กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 395 บุญคุณความแค้นในอดีต (1)
ภายใต้ท้องฟ้าสีครามก้อนเมฆสีขาว ทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตามีทัศนียภาพงดงามน่ามอง แต่เทือกเขาที่มีชื่อเสียงดึงดูดผู้คนให้มาเยือนมากที่สุดลูกนี้กลับเป็นวัดหลวงแห่งราชวงศ์เปี้ยน ‘วัดหวงผู่’ ตั้งอยู่ ณ ตีนเขาลูกนั้น กระเบื้องสีเขียวก้อนอิฐสีเทา ดูเก่าแก่และอลังการยิ่งใหญ่ มองจากที่ไกลๆ วัดตั้งอยู่ท่ามกลางต้นสน ยิ่งขับเน้นให้ดูศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม
ทหารกลุ่มหนึ่งอารักขารถม้าคันหนึ่งมุ่งหน้ามายังทางนี้ ก่อนจะหยุดอยู่หน้าประตูวัด
หัวหน้าองครักษ์วังหลวงดึงเชือกบังเหียนม้า กระโดดลงจากม้าเป็นคนแรก แล้วเดินเข้ามาเปิดม่านรถด้วยตนเอง เผยให้เห็นดวงหน้าโฉมสะคราญงามล่มเมืองดวงหนึ่ง ซึ่งก็คือซูหลีที่ถูกลงโทษให้มาทบทวนความผิดในวัดหลวงนั่นเอง
ปาต๋ากล่าวด้วยความนบนอบ “ถึงวัดหวงผู่แล้ว เชิญแม่นางอาหลีลงจากรถ” ก่อนออกเดินทาง องค์ชายสี่กำชับแล้วกำชับเล่า ว่าให้ปฏิบัติต่อแม่นางอาหลีผู้นั้นดังเช่นที่ปฏิบัติต่อเขา ห้ามละเลยแม้แต่น้อย
หวั่นซินประคองซูหลีลงจากรถ นางหันไปมองวัดหลวงของราชวงศ์เปี้ยน คล้ายตกอยู่ในห้วงภวังค์ชั่วขณะ เหตุการณ์ที่ถูกฮ่องเต้แคว้นเฉิงองค์ก่อนลงโทษให้ไปคัดบทพระธรรมที่อารามฝอกวงเมื่อหนึ่งปีก่อน ยังคงชัดเจนในความทรงจำ ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่ก็เหมือนเป็นเรื่องตั้งแต่ชาติปางก่อนแล้ว ยามนี้นางถูกฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนสั่งลงโทษให้มาทบทวนความผิดที่วัดหลวงอีกครั้ง…นางอดหัวเราะหยันตนเองไม่ได้ ถูกลงโทษสองครั้งล้วนเป็นเพราะคนผู้นั้นเพียงคนเดียว นี่เป็นโชคชะตาหรือเรื่องบังเอิญกันแน่?
“อมิตาภพุทธ!” เมื่อเสียงเอ่ยนามพระพุทธดังขึ้น พระภิกษุหลายรูปก็เดินออกมาจากด้านในวัด พระรูปแรกห่มจีวร หน้าตาอ่อนโยน ท่าทางมีเมตตา เขากล่าวอย่างมีมารยาท “อาตมามีนามว่าฮุ่ยเจวี๋ย เป็นเจ้าอาวาสของวัดนี้ ยินดีต้อนรับlประสกและสีกาทุกท่าน”
“คำนับหลวงพ่อเจ้าค่ะ” ซูหลีค้อมกายตอบอย่างสุภาพ
ปาต๋าเดินเข้าไปประสานมือคารวะ แล้วกล่าวว่า “ท่านเจ้าอาวาส ข้าน้อยรับพระบัญชาจากฝ่าบาท ส่งแม่นางอาหลีผู้นี้มาพักอยู่ที่วัดช่วงหนึ่ง รบกวนท่านเจ้าอาวาสแล้ว”
ฮุ่ยเจวี๋ยคลี่ยิ้ม แล้วพยักหน้ากล่าวว่า “อาตมาย่อมต้องทำให้ดีที่สุด สีกา เชิญ”
ซูหลีกับหวั่นซินเดินตามเจ้าอาวาสฮุ่ยเจวี๋ยเข้าไปในวัด ตรงไปยังภูเขาด้านหลัง ด้านหน้าภูเขามีบันไดหินหยก ทอดตัวโอบล้อมรอบภูเขาขึ้นไปยังด้านบน จนไปถึงยอดเขา วัดหลวงของราชวงศ์ตั้งอยู่บน ‘ยอดเขาจวี้หลิง’ ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดนั่นเอง
ฮุ่ยเจวี๋ยกำชับหลายคำก่อนจะขอตัวจากไป พระอีกรูปหนึ่งนำทางซูหลีกับหวั่นซินเดินขึ้นไปบนภูเขา เดินอยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มาถึงยอดเขาจวี้หลิง บริเวณทางเข้าวัดมีป่าเล็กๆ ผืนหนึ่งขวางทางเดินอยู่ ซูหลีสงสัย แต่กลับไม่ถามให้มากความ
พระรูปนั้นพูดเพียงประโยคเดียว “สีกาทั้งสองนับก้าวเดินของอาตมาให้จงดี อย่าได้ก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียว” เอ่ยจบ เขาก็เดินเข้าไปในป่า
