กำเนิดใหม่ทายาทเนตรจุติ - ตอนที่ 8 : ซาโซริแห่งทรายสีแดง
หลังจากใช้เวลามานานหลายทศวรรษในฐานะของ ฮิวงะ คุโรโตะ ความทรงจำมากมายในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาก็เลือนลางจนดูเหมือนว่า คุโรโตะ จะจำไม่ได้แล้วว่า โอซึซึกิ โทเนริ ต้องประสานอินก่อนเข้าสู่ โหมดจักระเนตรจุติ หรือไม่
“ถ้าต้องประสานอิน แล้วลับดับอินมีอะไรบ้างล่ะ? แล้วทิศทางการไหลของจักระต้องเป็นแบบไหน?”
เนื่องจากต้องเผชิญกับความสงสัยและความไม่แน่นอนมากมาย ตอนนี้ คุโรโตะ จึงเข้าใจถึงปัญหาที่เขาจะต้องเผชิญเพราะขาดความรู้ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งแตกต่างจาก โอซึซึกิ โทเนริ
นอกจากนั้นเขาก็ยังนึกขึ้นได้อีกว่า บุคคลสำคัญ ๆ ที่มีผลต่อเนื้อเรื่องของโลกนินจาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันและในอนาคตไม่ว่าจะเป็น อุซึมากิ นารูโตะ , อุจิฮะ ซาสึเกะ , อุจิฮะ โอบิโตะ , อุซึมากิ นางาโตะ , อุจิฮะ อิทาจิ , โฮคาเงะ รุ่น 4 , ฯลฯ พวกเขาทุกคนล้วนแล้วต่างได้รับคำแนะนำจากสุดยอดนินจาระดับ คาเงะ ที่ทรงพลังหรือนินจาที่เหนือกว่านั้นและได้รับการถ่ายทอดความรู้และวิชาต่าง ๆ มากมาย
แต่พอมองกลับมาที่เขา?
ไม่มีอะไรเลย!
อย่าเข้าใจผิด! อันที่จริงเขาได้เรียนรู้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากมายภายใต้คำแนะนำของ โอโรจิมารุ แต่ในฐานะนินจา เขายังไม่รู้ความรู้เกี่ยวกับคาถาอะไรมากนัก
แต่ คุโรโตะ ไม่ใช่คนที่จะรู้สึกหดหู่ใจหากพบปัญหา เมื่อพบปัญหาเขาก็ต้องหาวิธีการแก้ไข
หากพูดถึงมรดกที่มีค่าที่สุดสำหรับ คุโรโตะ ก็คงจะเป็นมรดกที่ โอซึซึกิ ฮามูระ ทิ้งไว้บนดวงจันทร์ นอกจากนั้นก็ยังมี แก่นพลังเนตรจุติ ที่เกิดจากการหลอมรวมของ เนตรสีขาว จำนวนมาก แต่ตอนนี้ คุโรโตะ ก็ยังไม่รู้ว่าจะขึ้นไปบนดวงจันทร์ได้อย่างไร และบนนั้นก็ยังมี โอซึซึกิ โทเนริ อยู่ ดังนั้นเขาจึงปล่อยเรื่องนี้เอาไว้ก่อน
บางที ตระกูลฮิวงะ อาจซ่อนมรดกลับบางอย่างไว้ ซึ่งมันอาจคุ้มค่าที่จะตามหายก็ได้
ความสามารถในการวิจัยและพัฒนาของ โอโรจิมารุ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดในโลก ดังนั้นหากเขาต้องการก้าวไปไกลกว่านั้น การติดต่อกับ โอโรจิมารุ ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถขาดได้
แต่วิธีการร่วมมือกับเขานั้น คุโรโตะ รู้สึกว่าต้องเปลี่ยน
ในความคิดของเขา การเป็นสายลับให้ โอโรจิมารุ เชิดนั้นมันไม่มีอนาคต เขาต้องเปลี่ยนสถานะจากผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นผู้ร่วมงานเพื่อที่เขาจะได้อะไรกลับมาบ้าง
แต่ความคิดนี้ก็กลับมาเป็นคำถามเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเขาอีกครั้ง ในโลกนินจาผู้อ่อนแอไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะร่วมงานกับผู้แข็งแกร่ง
หลังจากปรับความคิดของเขาใหม่อย่างละเอียดแล้ว คุโรโตะ ก็เริ่มประเมินความสามารถในการรบในปัจจุบันของเขา
ในแง่ของจักระ เขามีปริมาณจักระสูงกว่า จูนินขั้นสูง อย่างไม่ต้องสงสัยและเกือบจะถึงระดับของ โจนินพิเศษ เลยด้วยซ้ำ พร้อมกับ เนตรจุติ , กระบวนท่ามวยอ่อน , จุติเหนี่ยวสวรรค์ และ จุติพิชิตฟ้า ถ้าคาดไม่ผิด เขาคิดว่าเขาน่าจะเอาชนะ โจนินพิเศษ ได้ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับ โจนิน จริง ๆ ล่ะ?
