กำเนิดใหม่ทายาทเนตรจุติ - ตอนที่ 30 : ฮิวงะ vs อุจิฮะ - ตอน 2
นิยาย กําเนิดใหม่ทายาทเนตรจุติ : Reborn into …
Chapter 30 : ฮิวงะ vs อุจิฮะ – ตอน 2
การต่อสู้ที่หนักหน่วงอย่างต่อเนื่องสร้างภาระอันหนักอึ้งให้กับทั้งร่างกายของคุโรโตะและชิซุยเป็นอย่างมาก ดังนั้นการต่อสู้ระยะประชิดที่แปลกประหลาดแบบนี้จึงยากที่จะทําได้นานกว่านี้
คุโรโตะหายใจหอบอย่างหนักขณะใช้มือข้างหนึ่งดันพื้นเอาไว้เพื่อช่วยพยุงตัว
ในเวลานี้ ร่างกายของเขาเจ็บไปทั้งตัว และน่องของเขาก็เริ่มสั่นเทา หากเขาไม่ใช้มือดันพื้นเอาไว้ เขาก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะยังยืนอยู่ได้อยู่ไหม
การต่อสู้กันในครั้งนี้ไม่ใช้แค่การต่อสู้ของพลังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการควบคุมประสาทสัมผัสเหนือร่างกาย การตรวจจับความเร็วในการกระทํา ความเร็วในการตอบสนอง และความเร็วในการตัดสินใจ ทั้งหมดถูกนํามาพิจารณาด้วย
การหยุดชะงักร่างกายกลางคันขณะโจมตีสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกาย ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากันแค่ช่วงสั้นๆ แต่อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นก็ไม่น้อยไปกว่าการที่เขาประลองกับไกก่อนหน้านี้เลย
ชิซุยที่อยู่อีกฝากหนึ่งดูแย่ยิ่งกว่าคุโรโตะอีก เขามีเหงื่อออกจนเต็ม หอบหนัก และดูเหนื่อยมากทอง
ในตอนแรก ชิซุยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักกับคํายกย่องคุโรโตะ ที่อิทาจิเคยพูดกับเขา ไม่ใช่เพราะความเย่อหยิ่งหรือความภาคภูมิใจของเขา แต่เพราะเขาเป็นถึงผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะของโคโนฮะ
แต่หลังจากการเผชิญหน้ากันสั้นๆนี้ เขาก็ได้สัมผัสกับตัวเองว่า ฮิวงะ คุโรโตะ และ เนตรสีขาวแข็งแกร่งแค่ไหน เขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเป็นรองในการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นด้านความเร็วและปฏิกิริยาหลังจากที่เขาปลุกเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา ขึ้นมาได้ แต่ความจริงตรงหน้าก็ทําให้เขาต้องตกใจ
ทั้ง 2 ไม่ได้รีบลุกขึ้น แต่พวกเขาอยู่กับที่เพื่อพักร่างกายของพวกเขาในขณะที่สังเกตอีกฝ่าย
ผ่านไปครู่หนึ่ง คุโรโตะที่หายเหนื่อยแล้วก็ยืนขึ้นก่อนแล้วพูดว่า “มาต่อกันเถอะ”
ดูเหมือนว่า ชิซุยจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่เขาก็ยังคงยืนขึ้นและพยักหน้าอย่างจริงจัง
คุโรโตะกระทืบเท้าอย่างแรงทําให้ดาวกระจาย 2 อันที่หล่นอยู่บนพื้นกระเด้งขึ้นมาแล้วเขาก็จับมันไว้ด้วยมือทั้ง 2 ข้างทันทีและปาไปทางชิซุยพร้อมกัน
ในเวลาเดียวกัน เขาก็พุ่งด้วยความเร็วสูงเข้าหาชิซุย หลังจากปาดาวกระจายไปแล้ว
ชิซุยรู้ดีว่าเขาจะเสียเปรียบถ้าต่อสู้กัน ด้วยกระบวนท่าในระยะประชิด ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงไม่ปล่อยให้คุโรโตะเข้ามาใกล้เขาได้ง่าย ๆ เขาประสานอินขึ้นมาทันที
มะเส็ง , มะแม , วอก , กุน , มะเมีย , ขาล
“คาถาไฟ : ลูกบอลเพลิงยักษ์!”