ทั้งสองเดินตามหลังพระรูปนั้นไปติดๆ พลางมองพิจารณารอบด้านไปด้วย ป่าผืนนี้เงียบสงบ คล้ายไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่นานพวกนางก็เดินพ้นเขตป่า ซูหลีหยุดเดินหน้าประตูวัดหลวงแล้วหันกลับไปมองอีกครั้ง ค้นพบว่าพื้นที่เบื้องหน้าสายตากว้างขวางราบเรียบ มีเพียงต้นไม้เก่าแก่ที่สูงตระหง่านค้ำฟ้าเรียงรายอยู่สองฝั่งของบันไดเท่านั้น! มิน่าเล่าสถานที่แห่งนี้จึงได้เงียบงัน ไม่มีผู้ใดเฝ้าดูต้นทางเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะค่ายกลลวงตาในป่าผืนนั้นแน่ๆ คนทั่วไปหากไม่รู้แล้วเดินหลงเข้ามา เกรงว่าคงไม่มีทางได้ออกมาอีก ซูหลีกับหวั่นซินมองหน้ากันอย่างกระจ่างแจ้งแก่ใจ
สองนายบ่าวพักในสวนเซียนจวี้ที่อยู่ด้านข้างวิหารไท่อัน นอกจากพระภิกษุที่นำอาหารสามมื้อมาส่งทุกวัน ก็ไม่ได้พบหน้าคนนอกอีกเลย การมาพักในวัดหลวงครั้งนี้แม้จะมาในนามการทบทวนความผิดตนเอง แต่กลับดูเหมือนการกักบริเวณกลายๆ ทว่าซูหลีกลับไม่ใส่ใจ สถานที่แห่งนี้เงียบสงบ เหมาะเป็นสถานที่พักผ่อนและบ่มเพาะกายใจ นางอ่านหนังสือ และฝึกฝนวรยุทธ์ทุกวัน ใช้เวลาอย่างผ่อนคลายและเงียบสงบ ฉินเหิงส่งข่าวคราวจากด้านนอกมาเป็นครั้งคราว ส่วนมากเป็นเรื่องในลัทธิธิดาเทพ ถึงแม้ตัวนางไม่ได้อยู่ในแท่นบูชาหลัก แต่กลับรู้สถานการณ์ในลัทธิเป็นอย่างดี นางใช้วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปหนึ่งเดือน ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดส่งมาจากพระราชวัง กลับเป็นหวั่นซินที่เริ่มทนไม่ไหว
“คุณหนูเจ้าคะ หากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนไม่มีรับสั่ง คุณหนูก็ไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่ที่นี่ไปจนแก่หรือเจ้าคะ?”
ซูหลีแย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “แล้วอย่างไรเล่า?”
หวั่นซินก้มหน้าถอนหายใจ “บ่าวไม่เป็นไร กลัวก็แต่คุณหนูจะเสียเวลาไปทั้งชีวิต”
ซูหลีกล่าวเสียงราบเรียบ “เจ้าวางใจเถิด ยามนี้พายุลมสงบนิ่ง พักอยู่ที่นี่ เงียบสงบและผ่อนคลาย กลับเป็นเรื่องดี แม้ภายหน้ามีเรื่องใด หากข้าจะไปจากที่นี่ ก็ไม่มีผู้ใดขวางได้”
หวั่นซินเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นบ่าวก็วางใจเจ้าค่ะ ฉินเหิงส่งข่าวมาว่าแคว้นเปี้ยนและแคว้นเฉิงได้ตกลงเงื่อนไขในการสงบศึกกันแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะลงนามในสัญญา ได้ยินว่าทูตจากแคว้นเฉิงได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนแล้วเจ้าค่ะ”
ซูหลีวางหนังสือในมือลง แล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ลงนามสัญญา? ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเห็นด้วยแล้วหรือ?”
“เจ้าค่ะ ได้ยินว่าการลงนามสัญญาครั้งนี้ แคว้นเฉิงได้ยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจมากทีเดียว”
ซูหลีเงียบงัน ตงฟางเจ๋อทำเรื่องที่ยากจะคาดเดามากขึ้นเรื่อยๆ การเจรจาสงบศึกก่อนหน้านี้เกิดเหตุไม่คาดคิด ล้มเหลวไปหลายครั้ง ไม่นานมานี้ ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเพิ่งส่งคนไปลอบสังหารเขา ทำให้เขาแทบเอาชีวิตไม่รอด ด้วยนิสัยของเขา จะปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร? ซ้ำยังเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนออันยอดเยี่ยมในการเจรจาสงบศึกก่อนอีกด้วย?
ประโยคอันหนักแน่นของเขาก่อนแยกกัน ณ ภูเขาเทียนเหมินผุดขึ้นมาในสมองนาง ‘ซูซู ต้องมีสักวัน ที่ข้าจะทำให้เจ้าเปิดใจยอมรับข้าอย่างเต็มใจอีกครั้ง ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร ข้าก็จะไม่มีวันเสียใจอย่างแน่นอน!’
