กำเนิดใหม่ทายาทเนตรจุติ - ตอนที่ 41 : ถ่วงเวลา
นิยาย กําเนิดใหม่ทายาทเนตรจุติ : Reborn into Na…
Chapter 41 : ถ่วงเวลา
คุโรโตะ ถอนหายใจและก้าวไปข้างหน้าเพื่อพยุง มิโกะที่คุกเข่าค่านับพวกเขาเพราะความผิดของเธอ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะรู้สึกผิดนะครับ เมื่อผนึก โมเรียว เสร็จ ท่านจะที่เวลาทั้งหมดในโลกเพื่อไถ่บาปของท่าน”
มิโกะ พยักหน้าเงียบ ๆ ขณะที่คุโรโตะเหลือบมองไปทาง ชิซุย และพยักหน้า ก่อนจะพูดว่า “ท่านมิโกะ เราอาจใช้วิชาต้องห้ามในการถ่วงเวลาปีศาจเอาไว้ เราหวังว่าท่านจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวิชาของเราไว้เป็นความลับนะครับ”
มิโกะสัญญาอย่างจริงจังกับคุโรโตะและชิซุย “โปรดวางใจเถอะค่ะ ฉันสาบานว่าจะเก็บมันเป็นความลับไปจนตาย!”
ด้วยค่าสัญญาของเธอ ทั้ง 3 ก็ดูจะสนิทกันมากขึ้น
หลังจากการสนทนานี้ มิโกะ ก็ยุ่งกับการเตรียมผนึก ขณะที่คุโรโตะและชิซุยวิเคราะห์ภูมิประเทศโดยรอบเพื่อให้มีความเข้าใจในเชิงลึกเกี่ยวกับสถานที่ต่อสู้เพื่อใช้ประโยชน์จากมัน
การอยู่ในน้ําในภูเขาที่มีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ทําให้บริเวณรอบๆ นั้นอันตรายอย่างยิ่ง ด้วยลาวาที่เดือดพล่านอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ความประมาทเพียงเล็กน้อยก็อาจทําให้เสียชีวิตได้โดยการระเหยกลายเป็นไอ
ดังนั้นการต่อสู้ที่นี่จึงเป็นเรื่องยากมาก ไม่ใช่แค่ต่อศัตรู แต่พวกเขาก็ด้วย
แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มิโกะมาที่นี่ เพราะเธอเดินเข้าไปอย่างง่ายดายในขณะที่เตรียมผนึก
หลังจากมองไปรอบ ๆ ด้วย เนตรจุติ คุโรโตะ ก็เตือน ชิซุย ว่า “พื้นดินและชั้นหิน ในนี้ดูไม่ค่อยแข็งเท่าไร ตอนสู้ก็ระวังด้วยล่ะ”
ชิซุย พยักหน้าขณะสังเกตสภาพแวดล้อมด้วย เนตรวงแหวนของเขา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มิโกะก็เสร็จสิ้นกระบวนการที่จําเป็นทั้งหมด และเมื่อคุโรโตะมองดูผนึกทั้งหมดที่จัดเรียงอยู่รอบ ๆ ก็ทําให้เขาต้องร้องอุทานออกมาจากก้นบึงของหัวใจว่า “ท่านมิโกะ วิชาสะกดของท่านเยี่ยมยอดจริง ๆ !”
ชิซุยก็พยักหน้า “เท่าที่ผมรู้ ความเชี่ยวชาญในวิชาสะกดของ ท่านมิโกะนั้นแข็ง แกร่งและมีชื่อเสียงพอๆ กับ ตระกูลอุซึมากิ แต่เพราะได้ในตอนนี้ ตระกูลอุซึมากิได้ล่มสลายไปแล้วจึงทําให้ยากที่จะหาคนที่เชี่ยวชาญในวิชาสะกดได้เหมือน ท่านมิโกะ”
ทันใดนั้น ชิซุย ก็นึกถึงบางสิ่งและพึมพําด้วยความเศร้า “และการมีชื่อเสียงมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี!”