ทันที่ที่ชิซุยร่ายคาถา เปลวเพลิงขนาดมหึมาก็ถูกปล่อยออกจากปากของเขา และกลายเป็นรูปทรงกลมขนาดใหญ่จนเกือบครอบคลุมพื้นที่การต่อสู้ทั้งหมด
เมื่อเห็นลูกไฟพุ่งเข้ามา คุโรโตะก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้มวยอ่อนเคลื่อนสวรรค์ เพื่อโต้กลับอีกครั้ง
ตอนนี้สนามรบกลายเป็นเตาอบขนาดใหญ่ การใช้มวยอ่อนเคลื่อนสวรรค์ของคุโรโตะได้ทําลายลูกไฟไป แต่มันกลับทําให้เกิดเป็นพายุไฟที่ลุกไหม้ไปทั่วทั้งสนามประลองแทน
โชคดีที่เหล่านินจาที่ดูการต่อสู้อยู่ข้างสนามไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก เพราะมีกําแพงดินที่โฮคาเงะรุ่น 3 สร้างขึ้นก่อนหน้านี้ แต่พวกเขาก็ยังต้องหลบเปลวเพลิงอยู่บ้างเป็นบางครั้ง และสุดท้ายทุกคนก็ต้องถอยห่างออกไปมากขึ้นอีก เพื่อดูการต่อสู้ได้อย่างปลอดภัย
ในสนามรบ คุโรโตะที่เพิ่งป้องกันคาถาไฟไปรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเช่นกัน
มวยอ่อนเคลื่อนสวรรค์ เป็นวิชาที่ใช้เพื่อตอบโต้การโจมตีของวิชากระบวนท่าเป็นหลัก แต่เมื่อใช้เพื่อป้องกันการโจมตีของคาถานินจา ประสิทธิภาพของมันจะลดลงเป็นอย่างมาก ดังนั้นแม้ว่าคุโรโตะจะป้องกันการโจมตีด้วยคาถาไฟของชิซุยได้ แต่เขาก็ต้องใช้จักระมากกว่า 3 – 4 เท่าของคาถาไฟที่ชิซุยโจมตีมา แม้ว่าปริมาณจักระของเขาจะมากกว่าชิซุย แต่อัตราส่วนที่แตกต่างกันมากขนาดนี้ก็เหลือทนจริงๆ
โชคดีที่หลังจากป้องกันคาถาไฟได้ คุโรโตะก็เข้าใกล้ชิซุยมากแล้ว แต่…
“วิชาเคลื่อนย้ายพริบตา!”
เมื่อรู้ว่าวิชากระบวนท่าระยะประชิดของคุโรโตะ น่ากลัวขนาดไหน ชิซุยก็ไม่สนใจร่างกายที่เหนื่อยล้าและใช้วิชาเคลื่อนย้ายพริบตา เพื่อออกห่างจากคุโรโตะทันที
ทันทีที่สิ้นเสียงของชิซุย เขาก็ไปปรากฏตัวอยู่ห่างออกไป แต่…มี อุจิฮะ ซิซุย มากกว่า 1 โหล ปรากฏขึ้นรอบตัวคุโรโตะ
ทันทีที่เขาเห็นชิซุยใช้วิชาที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา คุโรโตะก็หยุดทันที และไม่ได้วู่วามพุ่งเข้าไปหา เขามองดูชิซุยทั้งหมดรอบตัวเขาด้วยเนตรจุติ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ชิซุยทุกคนดูเหมือนตัวจริงทุกประการ ทําให้ตอนนี้เขาไม่สามารถระบุได้ว่าชิซุยร่างไหนคือร่างจริง
คุโรโตะไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับวิชาเคลื่อนย้ายพริบตาของชิซุย แต่ชิซุยก็โด่งดังในชื่อฉายา ชิซุยชั่วพริบตา มันจึงอธิบายได้ว่าวิชาเคลื่อนย้ายพริบตาของเขาเป็นอย่างไร
ในขณะนี้ ชิซุย มากกว่า 1 โหลพูดพร้อมกัน “รุ่นพี่คุโรโตะ ผมจะโจมตีแล้วนะครับ!”
คําพูดที่ฟังดูเหมือนเป็นเสียงสะท้อนจากทุกทิศทาง ทําให้เป็นเรื่องที่ยากมากสําหรับ คุโรโตะ ที่จะแยกแยะแหล่งที่มาของเสียงได้
ทันทีที่สิ้นเสียงของชิซุย พายุแห่งการโจมตีก็เริ่มต้นขึ้น
คุโรโตะ ลําบากมากเมื่อถูกชิซุยมากกว่า 1 โหลปิดล้อมจากทุกทิศทุกทาง แม้ว่าเขาจะป้องกันการโจมตีได้บางส่วน แต่เขาก็ไม่สามารถป้องกันมันไว้ได้ทั้งหมด ทําให้เขาได้รับบาดเจ็บอยู่หลายแห่งทั่วร่างกาย ทางเลือกสุดท้ายคือเขาต้องใช้มวยอ่อนเคลื่อนสวรรค์อีกครั้ง เพื่อสะบัดการโจมตีทั้งหมดออกไป เพื่อให้มีเวลาพักอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากที่ได้พักหายใจเป็นเวลาสั้น ๆ คุโรโตะก็มีโอกาสได้สังเกต วิชาเคลื่อนย้ายพริบตาของชิซุย
หลังจากการสังเกตอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด คุโรโตะก็เข้าใจบางอย่าง
ด้วยความเร็วและความคล่องตัวที่สูงมากของวิชาเคลื่อนย้ายพริบตาของชิซุย ทําให้เขาสามารถสร้างร่างเสมือนขึ้นมาได้ ซึ่งร่างเหล่านั้นสามารถโจมตีได้เหมือนร่างจริง ซึ่งทําให้ศัตรูรับมือได้ยากมาก
แต่ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย วิชาเคลื่อนย้ายพริบตา ก็ถือว่าเป็นวิชากระบวนท่าเช่นกัน และตราบใดที่มันเป็นวิชากระบวนท่า มันก็สามารถจัดการได้ด้วยมวยอ่อนเคลื่อนสวรรค์
หลังจากรู้เรื่องนี้แล้ว คุโรโตะก็ไม่เริ่มโจมตีอีกต่อไป แต่เลือกที่จะป้องกันแทน!
