กำเนิดใหม่ทายาทเนตรจุติ - ตอนที่ 2 : ยีนพิเศษ
ตามความทรงจำที่คลุมเครือจากชีวิตก่อนของเขา เนตรจุติ เป็นเนตรที่พัฒนามาจาก เนตรสีขาว และเป็นวิชาเนตรที่มีคาถาลวงตาที่แข็งแกร่งเทียบได้กับ เนตรวงแหวน เลยทีเดียว
เท่าที่ คุโรโตะ รู้มี 2 วิธีที่จะทำให้ เนตรสีขาวพัฒนาเป็น เนตรจุติ ได้
วิธีแรกคือใช้สายเลือดบนดวงจันทร์อย่าง ตระกูลโอซึซึกิ รวมกับสายเลือดของ ตระกูลฮิวงะ บนโลก เพื่อพัฒนา เนตรสีขาว ให้เป็น เนตรจุติ
วิธีที่ 2 คือการรวบรวม เนตรสีขาว จำนวนมากไว้ด้วยกัน
คุโรโตะ ตัดวิธีแรกทิ้งไปทันทีเพราะเขาไม่รู้วิธีขึ้นไปบนดวงจันทร์ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเอา เนตรสีขาว ของ ตระกูลโอซึซึกิ บนดวงจันทร์มาได้ นอกจากนั้นเขาก็ไม่ได้มาจาก ตระกูลฮิวงะตระกูลหลัก อีกด้วย
และสำหรับวิธีที่ 2 เนื่องจาก ผนึกปักษาในกรง ทำให้ เนตรสีขาว ของตระกูลสาขาถูกทำลายทันทีหลังจากที่เจ้าของถูกกำจัดหรือตาย ดังนั้นการพึ่งพาตระกูลเพียงอย่างเดียวจะไม่เพียงพอที่จะทำให้ เนตรสีขาว พัฒนาขึ้นได้
ทั้ง 2 วิธีดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ แต่จากวิธีที่ 2 เขาก็มีความคิดใหม่ขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็น เนตรสีขาว หรือ เนตรวงแหวน ลักษณะทางพันธุกรรมทั้งหมดจะแสดงให้เห็นในยีนได้อย่างชัดเจน ถ้าคุณไม่สามารถรวบรวม เนตรสีขาว ได้มากเพียงพอ แล้วถ้าคุณเริ่มจากการเก็บตัวอย่างลักษณะทางพันธุกรรมและรวบรวมยีนของสมาชิก ตระกูลฮิวงะ ล่ะ?
จากนั้นค่อยรวมยีนเหล่านั้นเข้าด้วยกัน รวมยีนเข้าด้วยกันจากภายในเพื่อพัฒนา เนตรสีขาว ให้เป็น เนตรจุติ แบบนี้จะเป็นไปได้ไหม?
จากการคาดเดานี้ทำให้ คุโรโตะ มุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้ความรู้ทางพันธุกรรมจาก โอโรจิมารุ
จากการเรียนรู้และการสังเกตอย่างต่อเนื่อง คุโรโตะ ได้ค้นพบสิ่งที่น่าทึ่งนั่นก็คือ ในชุดพันธุกรรมทั้งหมดของ ตระกูลฮิวงะ เขาพบยีนพิเศษอยู่ 33 ชุด
และจากการศึกษาเพิ่มเติม คุโรโตะ ยังพบว่าคนอื่น ๆ ในตระกูลก็มี สถานะที่ใช้งานแตกต่างกันเช่นกัน
และจากการศึกษาเพิ่มเติมเขายังพบอีกว่ายีนพิเศษนี้ในสมาชิกตระกูลแต่ละคนทำงานไม่เหมือนกัน
สำหรับยีนพิเศษของ คุโรโตะ เขามียีนพิเศษที่ทำงานอยู่เพียงแค่ชุดที่ 17 – 33 เท่านั้น ในขณะที่ยีนพิเศษชุดที่ 1 – 16 ของเขาไม่ทำงาน รายละเอียดที่เขารวบรวมได้ระบุว่ายีนของสมาชิกตระกูลฮิวงะ คนอื่น ๆ หลายคนก็อยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันคือยีนพิเศษบางชุดก็ทำงาน บานชุดก็ไม่ทำงาน
