กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 387 ไม่มีวันปล่อยมือ (2)
“เกรงว่าอะไร?” ซูหลีถามเสียงตึงเครียด
เจียงหยวนถอนหายใจ “นอกเสียจากจะมียาปกป้องหัวใจ มิเช่นนั้นคงยากจะฟื้นคืนกลับมา”
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้านไปทั้งดวง ทุกคนต่างเงียบกริบ
เจียงหยวนกล่าวอีกว่า “ได้ยินว่าตอนนั้นเขาถูกหามจากแม่น้ำหลานชางกลับไปที่วังหลวง หมอหลวงทุกคนไร้หนทางรักษา หลินเทียนเจิ้งกลับช่วยชีวิตเขาไว้ได้! ครั้งที่แล้วเขาบุกรุกเข้ามาในลัทธิธิดาเทพได้พาคนผู้นั้นติดตามมาด้วย ข้าน้อยคิดว่าคนผู้นั้นจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน มิสู้…”
เขายังเอ่ยไม่ทันจบ ซูหลีก็รีบออกคำสั่ง “เซี่ยงหลี ไปตามหาหลินเทียนเจิ้งที่สำนักจันทร์เสี้ยว”
หลินเทียนเจิ้งมาถึงเร็วมาก เขาเข้ามาในห้องพร้อมกับเซิ่งฉิน เซิ่งเซียว และเซิ่งจิน ครั้นเห็นตงฟางเจ๋อในสภาพเลือดท่วมตัว ซ้ำยังมีดาบสั้นปักอกเล่มหนึ่ง ทั้งสี่หน้าเปลี่ยนสี ตะโกนด้วยความตกตะลึง “ฝ่าบาท!”
พวกเขาพุ่งตัวเข้ามาตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง! ตงฟางเจ๋อในยามนี้ไม่มีแรงแม้แต่จะยกหนังตาขึ้นมา เขานอนหายใจรวยริน หากไม่มีชี่แท้ขุมหนึ่งคอยรักษาชีพจรหัวใจของเขาไว้ เกรงว่าคงสิ้นลมไปนานแล้ว
หลินเทียนเจิ้งรีบหยิบยาเม็ดหนึ่งป้อนใส่ปากเขา ไม่รู้ว่าเป็นยาเทวดาใด หลังกินไม่นาน สีหน้าของเขากลับดีขึ้นมาก ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
คนแรกที่มองเห็น ยังคงเป็นนาง
“พวกเจ้าอารักขาเขากลับไปที่ค่ายเทียนเหมินเถิด” ซูหลีมองหน้าพวกเขา “ต่อไปอย่ามาที่นี่อีก”
หลินเทียนเจิ้งกล่าวด้วยความกังวล “ที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลจากค่ายมาก ฝ่าบาทบาดเจ็บสาหัส หากเดินทางไกล เกรงจะเป็นผลเสียต่ออาการบาดเจ็บ ยิ่งไปกว่านั้น…ดาบเล่มนี้แทงลึกเข้าไปในทรวงอก หากไม่ดึงออก เกรงว่าคงออกจากลัทธิธิดาเทพไม่ได้เสียด้วยซ้ำ”
เจียงหยวนถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “หากจะดึงดาบออก ก็มีความเสี่ยงสูงมากเช่นกัน ถ้าเกิด…ทนพิษบาดแผลไม่ไหว…ก็อาจตายได้ทันที”
ชั่วขณะหนึ่งทุกคนมองหน้ากัน สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยากจะตัดสินใจ
“ดึงออกเสีย” บุรุษที่ใบหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษแต่กลับหนักแน่นดั่งภูผาและสายนทีกล่าวขึ้น ดวงตาดำขลับลึกล้ำ จ้องมองสตรีอันเป็นที่รักอย่างไม่ยอมละสายตา
หลินเทียนเจิ้งขมวดคิ้ว พลางกล่าวว่า “ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บต่อเนื่องกันหลายครั้ง เกรงว่าร่างกายจะอ่อนแอเกินไป ถึงแม้จะดึงดาบออก ก็จำต้องมีคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งคอยปกป้องชีพจรหัวใจของฝ่าบาทนะพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมยินดี…” เซิ่งฉินเพิ่งจะเอ่ยปาก หลินเทียนเจิ้งก็โบกมือ แล้วกล่าวว่า “ไม่ได้ กำลังภายในที่เจ้าฝึกฝนแข็งกร้าวเกินไป เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อฝ่าบาท” เขาค่อยๆ หันไปมองสตรีที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ซูหลีก้าวเข้ามา “ข้าช่วยท่านได้ แต่ท่านต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
