กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 454 สองฮ่องเต้ชิงหญิงงาม (7)
ซูหลีทนฟังไม่ได้ รีบกล่าวเสียงอ่อนโยน “เสด็จพ่อเพียงต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก ลูกเข้าใจดีเพคะ! เสด็จพ่อโปรดวางใจ ลูกตอบตกลงแต่งงานกับหยางเซียว มิใช่เพราะความวู่วามแน่นอน แต่เป็นเพราะเต็มใจ…”
“ข้าไม่เชื่อ!”
เสียงคำรามต่ำพลันดังมาจากด้านหลังฉากกั้นลม ยังไม่ทันสิ้นเสียง ตงฟางเจ๋อก็สาวเท้ายาวๆ เดินออกมา
ซูหลีเห็นเขา กลับไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้องนี้ นางก็รู้แล้วว่าเขาซ่อนตัวอยู่ด้านหลังฉากกั้นลม บนตำหนักใหญ่ เขากับหยางเซียวชักดาบใส่กันอย่างไม่เกรงกลัว แล้วเขาจะยอมปล่อยมือเพียงเพราะประโยคเดียวของนางได้เช่นไร?
ใบหน้าซูหลีเรียบเฉยไร้อารมณ์ สายตากลับแฝงไว้ด้วยแววขุ่นเคือง นางเอ่ยเสียงเย็นชา “ในที่สุดท่านก็ยอมออกมาแล้วหรือ?! เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของท่าน ถึงกับทำให้เสด็จพ่อต้องลำบากเดินทางพันลี้มาถึงเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน ท่านเคยคำนึงถึงร่างกายของผู้อาวุโสบ้างหรือไม่?”
หลีเฟิ่งเซียนตกตะลึงเล็กน้อย “ซูซู ห้ามเสียมารยาท! ฝ่าบาทเรียกพบขุนนาง เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว!” เขาหันไปมองตงฟางเจ๋อ เห็นใบหน้าเขาซีดขาวเล็กน้อย สายตาหม่นหมอง แต่กลับไร้ซึ่งท่าทีไม่พอใจ ก็ลอบถอนหายใจ เดิมทีนึกว่าเขาเป็นคนที่มีความคิดยากแท้หยั่งถึง ยากจะเข้าใกล้ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเขาจะมั่นคงและจริงใจกับซูหลีถึงเพียงนี้
“เช่นนั้นจะให้ข้าทำอย่างไร? มองดูเจ้าแต่งงานกับชายอื่นโดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ?!” ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วแน่น สายตาคมปลาบแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด
หลังพิธีขึ้นครองราชย์ นางก็อยู่แต่ในวัง มีองครักษ์คุ้มกันแน่นหนา เขาไม่สามารถพบนางได้แม้แต่น้อย หลายวันมานี้ เขาพลิกตัวกลับไปกลับมา นอนไม่หลับทั้งคืน ไม่มีสักวันที่นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม กระทั่งเช้าวันนี้หลีเฟิ่งเซียนมาถึงเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน เขาจึงมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง ยามนี้เขาไร้ซึ่งแผนการใดๆ อีก ได้แต่หวังว่าความรักระหว่างพ่อลูกจะสามารถล้มเลิกความคิดของนางได้ เพียงแต่เขาคาดเดาได้ถูกต้องในจุดนี้ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าซูหลีจะปฏิเสธไม่ยอมตามหลีเฟิ่งเซียนกลับแคว้นเฉิง!
ซูหลีหน้าบึ้ง กล่าวเสียดสีว่า “ตงฟางเจ๋อ ท่านเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่เคยสนใจว่าคนอื่นจะรู้สึกเช่นไร!”
