กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 80 ประลองปัญญากับตงฟางเจ๋อ (3)
ทางเดินอันยาวเหยียดทอดมองไปไม่เห็นจุดหมายปลายทาง สองฝั่งกำแพงมีคบเพลิงแขวนเรียงราย เปลวเพลิงโชติช่วง ส่องทางเดินเส้นนี้ให้สว่างเจิดจ้าราวกลางวัน ด้านในสำนักเฉินเหมิน เต็มไปด้วยโลหิตและกลิ่นคาวเลือด ดูน่าสยดสยอง กองกำลังสองฝั่งตีรันฟันแทง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนกว่าจะตายกันไปข้าง
คมดาบและลูกศรพุ่งมาทางพวกนางเป็นระยะ หวั่นซินพานางลอยตัวหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว ปลายเท้าแตะกำแพง โฉบผ่านทางเดินอันโกลาหลไปในที่สุด
ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางสำนัก สถานการณ์ต่อสู้ยิ่งดุเดือด มองคร่าวๆ มีกำลังคนนับพันกำลังต่อสู้กันสุดชีวิตท่ามกลางกองเลือด ยามนี้ในตำหนักใหญ่ของสำนักเฉินเหมิน ได้กลายสภาพเป็นดั่งขุมนรกบนดินไปแล้ว
เงาร่างสามสายที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ด้านหนึ่งภายในตำหนัก ถูกประกายดาบห่อหุ้มพัวพันอยู่รอบกายอย่างแน่นหนา พริบตาเดียวร้อยกระบวนท่าผ่านผัน มองจากที่ไกลๆ คล้ายเงาร่างสีดำสองสายกำลังรุมโจมตีคนสวมชุดผาวสีเทาขาว เงาร่างสองสายที่สวมชุดดำเพลงกระบี่ล้ำเลิศ ไอสังหารรุนแรง สายลมแรงปะทะผ่านที่ใดหยาดเลือดล้วนสาดกระเซ็น ไม่ผิดพลาดสักครั้ง เงาร่างสีเทาขาวเริ่มพลาดพลั้งเสียท่า ทำได้เพียงต้านรับการโจมตี ทว่ากลับไร้โอกาสโต้กลับ
หางตาซูหลีพลันเหลือบเห็น ยังมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูตำหนัก เขายืนหันหลังให้นาง คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีดำรัดเกล้าสีทอง คล้ายว่าจะเป็น…ตงฟางเจ๋อ!
หวั่นซินเองก็เห็นตงฟางเจ๋อแล้วเช่นกัน จึงรีบดึงนางให้ก้มตัวต่ำลง และย่องเลียบผนังด้านซ้ายเข้าไปข้างในเงียบๆ ตรงนี้เป็นทางตัน คล้ายว่าจะไม่มีหนทางให้ไปต่อแล้ว! นางกวาดมองด้วยสายตาแหลมคมหนึ่งรอบ จากนั้นก็ดีดนิ้วกลางอากาศเสียงเบา ไม่รู้ไปโดนกลไกตรงที่ใด อิฐก้อนหนึ่งบนพื้นพลันเลื่อนเปิด เห็นชัดว่าเป็นทางลับ ทั้งสองรีบกระโดดลงไปอย่างรวดเร็ว
อิฐก้อนนั้นเคลื่อนกลับตำแหน่งเดิมภายในพริบตา ในเส้นทางลับที่มืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า ฝีเท้าของหวั่นซินกลับไม่ได้ชะลอลงแม้แต่น้อย นางยังคงดึงซูหลีวิ่งไปข้างหน้าอย่างร้อนใจ ราวกับสามารถมองเห็นได้ในความมืด หลังจากวิ่งเลี้ยวสองครั้ง เบื้องหน้าพลันมีแสงสว่างรางๆ เล็ดลอดมา
ซูหลีเพ่งมอง ที่แท้ก็เป็นไข่มุกราตรีขนาดเท่าไข่นกพิราบสองเม็ด ถูกห้อยไว้เหนือบานประตูใหญ่เบื้องหน้า ส่องสว่างเปล่งประกาย ขับเน้นให้บานประตูมืดมิดมีประกายวิบวับ ดูลึกลับน่าค้นหา
หวั่นซินยืนในท่ามั่นคงอยู่หน้าประตู ค้อมกายคารวะก่อนเอ่ย “ข้าทูตนารีแห่งเฉินเหมิน วันนี้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุปัจจัย ข้าเปิดห้องลับโดยพละการ มิได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าสำนัก หวังว่าท่านเจ้าสำนักจะให้อภัย” เอ่ยจบ นางก็ยื่นมือไปกดศิลาก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านซ้ายของประตูใหญ่เบาๆ ได้ยินเพียงเสียงประตูเหล็กเคลื่อนไหวดังครืดคราด ก่อนจะเปิดออกช้าๆ
หวั่นซินลิงโลด รีบดึงมือนางเดินเข้าไป ซูหลีกวาดมองรอบกายอย่างระมัดระวัง ในใจค่อยๆ บังเกิดความสงสัย
