลกสลายเป็นผุยผงด้วยพลังอันน่ากลัวของเทพจักรพรรดิลั่วเทียน
…………………
“เจ้าศิษย์ทรยศ!”
อวิ๋นโม่ตะโกนลั่น ขณะลุกพรวดขึ้นก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่าง สมองเหมือนจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ
“ข้ายังไม่ตาย!”
นี่คือความคิดแรกหลังจากอวิ๋นโม่ตั้งสติได้ ถึงจะรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่าง แต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งอวิ๋นโม่ยังพบว่าตนเองเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป พี่ใหญ่ พี่ทำให้เมิ่งเอ๋อร์ตกใจแล้ว!”
อวิ๋นโม่หมุนศีรษะมองไป เห็นสาวน้อยอายุประมาณสิบสองปี ใบหน้ามีแต่ความตกใจและกังวล นางกำลังร้องไห้ดุจดอกสาลี่ต้องสายฝน
“เมิ่งเอ๋อร์”
อวิ๋นโม่มองสาวน้อยตรงหน้า ดวงหน้าเล็กหมดจดทั้งแปลกตาและคุ้นเคย เขารู้สึกว่าตัวเองไม่รู้จักสาวน้อยผู้นี้ แต่ปากกลับเรียกชื่อสองคำนั้นได้อย่างไม่ติดขัด
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้าถึงนอนอยู่บนเตียง มิใช่ว่าข้าถูกศิษย์ทรยศทำร้ายจนตายหรือ” อวิ๋นโม่กุมศีรษะ ต้องการทำความเข้าใจเรื่องราวตรงหน้า
“พี่ใหญ่ พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เมิ่งเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างถามตะกุกตะกัก
หลังจากความทรงจำที่เหมือนจะไม่ใช่ของตนเองหมุนวนอยู่ในสมอง อวิ๋นโม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
ที่แท้เขากลับมาเกิดใหม่แล้ว ทั้งยังเกิดใหม่เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีที่มีนามว่าอวิ๋นโม่ สาวน้อยตรงหน้าคือน้องสาวของเขา อวิ๋นเมิ่งเอ๋อร์
‘เจ้าศิษย์ทรยศ ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจเพื่อเจ้า ดูแลเจ้าดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับทำเรื่องสังหารอาจารย์ เจ้าคงคิดไม่ถึงว่าอาจารย์อย่างข้าจะยังไม่ตาย’ อวิ๋นโม่ขบฟัน ตอนนี้เขามาเกิดใหม่แล้ว ต่อไปจะทุ่มเทฝึกฝนสุดชีวิต ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทนจากการกระทำของตนเอง
แต่แล้วอวิ๋นโม่ก็ต้องตกใจจนหน้าถอดสี เพราะเพิ่งนึกได้ว่าอันที่จริงหนุ่มน้อยเจ้าของร่างเสียชีวิตเพราะพละกำลังอ่อนด้อยเกินไป จึงถูกคนรังแกจนตาย คงไม่ใช่ว่านี่คือร่างกายที่ไม่อาจฝึกฝนพลังยุทธ์อีกร่างหนึ่งใช่ไหม
เขารีบใช้วิชาสำรวจจิตตรวจดูภายในร่างกายของตน วิชาสำรวจจิตนี้เป็นวิชาระดับสูงแขนงหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังยุทธ์ก็สามารถใช้ได้ อวิ๋นโม่สำรวจจุดตันเถียนของตนเอง คนผู้หนึ่งจะสามารถฝึกวิชายุทธ์ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าภายในจุดตันเถียนมีชีพจรยุทธ์อยู่หรือไม่
ไม่นานอวิ๋นโม่ก็เกิดความยินดี หลังพบว่าในจุดตันเถียนมีเส้นชีพจรขนาดเล็กมากสายหนึ่งหลับใหลอยู่ พรสวรรค์ของร่างกายนี้ต่ำต้อยเสียจนน่าสงสาร แต่ไม่เป็นไร สำหรับอวิ๋นโม่แล้ว ขอเพียงสามารถฝึกฝนได้ก็พอ พรสวรรค์จะด้อยแค่ไหนก็ยังเติบโตเป็นผู้แข็งแกร่งได้
