กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 87 ตรวจพบชีพจรตั้งครรภ์อีกแล้ว? (2)
ซูหลียังไม่ยอมแพ้ นางค้นสิ่งของที่อยู่ในหีบดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ทว่ายังคงไร้ผล อดไม่ได้ที่จะดันกล่องออกเพื่อระบายอารมณ์
ทันใดนั้น เสียง ‘ติ๊ง’ พลันดังขึ้นเบาๆ คล้ายมีเสียงแปลกๆ ดังมาจากหีบ
ซูหลีอึ้งงัน รีบหยิบของที่อยู่ข้างในออกมาจนหมด ก่อนจะพลิกหีบกลับด้าน ใต้หีบกลับมีรอยแยกเล็กๆ เส้นหนึ่งปรากฏอยู่! หีบนี้นางก็ได้มาจากห้องลับของเฉินเหมินเช่นกัน นางไม่เคยคิดเลยว่าหีบนี้จะมีช่องลับอยู่ ซูหลีรีบมองหามีดเล็กมา งัดแงะรอยแยกนั้นออก ก็พลันพบว่าด้านในมีกลีบดอกไม้ซ่อนอยู่หลายกลีบ!
สิ่งของที่ไม่รู้จักไม่ควรแตะต้องส่งเดช! ซูหลีค่อยๆ ใช้เข็มเขี่ยกลีบดอกไม้ออกมาตรวจสอบดูอย่างละเอียด กลีบดอกนี้ดูเหมือนแห้งไปบ้างแล้ว เริ่มเฉาและมีสีเหลืองอ่อน ถึงแม้ซูหลีรู้จักสมุนไพรร้อยชนิดเป็นอย่างดี แต่กลับดูไม่ออกว่ากลีบดอกเหล่านี้เป็นดอกไม้ชนิดใด!
ซูหลีขมวดคิ้ว ดมดูอย่างละเอียด กลีบดอกไม้กลับไร้กลิ่นและสี ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก!
ซูหลีนิ่งมองกลีบดอกไม้เหล่านั้น ความคิดมากมายพลันแล่นผ่าน ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ ก็มีมือคู่หนึ่งโบกไปโบกมาอยู่ตรงหน้านาง “คุณหนูเจ้าคะ!”
ซูหลีสะดุ้ง เงยหน้ามองเห็นโม่เซียง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยตำหนิ “เด็กบ้า เหตุใดเข้ามาไม่รายงาน!”
โม่เซียงหัวเราะกล่าวว่า “บ่าวเรียกตั้งหลายรอบแล้วนะเจ้าคะ คุณหนูไม่ได้ยินเอง คุณหนูนั่งนานขนาดนี้ ดื่มชาสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” พูดไปนางก็ยื่นถ้วยชามาให้ แล้วพูดอย่างร่าเริงอีกว่า “ชานี้เจิ้นหนิงอ๋องส่งมาให้โดยเฉพาะ เมื่อครู่ที่หน้าประตูจวน ท่านไม่เห็นสีหน้าคุณหนูใหญ่ว่าน่าดูเพียงใด!”
ซูหลีถอนหายใจ “วางไว้ก่อนเถิด”
โม่เซียงรับคำ ก่อนวางถ้วยชาลง นางก้มหน้ามอง แล้วร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ “ว้าว นี่ดอกอะไรเจ้าคะ? ใช้ประทินโฉมหรือเจ้าคะ?” นับตั้งแต่คราวก่อนที่ซูหลีสอนเรื่องการประทินโฉมด้วยดอกไม้และสมุนไพรให้นาง นับวันเด็กคนนี้ก็ยิ่งสนใจเรื่องดอกไม้มากขึ้นเรื่อยๆ
ซูหลีตกใจ ยังไม่ทันเอ่ยคำใด โม่เซียงก็หยิบกลีบดอกไม้บนโต๊ะขึ้นมามองดูอย่างละเอียดเสียแล้ว “ไม่มีกลิ่นอะไรเลยนี่เจ้าคะ แปลกแท้”
ซูหลีรีบเอ่ย “ของสิ่งนี้แม้แต่ข้ายังดูไม่ออกว่าเป็นดอกไม้ชนิดใด เจ้าอย่าวุ่นวาย รีบเก็บให้ดีเถิด”
โม่เซียงรับคำ รีบเก็บกลีบดอกไม้เหล่านั้นใส่กล่องทีละกลีบ แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้น “คุณหนู นี่ต้องเป็นดอกไม้วิเศษล้ำค่าอะไรสักอย่างแน่ๆ! วันไหนหาผู้รู้วิชามาดูกันเถิดเจ้าค่ะ”
ซูหลีไม่ได้เอ่ยอะไร ผู้รู้วิชา? ใต้ฟ้านี้ยังมีผู้ใดรู้วิชากว่านางอีกหรือ?