ห้องลับนี้ไม่ได้ใหญ่มาก ด้านในเป็นรูปทรงหกเหลี่ยมดูน่าประหลาด ทุกมุมของห้องมีกล่องไม้วางไว้จำนวนหนึ่ง เบื้องหน้ามีโต๊ะและเก้าอี้ธรรมดาวางไว้อย่างละหนึ่งตัว บนกำแพงด้านหนึ่งเหนือโต๊ะไม้มีภาพสตรีนางหนึ่งนั่งทำสมาธิแขวนอยู่ นางสวมอาภรณ์สีขาว ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงเบาๆ ใบหน้าฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มบาง นั่งขัดสมาธิอยู่บนใบบัวเหนือบ่อน้ำลึก เมื่อมองดู พาให้ผู้พบเห็นรู้สึกสงบใจอย่างน่าประหลาด ทว่ากลับยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
“ยามนี้เฉินเหมินเผชิญวิกฤตเป็นตายเท่ากัน ขอเพียงสามารถช่วยเจ้าสำนักได้ แม้ต้องผิดกฎศิษย์ก็ยอม” เอ่ยจบ หวั่นซินก็หันมาหาซูหลี “คุณหนู เรามาลองค้นหาดูดีๆ เถิดเจ้าค่ะ ถ้าหากหาแผนที่กลไกลับภายในสำนักเฉินเหมินเจอ ก็ต้องมีหนทางรอดเป็นแน่”
ซูหลีพยักหน้า สายตามองไปที่กล่องไม้เหล่านั้น หวั่นซินเดินเข้าไปเปิดกล่องออก ก่อนจะร้องตกใจ “นี่มันควันพิษที่มีเฉพาะในสำนักเฉินเหมินของเรา หากสูดดมเข้าไปจะทำให้หมดสติ”
ซูหลีสะท้านวาบไปทั้งใจ เห็นบนโต๊ะไร้สิ่งของใด เห็นชัดว่าเจ้าสำนักได้เก็บของลับและของสำคัญไว้ในที่มิดชิดแล้ว แต่ในสถานที่ลับอย่างนี้ กลับแขวนภาพประหลาดเช่นนั้นไว้ ด้านหลังจะต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่! ซูหลีก้าวเข้าไปใกล้ ยกภาพนั้นขึ้น สำรวจดูอย่างละเอียด แล้วนางก็ค้นพบบางอย่างดังคาด บนกำแพงมีกลไกเล็กๆ ซ่อนอยู่ นางเอื้อมมือออกแรงกดลงไป
ได้ยินเพียงเสียง ‘พลั่ก’ โต๊ะตัวนั้นพลันลอยกระเด็นออกไปหลายฉื่อ ตำแหน่งเดิมที่อยู่ติดผนัง มีลิ้นชักลับสี่ช่องค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นมา ทั้งซูหลีและหวั่นซินต่างก็ตกตะลึง
ซูหลีไม่ได้บุ่มบ่ามทำอะไร เพียงมองหวั่นซิน
หวั่นซินพยักหน้า ซูหลีจึงค่อยเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักแรก ด้านในมีหนังสือหลายเล่มวางอยู่ นางหยิบขึ้นมาพลิกเปิดผ่านๆ ในใจอดคิดไม่ได้ ข้อเสนอที่เจ้าสำนักยื่นให้นางในวันนั้นไม่ใช่เรื่องลวง เพราะสิ่งที่บันทึกไว้ในนี้ก็คือกลยุทธ์และหัวใจสำคัญที่คนในยุทธภพล้วนใฝ่ฝันอยากได้มาทั้งชีวิต จำแนกประเภทชัดเจน ทั้งยังขอบเขตกว้างขวาง นับตั้งแต่ศิลปะการต่อสู้การฝึกจิตไปจนถึงวิชาแพทย์ การแปลงโฉมและอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนมีบันทึกไว้ทั้งสิ้น เฉินเหมินมีของล้ำค่านี้อยู่ ไม่แปลกที่จะสร้างลูกศิษย์เช่นสี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้
นอกเหนือจากนี้ ยังมีหนังสือที่ดูพิเศษมากอยู่อีกเล่มหนึ่ง ในหนังสือเล่มนั้นเต็มไปด้วยสัญลักษณ์แปลกๆ มากมาย หลังพลิกดูหลายหน้า ซูหลีพบว่าตนเองอ่านไม่ออกสักตัว จึงไม่รู้ว่ามีไว้เพื่อการใด
ลิ้นชักที่สองถูกเปิดออก กลิ่นหอมจางๆ ของยาลอยออกมา ที่แท้ในนี้ก็มีขวดกระเบื้องเล็กๆ หลายขวดวางเก็บไว้ หวั่นซินหยิบขึ้นมามองพิจารณาอย่างละเอียด กลิ่นหอมนั้นโชยผ่าน ซูหลีสูดดมเบาๆ ก็พอแยกแยะได้ประมาณหนึ่ง ยาลูกกลอนที่อยู่ในขวดกระเบื้องนี้ มีแต่ยาที่ถูกทำขึ้นจากวัตถุดิบล้ำค่าหายากทั้งนั้น
หวั่นซินพลันนึกได้ จึงกล่าวว่า “คุณหนู กระวานเทียนเซียงที่เจียงหยวนเคยกล่าวถึง อาจอยู่ในนี้ด้วยกระมัง?”