(T/N : ระดับของ โจนิน เมื่อเรียงตามความแข็งแกร่ง คือ โจนินพิเศษ<โจนิน<โจนินขั้นสูง)
เขาจะต้องตายอย่างแน่นอนที่สุด!
แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงระดับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาเท่านั้น
หากเขามีประสบการณ์มากขึ้นและพัฒนา เนตรจุติ ต่อไป เขาเชื่อว่าอีกไม่นานความแข็งแกร่งของเขาก็จะไปถึงระดับ โจนิน หรืออาจจะเทียบเท่ากับ โจนินขั้นสูง เลยก็เป็นได้
เมื่อถึงเวลานนั้นเขาถึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะร่วมงานกับ อาจารย์โอโรจิมารุ ของเขาได้
หลังจากคิดเรื่องอนาคตอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุด คุโรโตะ ก็ดึงสติกลับมาสู่ปัจจุบัน
เขายังคงอยู่ในแผนการกวาดล้างของหมู่บ้านและความแข็งแกร่งของเขาก็ยังห่างไกลจากจุดที่เขาจะต่อสู้กับหมู่บ้านได้ ดังนั้นวิธีการป้องกันตัวเองโดยไม่เปิดเผยว่าเขามี เนตรจุติ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของเขาในตอนนี้
ทันทีที่เขากลับไปที่ด่านชายแดน มิซุย ก็มาหาเขาและพูดอย่างเย็นชาว่า “เตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้ฉันมีภารกิจให้เธอ”
สีหน้าของ คุโรโตะ ดูตกใจเล็กน้อย “ภารกิจอะไรครับ?”
มิซุย พูดต่อว่า “ฉันจะเป็นหัวหน้าทีมเอง ส่วนรายระเอียดภารกิจ ฉันจะบอกให้ฟังระหว่างเดินทางในวันพรุ่งนี้”
คุโรโตะ ต้องการปฏิเสธ แต่หลังจากลังเลเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็พยักหน้า
ที่จริงแล้ว เขารู้ดีว่าเขารอดพ้นจากการกวาดล้างมาแล้วรอบหนึ่งเพราะอาการป่วย ดังนั้นตอนนี้เมื่อเขาหายป่วยแล้ว เขาจึงไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป
……
วันต่อมา
คุโรโตะ และ มิซุย ติดอาวุธหนักพร้อมออกเดินทาง เนื่องจากอาการบาดเจ็บของ มิตาราชิ อังโกะ ยังไม่หายดี จึงมีเพียงพวกเขา 2 คนเท่านั้นที่เข้าร่วมในภารกิจครั้งนี้
ระหว่างทาง มิซุย ได้อธิบายรายละเอียดภารกิจคราว ๆ ให้เขาฟัง
เช่นเดียวกับภารกิจก่อนหน้านี้ของ อังโกะ และ โอดะ ก็คือการติดต่อกับสายลับของ โคโนฮะ ที่อยู่ใน ซึนะ และรับข้อมูลที่สายลับรวบรวมมาได้
หลังจากฟังคำแนะนำภารกิจ คุโรโตะ ก็มั่นใจ 100% ว่าภารกิจนี้เป็นกับดักเพื่อจัดการกับเขาแน่นอน
การแสดงออกของเขาภายนอกยังคงเหมือนเดิม แต่เขาคิดกับตัวเองในใจ “ใครกันนะที่จะเป็นคนฆ่าเรา? นินจาหน่วยรากหรือเปล่า? หรือจะเป็นหน่วยลับ? หรือนินจาซึนะ?”
ถ้าเป็นหน่วยราก คุโรโตะ ก็มั่นใจได้ 90% เลยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือ ชิมูระ ดันโซ และถ้าเป็นหน่วยลับ ก็มีความเป็นไปได้ 80% ที่คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะเป็น โฮคาเงะรุ่น 3 แต่ถ้าเป็น นินจาซึนะ สถานการณ์อาจจะซับซ้อนกว่านี้
ถ้าเป็น ซึนะ ก็หมายความว่า หมู่บ้านโคโนฮะ และ หมู่บ้านซึนะ ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าเป็น ซึนะ แสดงว่านี่ไม่ใช่เรื่องภายในหมู่บ้านอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านมากกว่า 1 แห่ง และถ้าเป็นแบบนั้นก็แสดงว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ใครบางคน นั่นก็หมายถึงคนที่ตัดสินใจเรื่องนี้จะต้องเป็นคนระดับสูงของ โคโนฮะ ทั้งหมด
ในขณะที่กำลังวิ่งไปตามทาง คุโรโตะ ก็ได้วิเคราะห์สถานการณ์ที่เขากำลังจะเผชิญอย่างรวดเร็วในใจ
‘ในการที่จะจัดการกับ จูนิน ที่ได้เลื่อนระดับเพราะสงคราม พวกเขาคงจะไม่จำเป็นต้องใช้นินจาที่แข็งแกร่งถึงระดับ โจนิน! ดังนั้นคู่ต่อสู้ของเราก็น่าจะเป็น จูนิน ที่มาในรูปแบบทีม 4 คน’
‘เราเป็นตระกูล ฮิวงะ ดังนั้นพวกเขาคงจะไม่คิดที่จะซุ่มโจมตีระหว่างทางเพราะเราจะถูกเจอตัวพวกเขาก่อน’
‘พวกเขาคงจะโจมตีเราจากทุกทิศทางทันทีเมื่อไปถึงจุดนัดหมาย หรือไม่ มิซุย ก็คงจะแสร้งทำเป็นแยกไปอีกทาง และใช้ประโยชน์จากความระมัดระวังของเรา โจมตีเราเพื่อสังหาร!’
