กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 384 อภัยให้ได้หรือไม่? (1)
ยามนี้ครั้นได้ยินพวกเขาพูดคุยกัน ดวงตาของซูหลีสะท้อนความรู้สึกขมขื่นยากจะทานทน นางไม่อาจทนฟังต่อไปได้อีก จึงโบกมืออย่างอ่อนแรงเพื่อสั่งให้พวกเขาสี่คนแยกย้าย แล้วขังตนเองไว้ในห้อง ในห้องเงียบงันจนเหลือเพียงเสียงหายใจของนาง ซูหลีหลับตาลง ยกมือกุมหน้าอก เอนกายฟุบลงบนโต๊ะ ความเจ็บปวดในหัวใจทำให้นางไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายได้ นางได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตนเอง ได้แต่ปล่อยให้ความเจ็บปวดค่อยๆ กัดกินหัวใจ กระทั่งรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนทนไม่ไหว นางจึงผล็อยหลับไปในที่สุด
ยามพลบค่ำของวันถัดมา เซี่ยงหลีพบตัวเซิ่งฉินในสำนักเมฆาขาวดังคาด ซูหลียังไม่ทันเรียกพบตัว ด้านในตำหนักเซิ่งซินก็มีแขกสูงเกียรติผู้หนึ่งมาเยือนเสียก่อน
นางเป็นสตรี สวมอาภรณ์สีดำ สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้ากว่าครึ่งส่วน จึงทำให้เห็นหน้าไม่ชัด
นางนำสาสน์ลับจากฮ่องเต้มา เนื้อหาในสาสน์ลับรวบรัดได้ใจความ มีเพียงสี่อักษรเท่านั้น
ฆ่าตงฟางเจ๋อ!
ซูหลีอึ้งไปทันที นางรู้ว่าลัทธิธิดาเทพคือคมดาบของฮ่องเต้ที่ซ่อนอยู่ในที่ลับ นางสืบทอดตำแหน่งธิดาเทพ ย่อมต้องทำภารกิจตามที่ได้รับบัญชาจากฮ่องเต้ แต่นึกไม่ถึงว่าภารกิจแรกกลับเป็นเรื่องนี้!
“กรุณาทูลฝ่าบาท ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัยที่หม่อมฉันมิอาจทำภารกิจนี้ได้”
“ท่านกล้าขัดรับสั่ง?” สตรีนางนั้นมองนางด้วยความตกใจ
ซูหลีกล่าวด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ “คนผู้นั้นวรยุทธ์สูงส่ง ซ้ำยังอยู่ในกองทัพแคว้นเฉิง กองทัพแคว้นเฉิงมีทหารนับแสน ไม่มีผู้ใดสังหารเขาได้”
“อาจไม่มีผู้ใดในโลกนี้สังหารเขาได้ ทว่าหากธิดาเทพยินยอม จะต้องทำได้แน่! ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้ ตัวเขา…มิได้อยู่ในกองทัพแคว้นเฉิง!” สตรีชุดดำกล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงขรึม ประกายคมปลาบพาดผ่านดวงตา คล้ายรู้ทุกอย่างแต่แรกแล้ว
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน ภายนอกกลับยังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง “ไม่อยู่ในกองทัพ? ขอบังอาจถามทูตปริศนา ยามนี้เขาอยู่ที่ใด?”
สตรีนางนั้นแย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เขาอยู่ที่ใด คงต้องลำบากให้ธิดาเทพสืบหาแล้ว ข้าน้อยเพียงมาถ่ายทอดราชโองการ ในเมื่อฝ่าบาททรงมีราชโองการถึงธิดาเทพ ย่อมรู้ว่ายามนี้คือโอกาสที่ดีที่สุดที่ธิดาเทพจะลงมือ”
ซูหลีขมวดคิ้ว “เกรงว่าครั้งนี้ โอกาสจะไม่ใช่ของข้า”
สตรีนางนั้นกล่าวเสียงต่ำ “ธิดาเทพไม่ต้องกังวล โอกาสอยู่ในมือธิดาเทพแล้ว”
ซูหลีตกใจระคนสงสัย ได้แต่จ้องหน้านางไม่พูดอะไร ทว่าในใจกลับลอบคาดเดา ฮ่องเต้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในลัทธิธิดาเทพมากน้อยเพียงใดกันแน่? ตัวตนของตงฟางเจ๋อ มีเพียงนางกับสี่ทูตเท่านั้นที่รู้ แม้แต่หยางเซียวก็ยังไม่อาจมั่นใจ นางเพิ่งสั่งขังตงฟางเจ๋อ เหตุใดฮ่องเต้จึงส่งสาสน์ลับมาในเวลานี้?