ในการต่อสู้ด้วยจักระ เขามีข้อได้เปรียบเหนือชิซุยอย่างแน่นอน
ดังนั้นการต่อสู้ของการโจมตีฝ่ายเดียว และการป้องกันฝ่ายเดียวจึงเริ่มต้นขึ้น ซึ่งการโจมตีของชิซุยไม่สามารถผ่านมวยอ่อนเคลื่อนสวรรค์ของคุโรโตะได้เลย
หลังจากป้องกันการโจมตีอย่างรวดเร็วหลายครั้ง คุโรโตะก็เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขาแล้วพูดว่า “ถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะใช้วิชานั้นกับฉันอยู่อีกเหรอ?”
เมื่อชิซุยได้ยินแบบนั้นเขาก็หยุด วิชาเคลื่อนย้ายพริบตาของเขาทันที และ ในที่สุดเขาก็พูดขณะที่หายใจหอบ “รุ่นพี่คุโรโตะ ผมไม่ทําอะไรพี่ได้อีกแล้ว ผมยอมรับ ผมแพ้แล้ว”
“อะไร…?” คุโรโตะพูดออกมาด้วยความตกใจ เขาตกตะลึงกับการยอมแพ้อย่างกะทันหันของชิซุย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าชิซุยจะยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้
ชิซุยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้กับปฏิกิริยาที่ดูตกใจของคุโรโตะ และอธิบายว่า “จักระของผมใกล้หมดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจักระของพี่ยังเหลืออยู่อีกเยอะ ผมเลยคิดว่าถึงผมจะสู้ต่อไป สุดท้ายผมก็แพ้อยู่ดี”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่เหนื่อยล้าของชิซุย คุโรโตะก็รู้ได้ในทันที
แม้ว่าชิซุยจะสามารถปลุกเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผาขึ้นมาได้แล้ว และแม้ว่ามันจะช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการต่อสู้และความบริสุทธิ์ของจักระได้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น
การปลุกเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผาได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นภาระสําหรับเขา เพราะมันส่งผลต่ออัตราส่วนของจักระหยินและหยางในร่างกายของเขา ดังนั้นการต่อสู้ที่ยาวนานจึงไม่ใช่เรื่องดีของชิซุย อย่างน้อยก็ในตอนนี้
ท้ายที่สุดแล้ว เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา ก็เป็นการกลายพันธุ์ที่ผิด ปกติของขีดจํากัดสายเลือด ทําให้แก่นพลังของเนตรวงแหวน เกิดความไม่เสถียรเนื่องจากลักษณะเชิงลบของมันจนกว่ามันจะกลายเป็นเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผานิรันดร์ มันก็ยังคงเป็นดาบ 2 คมอยู่ดี และยิ่งใช้เนตรบ่อยมากแค่ไหน ก็จะส่งผลกับการมองเห็น และร่างกายของผู้ใช้มากเท่านั้น
สิ่งนี้ยังทําให้คุโรโตะเข้าใจว่าทําไม ชิมูระ ดันโซ ถึงกล้าโจมตีชิซุย
เหตุผลแรกคือการใช้ เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผานิรันดร์จะสร้างภาระให้กับผู้ใช้เป็นอย่างมาก ดังนั้นหากชิซุยต้องต่อสู้ เขาก็จะหลีกเลี่ยงการใช้มัน
เหตุผลที่ 2 คือ เขาใช้คําว่า “ในนาม ของหมู่บ้าน” หรือ “เพื่อโคโนฮะ ในการ ต่อสู้กับ ชิซุย ทําให้ชิซุยไม่สามารถฆ่าดันโซได้เพราะความจงรักภักดีกับหมู่บ้าน
ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม ถ้าอุจิฮะ ชิซุย ตั้งใจโจมตี ชิมูระ ดันโซ เขาก็สามารถสังหารดันโซได้อย่างง่ายดาย
อันที่จริง ดันโซก็เป็นแค่โจนินขั้นสูง ถ้าชิซุยใช้เทพต่างสวรรค์และซูซาโนะโอะ เขาก็สามารถสังหารดันโซได้อย่างง่ายดาย แม้แต่การฆ่าโฮคาเงะรุ่น 3 ก็ไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อฝัน
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้ใช้ เทพต่างสวรรค์ เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และเขาก็ตายไป…