‘มิซุย คนนี้มีบทบาทอย่างไรในเรื่องทั้งหมดนี้? เขาแค่นำทางเราไปในจุดโจมตี หรือเขาจะร่วมจัดการเราด้วย?’
หลังจากปลุก เนตรจุติ ขึ้นมาได้ความคิดของ คุโรโตะ ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้สิ่งที่เขาต้องการคือการมีชีวิตรอด แต่ตอนนี้เขามีความปรารถนาและความทะเยอทะยานมากขึ้นในใจ
นอกจากนี้การมี เนตรจุติ ก็ทำให้เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ ดังนั้นหลังจากกำจัดอารมณ์เชิงลบเช่นความกลัว ความสับสน ฯลฯ ไปแล้ว เขาก็วิเคราะห์สถานการณ์ที่เขาอาจต้องเผชิญได้อย่างแม่นยำ
หลังจากเดินทางเป็นเวลานาน
มิซุย และ คุโรโตะ มาถึงทางแยก ที่นี่คือพื้นที่โล่งที่เต็มไปด้วยทราย เห็นได้ชัดว่าบริเวณโดยรอบไม่มีที่กำบังอะไรเลยและมันก็ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการนัดพบ
ห่างออกไปปรากฏเป็นร่างเลือนรางในสายลมและทราย
คุโรโตะ จ้องมองเขาและพบว่าร่างกายของคนคนนั้นมีจักระจำนวนมากที่เกินกว่าระดับ จูนิน
นอกจากนี้ คุโรโตะ ยังพบอีกว่านอกจากร่างของคนคนนั้นแล้วก็ยังมีซากศพของ นินจาซึนะ นอนอยู่บนพื้น
ภาพที่แปลกประหลาดนี้ทำให้ คุโรโตะ รู้สึกถึงอันตราย เขาหยุดทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “หัวหน้า ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ”
มิซุย ก็ขมวดคิ้วแน่นเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ตรงหน้าเขาแตกต่างไปจากที่เขาคาดไว้
แต่เขาไม่ได้มีสายตาที่เฉียบคมเหมือนกับ คุโรโตะ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตัดสินความแข็งแกร่งของคนแปลกหน้าหรือสังเกตเห็นซากศพ 2 – 3 ร่าง ที่กองอยู่ที่เท้าของคนแปลกหน้าคนนั้นได้
หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง มิซุย สั่งว่า “ไปกันเถอะ!”
มิซุย เป็นหัวหน้าทีม เมื่อเขาออกคำสั่ง คุโรโตะ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตามเขาเข้าไปหาคนแปลกหน้าอย่างช้า ๆ
หลังจากนั้นไม่นานทั้ง 2 ก็มาหยุดอยู่ด้านหน้าของชายแปลกหน้า
คนแปลกหน้าสวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลเทาและแม้แต่ใบหน้าของเขาก็พูดปิดด้วยผ้าทำให้มองเห็นเพียงดวงตาใต้ผ้าเท่านั้น แต่แววตาของดวงตาคู่นี้ดูโหดร้ายราวกับสัตว์ป่าที่กำลังจ้องมองเหยื่ออยู่
ในเวลานี้ มิซุย มองเห็นซากศพ 2 – 3 ร่างซึ่งเป็นศพของ นินจาซึนะ นอนอยู่ที่เท้าของคนแปลกหน้า และทันใดนั้น มิซุย ก็พูดด้วยความหวาดระแวง “คุณ…คุณเป็นใคร?”
ชายแปลกหน้าค่อย ๆ เปิดผ้าคลุมหัวออก ก่อนที่จะเอียงศีรษะและพูดด้วยสีหน้าติดตลกว่า “โอ้ พวกเขารอคุณอยู่นี่เอง”
“ซาโซริแห่งทรายสีแดง?”