“พี่ใหญ่ พี่พูดกับเมิ่งเอ๋อร์สักคำสิ เมิ่งเอ๋อร์กลัวนะ” เห็นอวิ๋นโม่เอาแต่พึมพำกับตัวเอง เมิ่งเอ๋อร์ก็อดกังวลไม่ได้ กลัวว่าเขาจะบาดเจ็บจนร่างกายรับไม่ไหวกลายเป็นสติฟั่นเฟือน ในใจเมิ่งเอ๋อร์หวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะผ่อนลมหายใจ
“เมิ่งเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล พี่ไม่เป็นอะไร” อวิ๋นโม่ยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กของเมิ่งเอ๋อร์เบาๆ ด้วยความยากลำบาก
“จริงหรือ” เมิ่งเอ๋อร์มองอวิ๋นโม่ด้วยดวงตากลมโต
“จริงสิ” อวิ๋นโม่ผงกศีรษะ
‘วางใจเถอะ ในเมื่อร่างของเจ้าช่วยข้าเอาไว้ เช่นนั้นข้าก็จะใช้ชีวิตต่อไปในส่วนของเจ้าด้วย หน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้า มอบให้ข้าสานต่อเถอะ’ อวิ๋นโม่หรี่ตามองออกไปนอกห้องด้วยแววตาคมกริบดุจสายฟ้า
เจ้าของร่างนี้ก็มีนามว่าอวิ๋นโม่ อายุสิบสี่ปี ในครอบครัวมีมารดาหนึ่งคนและน้องสาวหนึ่งคน เขาด้อยพรสวรรค์จึงถูกศิษย์ในบ้านตระกูลอวิ๋นรังเกียจและลบหลู่ หลายวันก่อน อวิ๋นเลี่ยไม่เพียงดูหมิ่นเขา แต่ยังด่าว่าเมิ่งเอ๋อร์ อวิ๋นโม่ที่เดิมมักจะสงบนิ่งเมื่อได้ยินอีกฝ่ายด่าเมิ่งเอ๋อร์ก็โกรธจนลงมือ ผลลัพธ์คือเขาถูกทุบตีใต้เงื้อมมืออวิ๋นเลี่ยและบ่าวไพร่อย่างทารุณ ไม่เพียงสูญเสียพลังยุทธ์ไปกว่าครึ่ง ยังถูกหักกระดูกขาไปข้างหนึ่ง เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องลาโลก ส่วนอวิ๋นโม่ก็เผอิญมาเกิดใหม่ในร่างนี้
ใบหน้าเล็กๆ ของเมิ่งเอ๋อร์เงยขึ้นมา เอ่ยว่า “พี่ใหญ่ ท่านอย่ากังวลใจไป ท่านแม่ไปหาผู้อาวุโสใหญ่แล้ว จะต้องขอโอสถต่อชีพจรมารักษาท่านได้แน่นอน”
อวิ๋นโม่ได้ยินแล้วหัวใจก็หนักอึ้งกว่าเดิม เขาได้รับความทรงจำจากอวิ๋นโม่เจ้าของร่าง จึงเข้าใจตระกูลนี้ดี ครอบครัวของเขาไม่เป็นที่ต้อนรับของคนในตระกูลอวิ๋น มีเพียงประมุขตระกูลและคนส่วนน้อยที่ดีต่อพวกเขาอยู่บ้าง ตอนนี้ประมุขตระกูลอวิ๋นอยู่ในช่วงเก็บตัวเข้ากรรมฐาน เรื่องราวต่างๆ ภายในตระกูลจึงอยู่ในความรับผิดชอบของผู้อาวุโสใหญ่
ผู้ที่ทำร้ายอวิ๋นโม่คืออวิ๋นเลี่ย อายุสิบห้าปี เขาเป็นหลานของผู้อาวุโสแปดซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อาวุโสใหญ่ ดังนั้นเรื่องโอสถต่อชีพจร เกรงว่าคงไม่สำเร็จแล้ว
ยิ่งกว่านั้นโอสถต่อชีพจรเป็นยาวิเศษแขนงหนึ่ง สำหรับตระกูลอวิ๋นที่ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าใดนับเป็นของล้ำค่า โอกาสที่หลีเยียนมารดาของอวิ๋นโม่จะได้รับโอสถต่อชีพจรย่อมน้อย เพราะไม่มีตระกูลใดเต็มใจเสียทรัพยากรล้ำค่าให้ ‘ขยะ’ ผู้หนึ่ง
ในตอนนั้นเอง นอกห้องมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เมิ่งเอ๋อร์ลุกขึ้นอย่างยินดี “ท่านแม่กลับมาแล้ว นางจะต้องนำโอสถต่อชีพจรกลับมาแน่”
อวิ๋นโม่มองด้านนอก เห็นฮูหยินวัยกลางคนรูปโฉมทรุดโทรมนางหนึ่งเดินเข้ามา
“อวิ๋นโม่ ตื่นแล้วหรือ” หลีเยียนเอ่ยปาก เมื่อเห็นอวิ๋นโม่มองมา ดวงตาของนางก็สั่นไหว
………………………………………