หรือการเจรจาสงบศึกในครั้งนี้ คือก้าวแรกของแผนการเขา? แต่หลังจากเจรจาสงบศึก เขาคิดจะทำอะไรต่อไป นางกลับคาดเดาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ ซูหลีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ทูตจากแคว้นเฉิงในครั้งนี้คือผู้ใด?”
หวั่นซินกล่าวว่า “คนผู้นี้ชื่อจางฝู่ เป็นข้าราชการพลเรือนขั้นห้า แต่ก่อนเป็นขุนนางไม่มีชื่อ แต่จู่ๆ ก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นทูตเจรจาสงบศึกในครั้งนี้ หลายคนก็ไม่คาดคิดเช่นกัน ใช่แล้ว ได้ยินว่าคนผู้นี้หมกมุ่นในพระธรรมคำสอน และเคร่งศาสนามาก ทุกครั้งที่ไปเยือนที่ใดจะต้องไปสักการะวัดในพื้นที่เสมอ มิเช่นนั้นจะไม่ยอมเดินทางกลับ”
ตงฟางเจ๋อส่งคนเช่นนี้มาเป็นทูตเจราจาสงบศึก ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่? หัวใจนางพลันเต้นรัว สักการะวัดในพื้นที่…ยามนี้นางอยู่ในวัดหวงผู่พอดี! ความบังเอิญที่น่าตกใจนี้ทำให้นางอดคิดมากไม่ได้
“คนที่ติดตามเขามามีใครอีกบ้าง?”
หวั่นซินส่ายหน้า “ครั้งนี้มีผู้ติดตามไม่มาก นอกจากจางฝู่ ก็มีแค่องครักษ์ที่คอยอารักขาเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ซูหลีขมวดคิ้ว “เช่นนั้นในหมู่องครักษ์…”
“คุณหนูโปรดวางใจ ฉินเหิงส่งคนไปตรวจสอบแล้ว ในหมู่องครักษ์เหล่านั้น ไม่พบคนที่มีอาการบาดเจ็บเจ้าค่ะ” หวั่นซินรู้ดีว่านางเป็นห่วงเรื่องใด จึงได้สั่งให้ฉินเหิงไปสืบข่าวมาให้กระจ่างแต่แรกแล้ว
ตั้งแต่ที่ตงฟางเจ๋อได้รับบาดเจ็บจนถึงตอนนี้ก็หนึ่งเดือนกว่าแล้ว ตอนนั้นเขาบาดเจ็บสาหัส ขณะออกจากแคว้นเปี้ยนก็ต้องเร่งเดินทาง รถม้าสั่นคลอนตลอดการเดินทาง ตามหลักแล้วอาการบาดเจ็บไม่น่าจะหายเร็วขนาดนั้น ในเมื่อในกลุ่มองครักษ์ไม่มีคนได้รับบาดเจ็บ เขาน่าจะไม่อยู่ในนั้น แต่ไม่รู้เพราะอะไร นางกลับยังคงรู้สึกไม่สบายใจ
ซูหลีกล่าวเสียงเข้ม “เจ้าให้ฉินเหิงไปตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตนเองอีกครั้ง ต้องละเอียดรอบคอบให้มาก อย่าปล่อยให้เล็ดลอดสายตาไปได้แม้แต่น้อย”
ยามราตรีมาเยือน สายลมบนภูเขาเย็นเยียบดั่งสายน้ำ ซูหลีคลุมผ้าคลุมผืนหนึ่ง ยืนคิดเรื่องราวในใจอยู่ใต้ระเบียงทางเดิน พลันนั้น นางได้ยินเสียงอาภรณ์แหวกอากาศอันแผ่วเบาดังเข้ามาจากนอกกำแพงสวน
นางเอียงหน้าเล็กน้อย หางตาเหลือบเห็นเงาดำสายหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงสูงตระหง่านเข้ามาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียง นางระแวดระวังทันที ผู้ใดกันร้ายกาจถึงเพียงนี้ ถึงขั้นบุกฝ่าค่ายกลในป่านั้นมาได้อย่างปลอดภัย? จู่ๆ นางก็นึกถึงข่าวที่ได้รับเมื่อกลางวันเกี่ยวกับเรื่องที่ทูตจากแคว้นเฉิงเดินทางมายังแคว้นเปี้ยน หัวใจพลันเต้นรัว!
ท่ามกลางความมืด เงาร่างสูงใหญ่เคลื่อนไหวดั่งสายฟ้า โฉบเข้ามายังสวนเซียนจวี้โดยตรง พริบตาเดียวก็มาถึงด้านหลังซูหลีแล้ว ชั่วขณะหนึ่ง นางมิอาจแยกแยะกลิ่นอายของผู้มา นางรวบรวมชี่แท้ไว้กลางฝ่ามือแต่แรกแล้ว
ห่างจากนางเพียงไม่กี่ก้าว คนผู้นั้นพลันชะงักฝีเท้า แล้วขานเรียกเสียงเบา “อาหลี”
…………………….