กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 322 ปริศนาชาติกำเนิด (5)
“ข้าขอให้เขาช่วย ยามนั้นเขาไม่รับปาก ข้าผิดหวังมาก เกลียดเขาอยู่สิบกว่าปี กระทั่งถูกจับตัวกลับมาครั้งนี้ ข้าจึงเพิ่งรู้ว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาได้ลักลอบแฝงตัวเข้าไปในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนเพื่อขโมยดอกฉิงฮวา เขาพลาดท่าถูกจับได้ครั้งหนึ่ง ถูกทรมานสารพัด…ต่อมา เพื่อหนีการไล่ล่า ข้ากับนายหญิงปลอมตัวเป็นชายแฝงตัวเข้าไปในกองทัพทหารกองทัพหนึ่ง ตอนนั้นเองที่พวกข้าได้พบกับเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียน…”
“เสด็จพ่อ?!” หัวใจของซูหลีเต้นเร็วกว่าเดิม
จิ้งหวั่นพยักหน้า “พวกข้าถูกเขาจับได้ว่าเป็นหญิง ตอนแรกหลีเฟิ่งเซียนจับพวกข้าขังไว้ก่อน…ยามนั้น เขากำลังบุกโจมตีแคว้นหวั่น เพราะบุกโจมตีเป็นเวลานานแต่ไม่สำเร็จเขาจึงทุกข์ใจมาก สถานการณ์บังคับให้นายหญิงจำต้องเสนอแผนล่อกษัตริย์แคว้นหวั่นออกจากเมือง หลีเฟิ่งเซียนจึงชิงชัยได้สำเร็จ เขาดีใจมาก จึงเชิญพวกข้าไปยังแคว้นเฉิงในฐานะแขกผู้มีเกียรติ! เดิมทีนี่เป็นเรื่องดี แต่นึกไม่ถึงในคืนนั้น พิษดอกฉิงฮวาในร่างนายหญิงกำเริบ พวกข้าถูกทหารคนอื่นในกองทัพจับได้ว่าเป็นหญิง พวกเขานึกว่าพวกข้าเป็นไส้ศึก จึงคิดจะสังหารพวกข้า เพื่อปกป้องมารดาเจ้า หลีเฟิ่งเซียนถึงขั้นบอกว่าเด็กในท้องมารดาเจ้าเป็นลูกของเขา!”
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้! ซูหลีได้ฟังก็ใจเต้นอย่างบ้าคลั่ง นางทิ้งตัวนั่งบนพื้น
จิ้งหวั่นเล่าต่อ “ระหว่างทางไปแคว้นเฉิง พวกเขาร่วมนอนกระโจมเดียวกันทุกคืน นานวันเข้า เขาก็เริ่มมีใจให้นายหญิง เขาดูออกว่านายหญิงไม่ได้มีใจให้ตนเอง แต่เขาก็ยังบอกว่าจะดูแลนายหญิงไปทั้งชีวิต และจะรักลูกในท้องนางเสมือนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง…”
“ถ้าเช่นนั้น เสด็จพ่อก็ไม่ใช่บิดาที่แท้จริงของข้า?” ซูหลีถาม น้ำเสียงกลับฟังดูมั่นใจมาก นางรู้สึกตื้นตันระคนขมขื่น ความรู้สึกซาบซึ้งที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ทำให้เสียงนางเบาและต่ำลง “เขาทำได้แล้ว! สิบหกปีนั้น ความรักที่เสด็จพ่อมอบให้ข้า มากมายกว่าที่เขามอบให้หลีเหยาเป็นร้อยเท่า!”