ซูหลีเอ่ยอย่างไม่สนใจนัก “ไม่มีผู้ใดรู้หรอก แต่ถึงอย่างไรยามนี้ของเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับข้าอีกแล้ว” ในพิธีคัดเลือกพระชายา ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนเคยเห็นปานของนางแล้ว ยามนี้หากจู่ๆ ลบทิ้งไป กลับอาจจะเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายก็ได้
นางเปิดลิ้นชักที่สามต่อ มีกล่องไม้ลวดลายงดงามเล็กๆ กล่องหนึ่ง เมื่อเปิดกล่องออก ตรงกลางมีดอกไม้ลักษณะพิเศษมากดอกหนึ่งวางตั้งไว้ ก้านดอกเรียวเล็ก ใบไม้สีเขียวสองใบประกบเคียงคู่ดอกไม้เพียงกลีบเดียว ตัวกลีบดอกขาวนวล มีเพียงตรงขอบเท่านั้นที่เป็นสีแดงสะดุดตา ดอกไม้ดอกนี้มีขนาดเท่านิ้วมือมนุษย์ เรียวบางและงดงาม
ดอกฉิงฮวา!
หัวใจซูหลีเต้นระรัว นางถูกพิษตั้งแต่ยังเล็ก เสด็จแม่เคยวาดภาพดอกไม้ชนิดนี้ขึ้นมาเพื่อตามหาทั่วสารทิศ แต่สุดท้ายกลับไร้ผล นึกไม่ถึงว่าจะเจอในสถานที่เช่นนี้ได้!
ซูหลีปกปิดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจ ก่อนจะดึงลิ้นชักสุดท้ายออก ด้านในเป็นผ้าไหมผืนหนึ่ง นางพลันปีติยินดี รีบคลี่กางออก อดไม่ได้ที่จะร้องอย่างดีใจ “หาเจอแล้ว!”
หวั่นซินรีบโน้มตัวเข้ามา ทั้งสองมองดูอย่างละเอียด เป็นไปดังคาด ผ้าไหมผืนนี้ก็คือแผนที่เส้นทางลับใต้ดิน ผงชาดสีแดงสดวาดเน้นกลไกใต้ดินทั้งหมดของสำนักเฉินเหมินไว้ บนพื้นที่ว่างมีอักษรจีนขนาดเท่าหัวแมลงวันถูกเขียนอธิบายไว้อย่างละเอียดถี่ยิบ
ซูหลียิ่งอ่านยิ่งตะลึง อดคิดไม่ได้ เจ้าสำนักเฉินเหมินผู้นี้เป็นคนรอบคอบดังคาด กลไกที่สร้างขึ้นมานั้นละเอียดอย่างยิ่ง นางกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นอักษรบรรทัดหนึ่งก็ดึงดูดสายตาของซูหลี หัวใจนางพลันสะดุด จากคำอธิบาย เมื่อเคาะพนักเก้าอี้เบาๆ สามทีกลไกก็ถูกเปิดออก เสียงอาวุธปะทะกันอย่างดุเดือดพลันดังลงมาจากเหนือศีรษะ
หวั่นซินสีหน้าเปลี่ยน พลันเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน
ซูหลียิ้มบาง ก่อนเอ่ยปลอบ “ไม่ต้องกลัว เสียงนี้ดังมาจากข้างบน เจ้าสำนักวางท่อทองแดงไว้ในช่องระบายลมของตำหนักใหญ่ ต่อสายตรงมาจนถึงด้านบนของห้องลับนี้ ไม่ต้องออกไปก็สามารถรับรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นข้างนอกบ้าง ช่างเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
เพิ่งจะสิ้นประโยค พวกนางก็พลันได้ยินเสียงตะโกนก้องดังมาจากตำหนักด้านบน “ท่านเจ้าสำนัก ระวัง!” จากนั้น เสียง ‘พลั่ก’ ก็พลันดังขึ้น คนผู้หนึ่งถูกฝ่ามือโจมตีเข้าที่หน้าอก ร่างกายกระเด็นลอยออกไปไกล! ก่อนจะเกลือกกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ
…………………………………………..