ตระกูลอุจิฮะ เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของเรื่องนี้ ด้วยชื่อเสียงอันสูงส่งของพวกเขา แม้แต่เด็กเล็กๆ ของตระกูลก็มีบุคลิกที่หยิ่งทะนงและถูกครอบงํา พวกเขามักดถูกเพื่อนร่วมหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสําคัญที่ทําให้อุจิฮะถูกแยกออกจากส่วนที่เหลือของโคโนฮะอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม คุโรโตะไม่ได้คิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในตอนนี้ แต่กาลังพิจารณาอย่างจริงจังว่าเขาสามารถขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากเธอสําหรับแผนของเขาได้หรือไม่
ตามข้อมูลที่ โอโรจิมารุมอบให้เขา วิชาสะกดมีส่วนมากกว่า 70% ของกระบวนการ และการขาดแหล่งข้อมูลท่าให้ขาดความรู้ในเรื่องนี้ ประเด็นนี้กลายเป็นปัญหาร้ายแรงสําหรับเขา
ดังนั้นการดารงอยู่ของมิโกะ ที่มีความสามารถสูงในด้านวิชาสะกดจึงเป็นเป้าหมายที่ดีเยี่ยมสําหรับคุโรโตะ
แต่เมื่อพิจารณาถึงตําแหน่ง ชื่อเสียง รวมถึงศักดิ์ศรีของเธอ ถ้าเขาต้องการเรียนรู้บางอย่างจากเธอ คุโรโตะคงต้องพิจารณาวิธีการของเขาอย่างระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาระหว่างแคว้นได้
คุโรโตะ พยายามนึกถึงผลลัพธ์ที่เขาอาจได้รับจากการขอความช่วยเหลือจากมิโกะ
ในแผนสร้างสัตว์หางเทียม หมู่บ้านโคโนฮะได้ใช้วิชาสะกดของตระกูลอุซึมากิ แม้ว่ามันจะไม่สําเร็จแต่ก็นับว่าก้าวหน้าเป็นอย่างมาก และถ้าเขาขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจาก มิโกะ จากนั้นก็รวมวิชาสะกดของทั้งอุซึมากิและมิโกะเข้าด้วยกัน มันอาจให้ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดก็ได้ และนั่นก็อาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสําหรับเขาเช่นกัน….
ขณะที่คุโรโตะกำลังครุ่นคิดถึงข้อดีและข้อเสีย ทันใดนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือน
…ตั้ง…ตั้ง…
ในเวลาเดียวกัน เศษดินและเศษหินจากผนังและเพดานก็ตกลงมาบนพื้น และลาวาทําให้เกิดไอในทันที
มิโกะ นั่งตรงกลางของวงผนึกและพูดเสียงดัง “มันมาแล้ว!”
คุโรโตะและชิซุยชําเลืองมองกันและกันและกระโดดไป
ซ่อนตัวทันที
ไม่นานหลังจากนั้น พร้อมกับเสียงดังก้อง ร่างที่ใหญ่โตของโมเรียวก็เข้ามาในถ้ําในพริบตา
“มิโรค เจ้ไม่ควรปฏิเสธข้า!”
โมเรียวที่ขวางทางเข้าถ้ําทั้งถ้าโก่งตัวขึ้นและพูดด้วยน้ําเสียงที่ชั่วร้าย
มิโกะดูเหมือนจะไตร่ตรองคําพูดของเธออยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “ไม่! แกคิดผิด!”
โมเรียวค่อยๆเข้าหามิโกะ ขณะที่พยายามจะล่อลวงเธอ “รวมเป็นหนึ่งกับข้า เมื่อพลังของเรารวมกัน เราจะแข็งแกร่งที่สุด และโลกทั้งใบจะคลานแทบเท้าของเราแล้วอาณาจักรพันปีก็จะไม่เป็นความฝันอีกต่อไป!”
“ไม่! ไม่! ไม่!”
เมื่อเห็นการปฏิเสธอย่างต่อเนื่องของ มิโรค โมเรียว ก็ยังไม่ทําอะไรและพูดเสียงดังว่า “เจ้ากลัวอะไร?
เจ้าควรจะรู้ว่าเราจะแข็งแกร่งแค่ไหนถ้าเรารวมกัน จะไม่มีใครหยุดเราได้! ไม่ว่าจะนินจาคนไหน?! ซามูไรคนไหน?! พวกมันทุกคนจะต้องคลานมาที่เท้าของเราเหมือนมด!”