การค้นพบนี้ช่วยยืนยันการคาดเดาของ คุโรโตะ ได้เป็นอย่างดี
เขาคาดว่าถ้ายีนพิเศษทั้ง 33 ชุดในร่างกายของใครถูกเปิดใช้งานจนครบ คนนั้นก็จะ สามารถพัฒนา เนตรสีขาว ให้กลายเป็น เนตรจุติ ได้
ทันใดนั้นความคิดนี้ก็แพร่กระจายอย่างบ้าคลั่งในใจของ คุโรโตะ
เนื่องจากสงครามทำให้ คุโรโตะ สามารถรวบรวมตัวอย่างพันธุกรรมของ ตระกูลฮิวงะ ได้เป็นจำนวนมาก หลังจากตรวจและเปรียบเทียบตัวอย่างทางพันธุกรรมหลายร้อยตัวอย่าง เขาก็สามารถแยกยีนพิเศษลำดับที่ 4 – 16 ที่เปิดใช้งานแล้วออกมาได้สำเร็จ
ในตัวของ คุโรโตะ มียีนพิเศษชุดที่ 17 – 33 ที่เปิดใช้งานแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงขาดเพียงแค่ยีนพิเศษชุดที่ 1 – 3 ที่เปิดใช้งานแล้วเท่านั้น
คุโรโตะ ได้รวบรวบยีนมามากมายแต่เขาก็ยังไม่พบยีนพิเศษที่เขายังขาดอยู่ ดังนั้นเขาจึงตั้งเป้าว่ามันน่าจะต้องอยู่ในยีนของตระกูลหลักอย่างแน่นอน
แต่ตระกูลหลักไม่ค่อยได้ลงสู้ในสนามรบสักเท่าไรนัก และแม้ว่าพวกเขาจะลงสู่สนามรบพวกเขาก็จะมีผู้คุ้มกันอยู่เสมอ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ คุโรโตะ จะเข้าถึงยีนของพวกเขาได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องของให้ โอโรจิมารุ จัดการเรื่องนี้ให้
โดยไม่คาดคิด โอโรจิมารุ ไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเขาเลย แต่ถึงแม้ว่าจะเป็น โอโรจิมารุ ที่เป็นถึง 1 ใน 3 นินจาในตำนาน การที่ต้องขโมยยีนของตระกูลหลักก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย
สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปนานกว่า 1 ปี แต่แล้วการทดลองก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะ โอโรจิมารุ ออกจากหมู่บ้าน
แม้ว่าจะทุกข์ใจ แต่ คุโรโตะ ก็รู้ดีว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงแมลงวันตัวเล็ก ๆ ที่ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด หากเขาต้องการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา เขาก็ต้องทำมันด้วยตัวเองเท่านั้น และเขาก็ไม่สามารถฝากความหวังไว้กับปาฏิหาริย์ได้
แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่า โอโรจิมารุ จะทิ้งของชิ้นสุดท้ายไว้ให้เขา นั้นก็คือตัวอย่างเลือดและเนื้อเยื่อผิวหนังของตระกูลหลัก
คุโรโตะ คิดในใจ ‘อีกไม่นาน โอโรจิมารุ ก็จะต้องออกจากหมู่บ้าน แต่เขากลับไม่พาเราไปด้วย แถมยังส่งตัวอย่างทดลองที่เราต้องการมาให้ก่อนจะไปอีก เขามีแผนอะไรกันแน่? ให้เราอยู่ในหมู่บ้านต่อและเป็นสายลับให้เขางั้นเหรอ?’