จิ้งหวั่นเองก็จำต้องยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ นางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ถูกต้องแล้ว ที่จริงแล้วสิบกว่าปีมานี้ เขากับมารดาเจ้าเป็นสามีภรรยากันเพียงในนาม เขาให้เกียรติมารดาเจ้ามาก แล้วก็รักเจ้ามากเช่นกัน แต่ว่า หากไม่ใช่เขาจับคู่เจ้ากับตงฟางจั๋ว…”
“เรื่องนี้โทษเสด็จพ่อไม่ได้!” ซูหลีรีบพูดขึ้นทันที “ยามนั้นมีพระราชโองการลงมาแล้ว ตงฟางจั๋วเป็นท่านอ๋องที่เสด็จพ่อให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ข้ารู้ว่าเสด็จพ่ออยากให้ข้ามีความสุข! ถึงแม้สุดท้ายจะไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังก็ตาม”
จิ้งหวั่นก้มหน้า ถอนหายใจยาวๆ
ซูหลีถามด้วยความสงสัย “เด็กที่เสด็จแม่ตั้งครรภ์เมื่อสิบแปดปีก่อน น่าจะเป็นหลีซู เช่นนั้นซูหลี…”
“ซูหลีกับหลีซูเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน!” จิ้งหวั่นกล่าวเสียงเบา “ความลับนี้ มีเพียงข้ากับนายหญิงเท่านั้นที่รู้”
“เช่นนั้นเหตุใดซูหลีจึงมาอยู่ในจวนอัครเสนาบดีได้เล่า?” ซูหลีไม่เข้าใจ
“ภูเขาด้านหลังอารามฝอกวงมีบ่อน้ำพุร้อนที่ไม่เหมือนใครอยู่แห่งหนึ่ง เมื่อนำยาที่ถูกปรุงขึ้นเป็นพิเศษไปแช่จะสามารถควบคุมพิษของดอกฉิงฮวาได้” จิ้งหวั่นหอบหายใจ ร่างกายโงนเงนเล็กน้อย ซูหลีรีบเข้าไปประคองนางให้นางพิงตนเอง แล้วพยักหน้าเบาๆ “ข้ารู้ ทุกปีข้าต้องไปที่นั่น เพื่อบรรเทาความเสียหายของเส้นชีพจรที่เกิดจากพิษดอกฉิงฮวา”
“ก่อนนายหญิงจะคลอด นางไปขับพิษเป็นครั้งสุดท้าย คาดไม่ถึงว่ายามเดินทางไปถึงตีนภูเขาฝูซาน กลับพบคนของลัทธิธิดาเทพอยู่ที่นั่น ระหว่างการต่อสู้ ลูกในครรภ์นางได้รับการกระทบกระเทือน พวกข้าหนีเข้าไปในศาลเจ้าผุพังแห่งหนึ่ง บังเอิญพบหมอตำแยกำลังทำคลอดให้หญิงนางหนึ่งพอดี…ลูกของหญิงนางนั้นตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์…”
“ตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์?” ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หญิงนางนั้นทุกข์ใจมาก ไม่นานนายหญิงก็คลอดบุตรสาวออกมาหนึ่งคน แต่อาการเจ็บปวดกลับไม่ได้หายไป หมอตำแยบอกว่าในครรภ์นางยังมีเด็กอีกหนึ่งคน…ตอนนั้น มือสังหารก็ไล่ตามพวกข้ามา!”
ซูหลีตึงเครียด
จิ้งหวั่นหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าต่อ “เพราะสถานการณ์บังคับ ข้าจึงจำต้องแลกเปลี่ยนทารก หญิงนางนั้นพาลูกคนแรกของนายหญิงหนีไปทางประตูหลังอย่างเงียบๆ”
“หญิงนางนั้นก็คือนางหลิ่ว อนุภรรยาของอัครเสนาบดี?”
จิ้งหวั่นพยักหน้า “ยามนั้นพวกข้าไม่รู้ฐานะของนาง คิดเพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ลูกของนายหญิงรอดไปได้ มือสังหารพวกนั้นฝีมือร้ายกาจมาก นายหญิงยังทำคลอดอยู่ ข้ารับมือพวกเขาคนเดียวไม่ไหว หากมิใช่เซ่อเจิ้งอ๋องไม่วางใจตามมาดูทันเวลาพอดี เกรงว่าวันนั้นพวกเราสามคนคงต้องไปเยือนปรโลกแล้ว!”
เรื่องราวทั้งหมดนี้ หากมิใช่ท่านน้าจิ้งหวั่นเล่าเองกับปาก ซูหลีแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริง นางไม่นึกเลยว่าในอดีตเสด็จแม่จะเคยผ่านเรื่องลำบากและอันตรายมามากมายถึงเพียงนั้น!
“หลังจากนั้น พวกข้าก็ทำทุกวิถีทางเพื่อสืบหาที่อยู่ของหญิงที่พวกข้าพบในศาลเจ้าเก่าแห่งนั้น แต่ก็ไร้ผล กระทั่งหลังจากงานคัดเลือกพระชายาในเดือนหกของปีที่แล้วผ่านพ้นไป ข้าได้ยินว่าบุตรสาวแห่งจวนอัครเสนาบดีที่ไม่เคยก้าวออกจากเรือนเหมือนนายหญิงน้อยมาก จึงเกิดสงสัย ลอบสืบอย่างลับๆ จนมั่นใจว่านางก็คือบุตรสาวอีกคนของนายหญิงในที่สุด!”
ซูหลีได้ฟังเช่นนั้น ความรู้สึกนับร้อยพลันประดังประเดเข้ามา นางพูดอะไรไม่ออก
จิ้งหวั่นทอดถอนใจอย่างเจ็บปวด “ยามนั้นข้ายืนสาบานต่อหน้าหลุมศพนายหญิงว่าจะทำให้ความปรารถนาสองข้อของนางให้เป็นจริง หนึ่งในนั้นคือตามหาบุตรสาวอีกคนของนาง ส่วนอีกข้อคือสืบหาความจริงในคดีให้ร้ายและคืนความเป็นธรรมให้แก่เจ้า แต่สืบอย่างไรก็ไม่พบเบาะแส กลับกลายเป็นเจ้า…ที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อตามหาความจริง กระทั่งตามหาคนร้ายตัวจริงจนเจอ!”