“ไม่ การทําเช่นนั้นรังแต่จะนําภัยพิบัติและความโกลาหลที่ไม่มีที่สิ้นสุดมาสู่โลก เท่านั้น!” มิโกะยังคงถ่วงเวลาต่อไปและพูดด้วยน้ําเสียงที่จริงจัง “แกมันหยิ่งผยอง เกินไป!”
“หยิ่งผยองเหรอ?!” โมเรียว พ่นน้ําเสียงอย่างประชดประชันขณะพูดด้วยความโกรธ “เจ้านี่มันโง่เกินไปแล้ว! เจ้าลืมไปหรือเปล่าว่าเราเป็นใคร? ลืมไปหรือเปล่า…ไม่ เจ้าคิดจะทําอะไร!!?”
ยังไม่ทันพูดได้จบประโยค โมเรียวก็รู้สึกได้ถึงอันตรายที่กลังเกิดขึ้นกับตัวเอง โดยสัญชาตญาณ
เมื่อเห็นว่าแผนถูกเปิดเผย มิโกะก็ไม่รอช้kอีกต่อไปแล้ว คุโรโตะ และ ชิซุย ก็พุ่ง เข้ามาทันที
ก่อนที่โมเรียวจะได้โต้ตอบอะไรกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของทั้ง 2 คน คุโรโตะ ก็ตะโกนว่า “ชิซุย! ลงมือ!”
ทันทีที่คุโรโตะออกคําสั่ง ชิซุยก็หลับตาและเปิดมันอีกครั้ง ด้วยจุดหยดน้ําทั้ง 3 จุดในเนตรวงแหวน ที่หมุนอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดมันก็รวมตัวกันจนกลายเป็นรูปดาวกระจาย 4 แฉกในดวงตา
“ซูซาโนะโอะ!” โดยไม่ลังเล ชิซุย ก็ใช้ ซูซาโนะโอะทันที
หลังจากตะโกนออกไป ร่างซูซาโนะโอะ สีเขียวมรกตที่มีรูปลักษณ์ดุร้ายและมีจดหยดน้ําสีแดงตรงกลางหน้าอกก็ปรากฏขึ้นมาคลอบร่างของชิซุยเอาไว้
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของซูซาโนะโอะ ทําให้ทั้งมิโกะและโมเรียวตกตะลึงเพราะไม่มีใครคิดว่านินจาตัวเล็กที่สวมหน้ากากแมวจะดึงสิ่งที่น่าเกรงขามและน่าสยดสยองออกมาได้
จักระของซูซาโนะโอะ ที่น่าสะพรึงกลัวทําให้ทั้งคู่ตกตะลึง
เนื่องจากการใช้ซูซาโนะโอะ สร้างภาระอย่างหนักให้กับ ชิซุย ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้าและจับโมเรียว ด้วยพละกําลังทั้งหมดของเขาทันที และหยุดการเคลื่อนไหวของโมเรียว
โมเรียว รู้สึกโมโหที่ถูกจับแบบนี้และคํารามด้วยความโกรธ “ไอ่มนุษย์ชั้นต่า แกกล้าดียังไง…………..!!!????????”
ตู้ม…
โมเรียว ถูกขัดจังหวะการพูดอีกครั้ง เพราะจู่ ๆ โมเรียวก็มองเห็นหอกเหล็กขนาดใหญ่กําลังพุ่งลงมาจากด้านบน และแทงเข้าไปในปากของโมเรียวอย่างดุเดือด ท่าให้ปีศาจคารามด้วยความเจ็บปวดและโกรธมากขึ้น
มิโกะมองคุโรโตะที่ลอยอยู่ด้านบนด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง
ในเวลานี้ คุโรโตะกำลังยืนอยู่บนแท่นทรายเหล็กและลอยอยู่กลางอากาศ ขณะที่ข้าง ๆ เขามีนินจาแปลก ๆ ที่พันผ้าพันแผลตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมปีกทรายเหล็กคู่หนึ่งบนหลังของนินจาคนนนั้น
เมื่อเห็นท่าทางงุนงงของมิโกะ คุโรโตะก็พูดอย่างแผ่วเบาด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจว่า “ท่านมิโกะ อย่ามัวแต่มองสิครับ…”