ขณะกำลังครุ่นคิด สตรีนางนั้นก็พูดขึ้นอีกว่า “ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ข้าน้อยไปเบิกของบางอย่างที่สำนักจันทร์เสี้ยว ค่ำนี้ข้าน้อยคงไม่เดินทางกลับแล้ว รบกวนธิดาเทพช่วยให้คนจัดที่พักให้ข้าน้อยด้วย ขอบพระคุณมาก!”
นางจะพักในแท่นบูชาหลัก? ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “สิ่งของที่ฝ่าบาทต้องการ เจ้าเพียงบอกข้ามา พรุ่งนี้ข้าจะนำไปถวายฝ่าบาทด้วยตนเอง” ไม่รู้เพราะเหตุใด นางรู้สึกว่าสตรีนางนี้เป็นบุคคลอันตรายมาก หากปล่อยให้นางรั้งอยู่ในลัทธิคงไม่ใช่เรื่องดี
สตรีนางนั้นกล่าวว่า “มิกล้ารบกวนธิดาเทพ ฝ่าบาทมีรับสั่ง ของสิ่งนี้ข้าจำต้องไปเบิกด้วยตนเอง เช่นนั้นขอตัวก่อน!” นางเอ่ยจบก็หมุนกายสาวเท้ายาวๆ เดินจากไป
ซูหลีมองดูแผ่นหลังนาง สายตาแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด เดินทางมาถ่ายทอดสาสน์ลับจากฮ่องเต้ถึงที่นี่ได้ ซ้ำยังรู้รายละเอียดตื้นลึกหนาบาง สตรีนางนี้จะต้องเป็นคนที่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนไว้วางใจมากแน่ๆ! ของสิ่งใดกันที่จำต้องให้นางไปเบิกด้วยตนเอง!
ซูหลีขมวดคิ้วแน่น แม้นางจะสืบทอดตำแหน่งธิดาเทพ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าต่อจากนี้ไปนางต้องฟังคำสั่งฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนโดยไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจด้วยตนเอง! บนโลกใบนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถบงการนางได้อีกแล้ว! แม้จะเป็นฮ่องเต้ผู้สูงส่งก็ไม่ต่างกัน
นางแค่นเสียงเย็นชาเล็กน้อย แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินไปที่ตำหนักข้าง หยางเซียวไม่อยู่ หวั่นซินรายงานว่าเขากินข้าวเสร็จก็กลับวังไปแล้ว
ใบหน้าของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “เขาช่างกลับได้ถูกเวลาเสียจริง!”
“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ?”
“ฮ่องเต้ส่งสาสน์ลับมา สั่งให้ข้าสังหารตงฟางเจ๋อเสีย”
หวั่นซินตกตะลึง “ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่ในแท่นบูชาหลัก?”
ซูหลีส่ายหน้า ใบหน้าตึงเครียด นางกล่าวเสียงเย็น “ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน ไม่รู้ว่าเขามีหูมีตาอยู่ในลัทธิธิดาเทพมากน้อยเพียงใด! ค่ำนี้เฝ้าห้องลับไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้ผู้ใดเข้าใกล้ได้เป็นอันขาด”
หวั่นซินครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูคิดหรือไม่เจ้าคะ บางทีนี่อาจเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เขาออกไปจากที่นี่!”
ซูหลีชะงักงัน หวั่นซินกล่าวอีกว่า “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงวรยุทธ์สูงส่งลึกล้ำยากจะคาดเดา แม้พวกข้าสี่คนรวมพลังกันก็อาจยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ครานี้เขาถูกเปิดเผยตัวตน กลับยอมถูกขังในห้องลับแต่โดยดี ไม่มีท่าทีคิดจะจากไป ดูท่าคงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องพาคุณหนูกลับไปให้ได้ ในเมื่อคุณหนูไม่ยอมกลับไปกับเขา มิสู้ปล่อยให้ทูตปริศนาของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนมอบคำเตือนให้เขา ทำให้เขาตระหนักได้ว่าตัวตนของเขาถูกเปิดเผยแล้ว และสถานที่แห่งนี้ก็อันตราย ไม่อาจรั้งอยู่ได้นาน”
หวั่นซินพูดมีเหตุผล ด้วยฝีมือและสติปัญญาของเขา ถึงแม้แผลที่ไหล่ซ้ายจะยังไม่หายดี ก็ไม่มีผู้ใดเอาชีวิตเขาได้ง่ายๆ! ถึงแม้สตรีนางนั้นจะวางอุบายอะไรไว้ เขาก็มิใช่คนที่จะหลงกลอะไรง่ายๆ อยู่แล้ว แต่ทว่า…หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาเล่า? ซูหลีขมวดคิ้วแน่น ไม่อาจทำใจให้สงบได้
หวั่นซินกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ดูท่าทางคุณหนูแล้ว คุณหนูยังคงเป็นห่วงเขามาก ในเมื่อคุณหนูยังไม่ลืมเขา มิสู้กลับไปกับเขา…”
“หุบปาก!” ไม่รอให้หวั่นซินพูดจบ ใบหน้าของซูหลีพลันแปรเปลี่ยน ไม่รู้ว่านางกำลังตวาดผู้อื่นหรือตวาดตนเอง หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลง พร้อมตำหนิเสียงขรึม “วาจาเช่นนี้ อย่าเอ่ยให้ข้าได้ยินอีก!” เอ่ยจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
ครั้นกลับมาถึงห้องนอน นางเอนกายลงบนเตียงเนิ่นนานก็ยังไม่อาจสงบใจได้ หลับตาก็แล้ว ลืมตาก็แล้ว ในสมองก็ยังคงเต็มไปด้วยความอัปยศอดสู และการตายอย่างน่าอนาถของหลีซู แล้วยังมีการตายของเสด็จแม่อีก จะให้นางลืมเรื่องทั้งหมดนี้ไปได้อย่างไรกัน?