จิ้งหวั่นเงยหน้ามองนาง แล้วกล่าวด้วยความเอ็นดู “เจ้าฆ่าจั้นอู๋จี๋ แก้แค้นให้ตนเอง แล้วก็แก้แค้นให้มารดาเจ้าด้วย ความปรารถนาของนางเป็นจริงแล้ว จากนี้ไปเจ้าไม่ต้องโทษตนเองอีก”
ซูหลีกลับหลับตา ก้มหน้าลง นางฆ่าแค่จั้นอู๋จี๋คนเดียว แต่กลับไม่อาจลงมือกับตงฟางเจ๋อ หากวิญญาณของเสด็จแม่อยู่บนสวรรค์จริง จะไม่โทษนางจริงหรือ? หัวใจพลันเจ็บปวดยากจะทานทน นางเบนหน้าหนีเล็กน้อย สูดหายใจลึกๆ แล้วถามว่า “โซ่เหล็กนี้จะปลดออกได้เช่นไร?”
นางพิจารณาดูรอบหนึ่งแล้ว โซ่เหล็กนี้แข็งแรงมาก หากคิดจะทำลายคงเป็นไปไม่ได้ รอบข้างไร้ร่องรอยคนในลัทธิธิดาเทพ จึงไม่อาจเค้นถามได้ว่ากุญแจอยู่ที่ใด
ใบหน้าของจิ้งหวั่นหม่นหมอง นางกุมมือซูหลี กล่าวว่า “ข้าไปจากที่นี่ไม่ได้แล้ว” นางก้มหน้ามองขาตนเอง ใบหน้าเศร้าโศกอย่างไม่อาจบรรยาย ซูหลีตกใจ ยื่นมือไปลูบขาของนางโดยสัญชาตญาณ ร่างกายสั่นสะท้าน นางเงยหน้าขึ้นด้วยความปวดใจ และแทบไม่อยากเชื่อ!
จิ้งหวั่นกลับกล่าวอย่างใจเย็น “วันที่สามที่ข้าถูกจับตัวกลับมา ก็ถูกตีขาจนกระดูกแหลกละเอียดแล้ว ยามนี้เป็นเพียงคนพิการ ไปไหนไม่ได้อีกแล้ว”
“เป็นฝีมือผู้ใด?” ซูหลีกำหมัดแน่น น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ขอบตากลับแดงก่ำอย่างไม่อาจควบคุม นางไม่อยากจินตนาการเลยว่าท่านน้าจิ้งหวั่นผ่านช่วงเวลาอันโหดร้ายในสามเดือนนี้มาได้เช่นไร!
จิ้งหวั่นส่ายหน้า “เจ้าไม่ต้องแก้แค้นให้ข้า ตั้งแต่ที่ข้าตัดสินใจติดตามนายหญิงไปจากที่นี่ ข้าก็คิดไว้แล้วว่าต้องมีจุดจบเช่นไร นี่ไม่ใช่จุดจบที่เลวร้ายที่สุด เพราะถึงอย่างไรข้าก็มีชีวิตอย่างสงบสุขมาได้ตั้งสิบกว่าปี เพียงเสียดาย เขา…” จิ้งหวั่นหลุบตา นางหยุดพูด ไม่นานน้ำเสียงก็เปลี่ยนไป “เจ้ามานี่”
ซูหลีรับคำแล้วขยับเข้าไปหานาง จิ้งหวั่นบอกให้นางหมุนกาย ซูหลีทำตามอย่างว่าง่าย จิ้งหวั่นพลันพลิกฝ่ามือทั้งสองข้างแนบชิดแผ่นหลังของนาง พลังงานร้อนรุ่มขุมหนึ่งถูกขับออกมาจากฝ่ามือของจิ้งหวั่น ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของซูหลี ซูหลีสั่นสะท้านไปทั้งตัว ครั้นตระหนักได้ ซูหลีก็รีบร้องห้าม “ท่านน้าจิ้งหวั่น ท่านจะทำอะไร? รีบหยุดเร็วเข้า!”
“อย่าขยับ!” จิ้งหวั่นกล่าวเสียงเกรี้ยว “มิเช่นนั้นพวกเราจะตายกันทั้งสองคน”
ซูหลีหลับตาทันที นางแตกตื่นลนลานแต่ไม่อาจขยับเขยื้อน
เวลาชั่วก้านธูปผ่านไป พลังงานที่ถูกถ่ายเทมาจากข้างหลังเริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ ในที่สุดจิ้งหวั่นก็หดมือกลับไป นางหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า ล้มลงไปกองกับพื้น พลังชีวิตไม่หลงเหลือแล้ว
…………………………………………………….