พลันนั้นก็ได้ยินเสียงหวั่นซินดังมาจากข้างนอก “คุณหนู นายท่านเรียกคุณหนูไปพบที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
ซูหลีขมวดคิ้วเบาๆ ในที่สุดซูเซียงหรูก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป นางกำชับให้โม่เซียงเก็บของให้เรียบร้อย แล้วจึงค่อยจัดเสื้อผ้าอาภรณ์เดินออกจากเรือนไป
ในห้องหนังสือ ซูเซียงหรูยืนไพล่มือไว้ข้างหลัง ซูหลีหมายจะทำความเคารพ ก็ได้ยินซูเซียงหรูกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ยามนี้เจ้าเป็นท่านหญิงที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้ง ฐานะมิได้ธรรมดาดังแต่ก่อน ไม่ต้องมากพิธี”
ซูหลีกลับก้มหน้าเอ่ย “ท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ อยากให้ลูกไม่สบายใจหรือเจ้าคะ? อย่าว่าแต่ซูหลีเป็นท่านหญิงที่ถูกแต่งตั้ง แม้ภายหน้ากลายเป็นนกเพลิงที่โบยบินขึ้นไปเกาะบนยอดไม้ ท่านพ่อก็ยังคงเป็นท่านพ่อ ซูหลีจะลืมความกตัญญูได้อย่างไร!” เอ่ยจบก็ย่อเข่าทำความเคารพ ไร้ท่าทีลังเลคลุมเครือ
ซูเซียงหรูมองบุตรสาวตนเอง ในสายตามีประกายพาดผ่าน ความกังวลในใจพลันจางหายไปกว่าครึ่ง รีบพยุงนางลุกขึ้น หัวเราะเบิกบานกล่าวว่า “ดี! พ่อมิได้มองเจ้าผิดไปจริงๆ! มา นั่งดื่มชาเป็นเพื่อนพ่อสักถ้วย”
ซูหลีรับคำอย่างว่าง่าย ทั้งสองนั่งลง ซูเซียงหรูจิบชาไปพลาง มองพิจารณานางไปพลาง เห็นนางสายตาสงบนิ่ง สีหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ดูราวกับไร้ความปรารถนาใด เพียงตั้งใจจิบชา แต่ซูเซียงหรูกลับรู้สึกว่าไม่ได้มีเพียงเท่านั้น นับตั้งแต่เกิดเรื่องลักลอบหนีไปกับบ่าวในเรือน เขาพบว่าลูกสาวคนนี้ นับวันก็ยิ่งเปลี่ยนไปจนไม่เหมือนลูกสาวของเขาอีก! เขาเวียนว่ายอยู่ในราชสำนักมานับสิบปี อ่านใจคนมานับไม่ถ้วน นอกจากเจิ้นหนิงอ๋อง ตงฟางเจ๋อ ก็ยังไม่มีผู้ใดที่เขาอ่านใจไม่ออก
ซูเซียงหรูขมวดคิ้ว เอ่ยถามเสียงเศร้า “ซูซูเอ๋ย เจ้า…เคยคิดโทษพ่อเจ้าผู้นี้บ้างหรือไม่?”