หลีเฟิ่งเซียนเห็นทั้งสองถกเถียงกันอย่างรุนแรง จึงรีบเข้าไปเกลี้ยกล่อม “ซูซู ที่ฝ่าบาททรงทำไปทั้งหมด ล้วนทำเพื่อเจ้าทั้งสิ้น หากเจ้าอยากแต่งกับหยางเซียวจริงๆ ก็ควรอธิบายกับฝ่าบาทให้กระจ่าง เพื่อจบเรื่องราวลงด้วยดี” สายตาที่เขามองซูหลีแฝงความนัยบางอย่าง คล้ายต้องการเตือนว่าท่าทีของนางแข็งกร้าวเกินไปแล้ว
ครั้นได้ยินเสด็จพ่อกล่าวเช่นนี้ เพลิงโทสะในใจซูหลีดับลงกว่าครึ่งส่วน ทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ
“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” หลีเฟิ่งเซียนถอนหายใจ ก่อนจะค่อยๆ ถอยออกจากห้องไป ในห้องน้ำชาเหลือเพียงคนสองคนที่จ้องหน้ากันเงียบๆ
รอบข้างเงียบงันไร้เสียง น้ำในหม้อดินบนเตาน้ำชาเริ่มเดือดพล่าน ส่งเสียง ‘ปุดๆ’ อย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนอารมณ์ที่กำลังปั่นป่วนของทั้งสอง
ซูหลีเอ่ยปากอย่างแช่มช้า “ท่านทำทุกวิถีทาง เพื่อได้พบหน้าข้าสักครั้ง ครั้นพบกัน เหตุใดจึงไม่ยอมพูดอะไรเลยเล่า?”
ตงฟางเจ๋อตะลึงงัน ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กลีบปากขยับเล็กน้อย แต่กลับไม่เปล่งเสียงใดออกมา ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ว่าข้าต้องทำเช่นไร เจ้าจึงจะไม่แต่งงานกับหยางเซียว?” เสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบพร่า ไม่อาจปิดบังความเจ็บปวดในใจ
“เป็นไปไม่ได้” ซูหลีกล่าวอย่างรวดเร็ว นางตอบอย่างรวดเร็วและหนักแน่น คล้ายต้องการแสดงให้เห็นว่าตนเองจะไม่มีทางเปลี่ยนใจเด็ดขาด สายตานางมองตรงไปยังทิศหนึ่ง ไม่กล้าสบตาเขาแม้แต่น้อย ขณะกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าท่านจะทำอย่างไร ระหว่างพวกเรา…ก็เป็นอดีตไปแล้ว”
มือของตงฟางเจ๋อที่กำถ้วยชาสั่นเทาทันที นางกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงเฉยชาถึงเพียงนั้น ลบล้างทุกอย่างในอดีตจนสิ้น ราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ไม่เหลือความหวังให้เขาแม้แต่น้อย เขาอดทนอดกลั้น พยายามสงบอารมณ์ แล้วกล่าวเสียงแหบพร่าอีกครั้ง “ข้าไม่ได้อยากบังคับให้เจ้าทำสิ่งใด เพียงแต่ไม่อยากให้เจ้าวู่วามแต่งงานกับคนที่ไม่ได้ชอบ เสียเวลาไปทั้งชีวิต”
“สำหรับท่าน อย่างไรจึงจะเรียกว่าทำให้ข้าไม่เสียเวลาไปทั้งชีวิต?” หัวใจของซูหลีพลันเย็นเยียบ “ท่านรู้ได้เช่นไรว่าข้าไม่ได้ชอบหยางเซียว?”
สายตาของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยน สีหน้าพลันค้างเติ่ง
ซูหลีหันหน้ามา จ้องหน้าเขาแล้วแย้มยิ้มกล่าวว่า “หยางเซียวจริงใจต่อข้าเสมอ อยู่กับเขา ข้าไม่ต้องเสียแรงคาดเดาว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ และไม่ต้องกังวลว่าวันข้างหน้าเขาจะโกหกและทำร้ายข้า แต่ระหว่างข้ากับท่าน…ยามนี้ยังเหลือความเชื่อใจให้พูดถึงอีกหรือ?”