เดิมทีนางนึกว่าเมื่อมีความแค้นเหล่านั้น นางก็จะสามารถปล่อยวางความรักครั้งนั้นได้อย่างง่ายดาย ไม่พบหน้าเขา ก็จะค่อยๆ ลืมเลือนไปได้เอง แต่ตอนนี้นางกลับเพิ่งค้นพบว่านั่นเป็นเพียงการหลอกตนเองเท่านั้น! ความทรงจำมากมายในวันเวลาเหล่านั้นได้เติมเต็มโลกทั้งใบของนางไปแล้ว หากลืมเลือน นางก็จะไม่เหลือสิ่งใดอีกเลย
พลิกกายไปมาไม่อาจข่มตาหลับ ค่ำคืนนี้ยาวนานเหมือนเป็นปี ยามห้า[1]ใกล้มาถึงแล้ว แต่นางก็ยังไม่ง่วงสักนิด จิตใจมีแต่ความสับสนวุ่นวาย
นางตัดสินใจลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมมาห่มกาย แล้วเดินไปยืมริมหน้าต่าง ห่านฟ้ากลุ่มหนึ่งบินผ่านหน้าต่าง เดิมทีพวกมันบินอย่างเป็นระเบียบ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ขณะบินผ่านท้องฟ้าบริเวณนี้ ห่านฟ้าตัวที่บินนำฝูงกลับร่วงตกลงมาจากฟ้าโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า และตกลงในทะเลสาบตรงหน้านาง เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศเศร้าสลดพลันแผ่ปกคลุมผืนฟ้าและแผ่นดิน ราวกับเป็นลางบอกเหตุร้ายบางอย่าง
หัวใจของซูหลีหนักอึ้ง พลันนั้นประตูถูกเปิดออก หวั่นซินเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ แล้วรายงานเสียงเบา “คุณหนู! นางไปหาเขาแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ!”
ซูหลีได้ยินก็กล่าวเสียงเย็นชา “ไปกันเถิด”
ในเส้นทางลับอันมืดสลัว ห้องลับที่มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันเรียงรายเป็นแถว ตงฟางเจ๋อถูกขังไว้ในห้องลับที่อยู่ด้านในสุด ซูหลียังเดินไปไม่ถึงประตูทางเข้า เสียงแขนเสื้อตวัดไปมากลางอากาศก็ดังออกมาจากข้างใน การต่อสู้อย่างดุเดือดก่อให้เกิดไอสังหารแผ่ปกคลุมไปทั่วทิศ
ซูหลีเพ่งมอง เป็นสตรีชุดดำที่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนส่งตัวมาดังคาด! ยามนี้นางปิดบังใบหน้าด้วยผ้าโปร่งสีดำ ในมือถือกระบี่ตวัดร่ายรำสะท้อนประกายสีเงินวูบวาบ รัศมีเย็นยะเยือกพาดผ่าน ทุกกระบวนท่าโจมตีจุดสำคัญของตงฟางเจ๋ออย่างไม่ปรานี เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดมือกระบี่ ซ้ำยังมีวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย หากเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ธรรมดา อีกฝ่ายคงไม่อาจต้านรับกระบวนท่าของนางได้ ทว่าครั้งนี้ คู่ต้อสู้ของนางกลับเป็นตงฟางเจ๋อ!
กระบี่อ่อนตรงเอวยังไม่ทันถูกดึงออกจากฝัก ตงฟางเจ๋อต่อสู้ด้วยมือเปล่า พลิกแพลงกระบวนท่าอย่างง่ายดาย เขาเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางเงากระบี่อย่างใจเย็น ครั้นสบโอกาส เขาพลิกฝ่ามือสับลงไปที่ข้อมือของสตรีนางนั้นเต็มแรง
……………………………….
[1] ยามห้า คือช่วงเวลาตั้งแต่ 03.00-05.00 นาฬิกา