ไม่ว่าจะเป็นการกระทำล่าสุดของ โอโรจิมารุ หรือความทรงจำที่คลุมเครือในชีวิตก่อนหน้านี้ คุโรโตะ ก็สรุปได้ว่า ตอนนี้ โอโรจิมารุ ไม่ได้สนใจ เนตรสีขาว อีกแล้วและที่ โอโรจิมารุ ส่งตัวอย่างทดลองที่จำเป็นมาให้เขา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพื่อการศึกษา เนตรสีขาว แต่เพื่อเป็นของแลกเปลี่ยน
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ คุโรโตะ ก็แอบขำตัวเอง ‘ผนึกปักษาในกรง ดูเหมือนจะมีประโยชน์จริง ๆ!”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม โอโรจิมารุ จึงเลือกให้ คุโรโตะ อยู่ในหมู่บ้าน เพราะเขามี ผนึกปักษาในกรง เขาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะออกจากหมู่บ้าน หาก คุโรโตะ ออกจากหมู่บ้านเขาก็จะถูกผนึกนั้นจัดการทันที ดังนั้น โอโรจิมารุ จึงไม่สนใจที่จะเอาศพที่ไร้ประโยชน์ไปด้วย
ในขณะที่การทดลองดำเนินไป คุโรโตะ ก็ละทิ้งความคิดที่วุ่นวายและมุ่งความสนใจไปที่การทดลองนั้น
เลือดและเนื้อเยื่อของตระกูลหลักที่ โอโรจิมารุ ส่งมาใฟ้นั้นมีความแข็งแรงมาก ถ้า คุโรโตะ เดาไม่ผิดมันคงเป็นเลือดและเนื้อเยื่อของผู้นำตระกูลและก็เป็นตัวอย่างยีนที่ คุโรโตะ ต้องการมากที่สุด
เนื่องจากตัวอย่างเลือดและเนื้อเยื่อยังสดอยู่มาก กระบวนการสกัดยีนจึงราบรื่นเป็นพิเศษและหลังจากที่เขาทดลองแล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเขาพบว่า ยีนพิเศษ 28 ใน 33 ชุด ของตัวอย่างนี้อยู่สถานะทำงานแล้ว และในนั้นก็มียีนพิเศษชุดที่ 1 – 3 ที่เขาต้องการอีกด้วย
“มียีนพิเศษที่ทำงานอยู่ถึง 28 ชุดเลยเหรอเนี่ย? สมแล้วที่เป็นถึงผู้นำตระกูล!”
ซึ่งผู้นำตระกูลฮิวงะ ในตอนนี้ก็คือ ฮิวงะ ฮิอาชิ นั้นเอง
เมื่อนึกถึงความแข็งแกร่งของ ฮิวงะ ฮิอาชิ ที่ใกล้เคียงกับระดับ คาเงะ แล้ว คุโรโตะ ก็รู้สึกโล่งใจทันที
ฮิวงะ ฮิอาชิ ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน เขานั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสมาชิกทุกคนของตระกูล การที่เขามียีนที่โดดเด่นแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว
คุโรโตะ มุ่งความสนใจไปที่การสกัดยีนพิเศษชุดที่ 1 – 3 ที่อยู่ในสถานะทำงานอย่างเต็มที่
“ฉันจะเปลี่ยนโชคชะตาได้ไหม…ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งนี้!”
ดีใจ, คาดหวัง, กังวล, ลังเล, ทุกอารมณ์พุ่งเข้ามาในหัวใจของเขาทำให้ในขณะที่ คุโรโตะ รู้สึกสับสนเล็กน้อย
เขาอยากจะกรีดร้องขึ้นฟ้า ต้องการระบายความหดหู่และความกลัวที่อยู่ในใจมานานหลายปี แต่งูตาเดียวบนบ่าทำให้เขาก็ทำให้เขาต้องปัดความคิดทั้งหมดออกไป
หลังจากถอนหายใจเบา ๆ คุโรโตะ ก็ทิ้งอารมณ์ทั้งหมดไป
หลังจากนั้นเขาก็เติมของเหลวยีนที่สกัดแล้วลงในหลอดทดลองขนาดเล็กอย่างใจเย็นแล้วปิดฝา จากนั้นเขาก็หยิบม้วนผนึกออกมาและผนึกขวดเข้าไปข้างใน
แน่นอนว่าการออกจากหมู่บ้านของ โอโรจิมารุ จะทำให้เกิดความตกใจในหมู่บ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพื่อลบหลักฐานทั้งหมดที่ชี้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับ โอโรจิมารุ ขาจึงมีงานมากมายที่ต้องจัดการ ก่อนอื่นก็คือห้องทดลองนี้ เขาต้องเช็ดร่องรอยของเขาออกให้หมด แม้แต่ร่องรอยการทดลองของเขาก็ต้องถูกลบออกไปให้หมดเช่นกัน
ทั้งหดนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะตามมาและข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับการทดลองเกี่ยวกับยีนที่เขากำลังทำอยู่นั่นเอง