ซูหลีได้ยินก็เงยหน้า มองเขาด้วยความตกใจ “เหตุใดท่านพ่อกล่าวเช่นนี้เจ้าคะ?”
ซูเซียงหรูทอดถอนใจ “หลายปีมานี้ พ่อยุ่งกับงานราชการ มิได้ใส่ใจจัดการเรื่องในจวน จึงละเลยเจ้า ทำให้เจ้าเผชิญเรื่องอยุติธรรมในจวนไม่น้อย มาคิดดูตอนนี้ พ่อรู้สึกผิดต่อเจ้ายิ่งนัก!”
ราวกับค้นพบมโนธรรมในจิตใจ ซูเซียงหรูดูเหมือนรู้สึกผิดอย่างมาก
ซูหลีกลับรู้สึกว่าน่าขำยิ่งนัก หากนางไม่ได้เป็นที่สนใจของท่านอ๋องทั้งสอง มิได้ถูกแต่งตั้งโดยฮ่องเต้ ไม่มีพิธีคัดเลือกพระชายาในครั้งนั้น และพิธีเลือกพระสวามีในอนาคต เกรงว่าซูเซียงหรูคงไม่มีวันเหลียวแลซูหลีไปตลอดกาล แม้ในใจยิ้มเยาะอย่างเย็นชา ทว่าภายนอกกลับแสดงสีหน้าเจ็บปวด นางก้มหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงแววซาบซึ้ง “ท่านพ่อกังวลไปแล้ว! ลูกรู้ว่าท่านพ่อเองก็ลำบากมากยามอยู่ในราชสำนัก ต้องเป็นเสาหลักให้จวนของเรามั่นคง ท่านพ่อลำบากกว่าผู้ใดทั้งสิ้น! ลูกไม่อาจแบ่งเบาภาระท่านพ่อได้ถือว่าอกตัญญู แล้วจะกล่าวโทษท่านพ่ออีกได้อย่างไร? เช่นนั้นไม่เท่ากับรอถูกสวรรค์ลงทัณฑ์หรือเจ้าคะ?”
ความกังวลใจอีกครึ่งของซูเซียงหรูพลันจางหายไปจนสิ้นในยามนี้ บางทีเขาอาจคิดมากเกินไป ลูกสาวอย่างไรก็ยังเป็นลูกสาวของเขา แม้จะเปลี่ยนไปมากเท่าไรก็ยังแซ่ซูนามว่าหลี จะกลายเป็นคนอื่นไปได้อย่างไร?
ซูเซียงหรูเอ่ยอย่างชื่นอกชื่นใจ “เจ้าช่างเป็นลูกสาวที่ดีจริงๆ!”
มองดูรอยยิ้มเสแสร้งจอมปลอมเช่นนั้นของเขา ซูหลีรู้สึกสะอิดสะเอียนในใจ แต่กลับต้องจำใจแสดงละครพ่อลูกรักใคร่กลมเกลียวเป็นเพื่อนเขาอย่างเสียมิได้
ซูเซียงหรูเคาะถ้วยชาหนึ่งที แล้วเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ซูซู ท่านอ๋องทั้งสองมาเยี่ยม เหตุใดเจ้าหนีหน้าไม่ยอมพบปะ?”
ในที่สุดก็เข้าประเด็นแล้ว!
ซูหลีหลุบตา นิ่งเงียบไม่ตอบอยู่ครู่หนึ่ง
ซูเซียงหรูเอ่ยต่ออีกว่า “เจ้ากล่าวต่อหน้าฝ่าบาทว่าต้องการทำความรู้จักกับท่านอ๋องทั้งสองมากกว่านี้ ยามนี้กลับไม่ยอมพบหน้าพวกเขา เพียงกลัวจะเป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะเจิ้นหนิงอ๋อง มีคุณธรรมเปี่ยมพรสวรรค์ ความสามารถโดดเด่นเกินผู้ใด พ่อยังไม่เคยเห็นเขาสนใจสตรีใดเช่นที่สนใจลูกมาก่อน!”