ประโยคย้อนถามของนางเพียงประโยคเดียว ตัดความหวังทั้งหมดของเขาอย่างไร้ความปรานี
“เจ้า…คิดเช่นนี้จริงๆ หรือ?” ใบหน้าของตงฟางเจ๋อซีดขาวราวกระดาษ น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ความเจ็บปวดพรั่งพรูในหัวใจ แทบไม่อาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไป
ซูหลีเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างใจเย็น “พรุ่งนี้เป็นวันอภิเษกสมรสแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว หวังว่าหลังจากที่ท่านกลับไปถึงเมืองหลวงแคว้นเฉิง จะยอมปล่อยวางอดีต แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่” สีหน้าของนางเรียบเฉย น้ำเสียงไร้ซึ่งความอบอุ่น ราวกับกำลังพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง และแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจแน่วแน่ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก
ตงฟางเจ๋อหอบหายใจรุนแรง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ราวกับยังคงไม่อยากเชื่อ
ซูหลีถอนหายใจ กล่าวเสียงแผ่วเบา “เหตุใดท่านจึงไม่ยอมเชื่อ ว่าข้าชอบเขาด้วยใจจริง”
ตงฟางเจ๋อตวัดสายตาจ้องนางเขม็ง สายตาที่มองนางกลับแฝงไว้ด้วยความเย็นชาและขุ่นแค้น “เจ้าว่าอย่างไรนะ?” น้ำเสียงของเขาเบาจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ
ใบหน้าของซูหลียังคงเฉยชา แต่กลับกำหมัดแน่น พยายามสะกดความกระวนกระวายในใจ นางก้มหน้า ฝืนตนเองให้พูดออกไป “ข้า…ชอบเขาจากใจ…”
ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค จู่ๆ เงาร่างข้างหน้าก็พุ่งเข้ามา นางรีบเงยหน้า ตงฟางเจ๋อมายืนอยู่ข้างหน้านางแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ใกล้เพียงคืบ ในแววตาเต็มไปด้วยแววหึงหวงชิงชังอันบ้าคลั่ง เขากระชากนางเข้าไปในอ้อมแขน
ซูหลีตกตะลึง ยกมือผลักเขา นึกไม่ถึงว่าเขาที่กำลังเกรี้ยวโกรธกลับมีเรี่ยวแรงมหาศาล นางแทบทำอะไรเขาไม่ได้
แขนของตงฟางเจ๋อแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า กอดรัดตัวนางไว้ในอ้อมแขน แล้วค่อยๆ โน้มกายเข้ามาใกล้ ปลายจมูกของเขาแทบจะชนกับปลายจมูกของนาง สายตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ เขากล่าวเน้นย้ำทีละคำ “เจ้าโกหก!” ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูด เขาก็ก้มหน้าประทับจูบกลีบปากนาง
เขาจูบอย่างดุดันและรุนแรง แทบจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดในจูบครั้งนี้
ซูหลีปิดปากแน่น หายใจไม่ออก ความโกรธเกรี้ยวปะทุในใจ แต่กลับไม่อาจผลักเขาที่พันธนาการนางไว้ดั่งเหล็กกล้าออกไปได้ รู้สึกเพียงกลีบปากของเขาคลอเคลียไปมา และค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไปที่ใบหูนาง ปลายลิ้นนิ่มนวลตวัดขึ้นเล็กน้อย สัมผัสสุขสมถูกกระตุ้นและแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม แทบยืนไม่อยู่ นางตื่นตระหนก เขาคิดจะใช้พิษของยาไร้รักมาทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองของนาง!
หัวใจพลันเต้นระรัว คิดจะปฏิเสธเขาโดยสัญชาตญาณ แต่กลับชะงักหยุด หากนางมีจิตตั้งมั่น เพ่งสมาธิและสงบจิตใจ บางทีอาจสามารถควบคุมปฏิกิริยาของยาไร้รักได้ และอาศัยโอกาสนี้ทำให้เขาตายใจเสีย! ครั้นคิดได้เช่นนี้ นางก็หยุดขัดขืน ยืนนิ่งปล่อยให้เขากอดจูบตามอำเภอใจ
แววเจ็บปวดและขุ่นแค้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วยังมีแววดื้อดึงและบ้าคลั่งในดวงตาเขา บาดตานางยิ่งนัก นางหลับตาอย่างไม่รู้ตัว หัวใจเจ็บปวดและโศกเศร้า ตงฟางเจ๋อผู้ที่เย่อหยิ่งทะนงตนเสมอมา ยามนี้ราวกับได้วางเดิมพันทั้งหมดในการวัดดวงครั้งสุดท้าย
ครั้นสัมผัสได้ว่านางไม่ขัดขืนอีก การกระทำของเขาก็อ่อนโยนลง ความเผด็จการและบ้าคลั่งลดลง เขาจูบเบาๆ กอดนางแน่น คล้ายต้องการใช้ความอ่อนโยนละลายกำแพงน้ำแข็งในใจนาง
…………………….
Related