เขาแย้มยิ้ม แล้วกล่าวเสียงอ่อนแรง “นอกจากให้ข้าปล่อยเจ้าไป ข้ารับปากเจ้าทุกเรื่อง”
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “ข้าขอให้ท่านรับปากว่าจะไม่บุกรุกชายแดนแคว้นเปี้ยน และอย่าให้เซ่อเจิ้งอ๋องออกรบอีก ให้เขาได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข”
“ได้” ลมหายใจของเขายิ่งอ่อนแรง หัวใจของนางก็ยิ่งบีบรัด
หลินเทียนเจิ้งประคองไหล่ที่ไถลลื่นลงข้างล่าง พลางกล่าวเสียงร้อนใจ “ธิดาเทพ ท่านเพียงต้องรักษาชีพจรหัวใจด้านหน้าของเขาด้วยฝ่ามือเดียว ยามข้าดึงดาบออก อย่าให้ชี่แท้ของเขาขับเคลื่อน มิเช่นนั้นเลือดจะไหลไม่หยุด”
ซูหลีรีบขับเคลื่อนพลังมาไว้ตรงกลางฝ่ามือ แล้วทาบลงบนหน้าอกของเขา ครั้นเงยหน้า ใบหน้าของนางก็อยู่ตรงกับใบหน้าของเขาพอดี และดวงตาของเขา ก็กำลังจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของนาง ซูหลีราวกับถูกสะกด แน่นิ่งไม่อาจขยับเขยื้อน ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ข้อมือของหลินเทียนเจิ้งกระตุก ดาบสั้นถูกดึงออกจากร่างเขา เลือดสีแดงสาดใส่หน้าอกของซูหลี นางอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ ทว่ากลับพูดอะไรไม่ออก วินาทีต่อมา ตงฟางเจ๋อก็ล้มลงในอ้อมแขนนาง
“ฝ่าบาท!”
สายลมบนภูเขากระโชกแรง บรรยากาศเศร้าสลดแผ่ปกคลุมไปทั่วทิศ
หนึ่งชั่วยามต่อมา ณ ด้านล่างภูเขาชื่อเหลียน
รถเทียมม้าสี่ตัวคันหนึ่งพาหนึ่งหญิงหนึ่งชายทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็ว ด้านหน้าและด้านหลังรถม้า เจ็ดบุรุษหนึ่งสตรีขี่ม้าคุ้มกันรอบทิศด้วยท่วงท่าที่ไม่ธรรมดา ครั้นใกล้ถึงประตูเมือง ใกล้ได้เวลาฟ้าสาง แต่ท้องฟ้ายังคงมืดมิด
พวกเขามาถึงประตูเมือง หวั่นซินหยิบป้ายประจำตัวของซูหลีออกมา “เปิดประตูเมือง!”
ทันใดนั้น ทุกทิศรอบประตูเมืองมีคบเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างขึ้น เสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นอันพร้อมเพรียงดังขึ้นจากข้างหลัง หวั่นซินตกตะลึง ที่นี่มีการดักซุ่มโจมตี!
ผ่านไปไม่นาน ม้าเร็ววิ่งมาหยุดตรงหน้า บุรุษบนหลังม้าสวมอาภรณ์สีแดงดั่งเปลวเพลิง ราศีน่าเกรงขามแผ่กำจายไปรอบทิศ หากมิใช่หยางเซียวจะเป็นผู้ใดได้อีก?
“องค์ชายสี่!” หวั่นซินและคนอื่นๆ จำต้องลงจากม้ามาทำความเคารพเขา แต่ม่านรถม้าคันนั้น กลับแน่นิ่งไม่ไหวติง ยามนี้หยางเซียวนั่งองอาจอยู่บนหลังม้า สองมือกำเชือกบังเหียนไว้แน่น สายตากลับจดจ้องไปยังรถม้าคันนั้น แสงจากคบเพลิงที่อยู่รอบกายทำให้ท้องฟ้ายามกลางคืนสว่างโร่ขึ้นมาทันที แต่กลับไม่อาจส่องดวงตาเขาให้กระจ่างชัดได้
“พวกเจ้ากำลังจะไปที่ใดกันหรือ?” เขาคลี่ปากเผยรอยยิ้มเช่นในยามปกติ ทว่ากลับแฝงแววเย็นชาไว้เล็กน้อย
พวกหวั่นซินเงียบงัน ไม่ตอบอะไร
หยางเซียวกระโดดลงจากม้า มองพิจารณาพวกเขา แล้วยิ้มอย่างเบิกบาน “เหตุใดไม่พูดอะไรเลยเล่า? เพราะนายของพวกเจ้าไม่สั่ง พวกเจ้าเลยไม่กล้าพูดเช่นนั้นหรือ?!”
เซี่ยงหลีแย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “องค์ชายสี่ทรงทราบอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องถามอีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
ใบหน้าของหยางเซียวตึงเครียด เขาหมุนกายไปทางรถม้าแล้วตะโกนเรียก “อาหลีน้อย เหตุใดไม่ยอมออกมาพบหน้าข้าเล่า?”