เป็นไปดังคาด ซูเซียงหรูไม่มีทางปล่อยให้นางเลือกด้วยตนเอง เขาคิดว่านางยังเป็นซูหลีคนเก่า ที่ไม่ว่าเรื่องแต่งงานหรือเรื่องชะตาชีวิตยังคงถูกบิดาเช่นเขาบงการได้ตามใจ? ซูหลีลอบยิ้มเย็น เงยหน้ากล่าว “ท่านพ่อคิดว่า เหตุใดเจิ้นหนิงอ๋องจึงยอมเสี่ยงอันตรายแม้อาจทำให้ฮ่องเต้กริ้ว ด้วยการเลือกลูกในพิธีคัดเลือกพระชายาเจ้าคะ?”
ซูเซียงหรูดวงตาไหวระริก ไม่ได้เอ่ยอะไร
ซูหลียิ้มแล้วกล่าวอีกว่า “หากลูกแต่งให้จิ้งอันอ๋องเล่า ท่านพ่อจะยังสนับสนุนเจิ้นหนิงอ๋องไม่ผันเปลี่ยนเช่นนี้ต่อไปหรือไม่เจ้าคะ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าซูเซียงหรูค่อยๆ จางหายไป สายตาพลันเปลี่ยนเป็นคมปลาบลึกล้ำ คล้ายกำลังทบทวนความหมายแฝงในวาจานาง และคล้ายกำลังพยายามอ่านใจนางผ่านสายตาของนาง
ซูหลีจิบชาเงียบๆ รอยยิ้มบางเบาดั่งสายลมและเมฆหมอก ราวกับสิ่งที่เพิ่งเอ่ยไปเป็นเพียงเรื่องทิวทัศน์ยามค่ำของวสันตฤดู มิใช่เรื่องใหญ่หลวงแต่อย่างใด
ผ่านไปเนิ่นนาน ซูเซียงหรูจึงค่อยเอ่ย “ทั้งความสามารถ และคุณสมบัติ แม้เป็นท่านอ๋องเหมือนกัน แต่จิ้งอันอ๋องเมื่อเทียบกับเจิ้นหนิงอ๋อง ล้วนด้อยกว่าหนึ่งขั้น เหตุที่ฮ่องเต้ไม่ทรงแต่งตั้งรัชทายาทเสียที เพียงเพราะมีอุปสรรคเรื่องฐานะโอรสสนมและลำดับอาวุโส กลัวจะเป็นที่ครหาของผู้คน เชื่อว่าซูซูเจ้าก็คงรู้ดี ระหว่างท่านอ๋องทั้งสอง ผู้ใดจะได้สืบทอดบัลลังก์ในภายหน้า มิได้ตัดสินจากฐานะของพวกเขา”
ซูหลีวางถ้วยชาลง เงยหน้าถาม “ท่านพ่ออยากเป็นพ่อตาฮ่องเต้หรือเจ้าคะ?”
ซูเซียงหรูสะท้านวาบ มองนางด้วยสายตาตกใจระคนสงสัย ไม่ได้เอ่ยปากตำหนิ แต่ก็ไม่ได้ยอมรับทันที ห้องหนังสือห้องนี้เก็บเสียงได้เป็นอย่างดี เรื่องที่ทั้งสองพูดคุยกันไม่มีบุคคลที่สามได้ยินแน่นอน ฮ่องเต้อวยยศท่านหญิงให้แก่ซูหลีโดยไม่สนกฎเกณฑ์เก่า ซ้ำยังอนุญาตให้บุตรีแห่งจวนอัครเสนาบดีเช่นนางเลือกท่านอ๋องเป็นพระสวามีได้ตามเห็นสมควร เกียรติยศที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้ ทำให้ซูเซียงหรูตะลึงพรึงเพริดในตอนแรก ด้วยความเข้าใจที่เขามีต่อฮ่องเต้ในหลายปีมานี้ มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้
……………………………………………………….