ยามนี้ม่านรถถูกแหวกออก ซูหลีตวัดสายตาเย็นชามองมา “ท่านมีเรื่องอันใด?”
เขามองหน้ากากของซูหลีที่สะท้อนประกายเย็นชา สายตาแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองและสับสนชั่วขณะ ทว่ายังคงเดินเข้าไปหานางพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วเอ่ยว่า “กลางดึกสงัดเช่นนี้ เจ้าจะไปที่ใดหรือ?”
ซูหลีมองเขาอย่างเย็นชา แล้วกล่าวเสียงเหยียดหยัน “ข้าจะไปที่ใดจำต้องรายงานองค์ชายสี่ด้วยหรือ?”
หยางเซียวอึ้งไปเล็กน้อย เขาหัวเราะเสียงดัง “พักนี้สถานการณ์ในเมืองไม่ค่อยสงบ ข้าได้รับข่าวมาว่าคืนนี้จะมีศัตรูแฝงตัวเข้ามา ข้ารู้สึกว่าข่าวนี้ไม่น่าเชื่อถือนัก แล้วก็เป็นดังคาด เจ้าดูสิ ฟ้าจะสางแล้ว กลับไม่เห็นเงาคนน่าสงสัยสักคน! กลับไปข้าคงต้องลงโทษคนที่รายงานข้อมูลกองทัพส่งเดชให้สาสมเสียแล้ว!” เขาอ้าปากกว้างแล้วหาวหวอด โบกมือแล้วกล่าวว่า “เฮ้อ อุตส่าห์เฝ้าระวังมาครึ่งค่อนคืน เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ข้าขอเข้าไปพักในรถม้าสักหน่อย”
พูดไปเขาก็หมายจะกระโดดขึ้นไปบนรถม้า สายตาของหลินเทียนเจิ้ง และพวกเซิ่งฉินที่คอยคุ้มกันอยู่รอบด้านพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบ ตั้งท่าจะชักดาบออกจากฝัก
องครักษ์และทหารที่อยู่ด้านหลังหยางเซียวเห็นท่าไม่ดี จึงพร้อมใจกันชักดาบออกจากฝักทันที สายตาของซูหลีสั่นไหวเล็กน้อย นางร้องห้ามเขา “ท่านจะพักก็กลับไปพักที่วังหลวง ข้าจะออกนอกเมือง บอกให้พวกเขาเปิดประตูเมือง”
หยางเซียวส่ายหน้า “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ถึงแม้ไม่พบเบาะแสศัตรู แต่เสด็จพ่อมีรับสั่ง คืนนี้ห้ามเปิดประตูเมือง ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ หากเจ้ามีธุระ ก็คงต้องรอฟ้าสางก่อนเท่านั้น”
ซูหลีไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลของเขา สิ่งที่หยางเซียวชำนาญที่สุดคือการพูดจาสอดแทรกมุกตลก และการพูดจาไร้สาระ มัวแต่พูดจาอ้อมค้อมกับเขามีแต่จะเสียเวลาเปล่า มิสู้พูดอย่างตรงไปตรงมากับเขาดีกว่า
ซูหลีเงยหน้ามองเขา กล่าวพร้อมรอยยิ้มเย็น “พักนี้ที่องค์ชายสี่มาวนเวียนอยู่ในแท่นบูชาหลักบ่อยๆ ทุ่มเทกายใจทำทุกวิถีทาง คงเพราะกำลังรอคอยวันนี้กระมัง! ในเมื่อท่านบรรลุเป้าหมายแล้ว เหตุใดยังต้องอ้อมค้อม ในรถม้าคันนี้มีคนที่ท่านต้องการอยู่จริงๆ”
หยางเซียวตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่านางจะพูดตรงถึงเพียงนี้ นางเผยควาจริงต่อเขาอย่างไม่ปิดบัง แต่เขากลับไม่รู้ว่าควรไปต่อเช่นไร รอยยิ้มตรงมุมปากค้างเติ่งไปเล็กน้อย เขากล่าวอย่างทอดถอนใจ “อาหลีน้อย เจ้าช่างไม่เข้าใจในความพยายามของข้าเลยแม้แต่น้อย!”
สายตาของซูหลีไหวระริกเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไร
“เจ้าบอกว่าข้าวนเวียนอยู่ในแท่นบูชาหลักเพื่อวันนี้ ช่างเป็นการปรักปรำที่โหดร้ายนัก!” เขากล่าวอย่างปวดใจอีกว่า “ข้าสงสัยในตัวตนของตงฟางเจ๋อจริงๆ แต่ข้าไม่ได้เป็นคนทูลให้เสด็จพ่อทราบ กลับเป็นเสด็จพ่อที่รู้ข่าวแล้วเรียกตัวข้ากลับวัง”
…………………………..