กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 313 รักร้าวใจสลาย (ตอนจบ) (9)
ซูหลีไม่แม้แต่จะหันไปมองเขา แผ่นหลังเหยียดตรง ยามนี้ซูฉุนออกจากเมืองหลวงไปแล้ว สำหรับนาง สกุลซูไม่มีผลใดๆ กับนางอีกแล้ว
ซูเซียงหรูโกรธจนตัวสั่น เงื้อมือหมายจะตีนาง สายตาซูหลีขรึมลง ไม่รอให้นางขยับ แขนของซูเซียงหรูก็ถูกคนคว้าไว้ก่อน
“ท่านอัครเสนาบดีซูโปรดระงับโทสะ!” หลางฉ่างกล่าวเสียงเรียบ น้ำเสียงกลับแฝงความเย็นชาเอาไว้ลึกๆ
ซูเซียงหรูขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างไม่พอใจ “องค์รัชทายาทแคว้นติ้งโปรดปล่อยพระหัตถ์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะสั่งสอนบุตรสาวเหิมเกริมผู้นี้!”
“ท่านไม่คู่ควรที่จะเป็นบิดานาง!”
“ว่าอย่างไรนะ?” ซูเซียงหรูเบิกตากว้าง คิดว่าตนเองฟังผิดไป
“หากข้ายังอยู่ ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามแตะต้องนาง! มิเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นศัตรูกับแคว้นของข้า!” ใบหน้าของหลางฉ่างยังคงดูอบอุ่นอ่อนโยนดังเช่นยามปกติ ทว่าครั้นถูกสายเรียบเฉยของเขาตวัดมอง ก็อดตัวสั่นไม่ได้
ซูเซียงหรูทั้งตกใจระคนโกรธเกรี้ยว ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ นึกไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทแคว้นติ้งจะกล้าวางตัวเย่อหยิ่งเช่นนี้ในพระราชวังแคว้นเฉิง! เขาหันไปมองตงฟางเจ๋อ หมายจะร้องขอความเป็นธรรมจากเขา กลับค้นพบว่าสายตาของตงฟางเจ๋อที่มองมาเย็นชายิ่งกว่าหลางฉ่างเสียอีก ซูเซียงหรูตัวสั่นสะท้าน ได้ยินเพียงตงฟางเจ๋อกล่าวว่า “นางเป็นคนของข้า ดีหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นสั่งสอน! ท่านถอยออกไปก่อน”
ทุกคนตกตะลึง ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ซูเซียงหรูอ้าปากค้าง สีหน้าเหมือนกลืนแมลงวันลงไป เดิมหมายจะสั่งสอนซูหลีเพื่อบรรเทาความโกรธของเขา นึกไม่ถึงกลับได้ผลตรงกันข้าม ใบหน้าชราแดงก่ำด้วยความอับอาย
หลางฉ่างยอมปล่อยมือในตอนนี้เอง ซูเซียงหรูก้าวถอยหลังช้าๆ ในใจหงุดหงิดยากจะสงบ ทำได้เพียงถลึงตาจ้องซูหลีอย่างโกรธขึ้ง
“ดี! ซูหลี เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก!” ฮ่องเต้หน้าเรียบนิ่งดั่งผิวน้ำ ไอสังหารพาดผ่านดวงตา ซูหลีสบตาเขาอย่างเย็นชา ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น นางไม่เคยลืมว่าวันนั้นที่ตงฟางจั๋วก่อกบฏไม่สำเร็จแล้วจับนางเป็นตัวประกัน ฮ่องเต้ทำกับนางที่ช่วยชีวิตเขาไว้อย่างไร!
ในเมื่อฮ่องเต้จิตใจอำมหิตโหดเหี้ยมไม่สำนึกบุญคุณคน แล้วนางจะกลัวอะไรให้มากมาย
ฮ่องเต้หันไปมองตงฟางเจ๋อ ตำหนิเสียงเกรี้ยว “เจ้าอีกคน ช่างเป็นโอรสที่แสนดีของข้าจริงๆ!”
ตงฟางเจ๋อไม่มองเขา เพียงกล่าวกับจั้นอู๋จี๋ด้วยเสียงเย็นเยียบ “ปล่อยฝ่าบาทเสีย แล้วข้ารับปากจะปล่อยเจ้าออกจากวังหลวงอย่างปลอดภัย”
จั้นอู๋จี๋กล่าว “ข้าไม่เชื่อ พวกเจ้าถอยออกไปให้หมด หลังออกจากวังแล้วข้าจะปล่อยเขาเอง”
วาจาของเขายิ่งไม่มีผู้ใดเชื่อ ออกจากวังไปแล้ว ฮ่องเต้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน ไม่ว่าใครก็รู้ แต่ตงฟางเจ๋อก็ยังลากซูหลีให้ถอยหลัง
กริชในมือจั้นอู๋จี๋จ่ออยู่ที่คอของฮ่องเต้ ขอเพียงแทงลึกเข้าไปอีกครึ่งนิ้ว ฮ่องเต้ก็จะสิ้นลมทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
“ฮ่าๆๆๆ” จั้นอู๋จี๋หัวเราะเสียงดังอย่างย่ามใจ เขาจับตัวฮ่องเต้แล้วเดินลงจากที่นั่งสูงสุด
ซูหลีตึงเครียด มองดูเขาเดินออกจากประตูไปทีละก้าวๆ นางกลับไม่ขัดขวางทันที เพียงมองดูเขาอย่างเย็นชา แล้วกล่าวเสียงแช่มช้าทว่าหนักแน่น “อย่าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะรักษาชีวิตของเจ้าไว้ได้ วันนี้ ในพระราชวังแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดขัดขวางความตั้งใจของข้าที่จะสังหารเจ้าได้!”
นิ้วมือเรียวบางพลันกำเข้าหากันแน่น ไอพิฆาตอันน่าพรั่นพรึงพลันก่อตัวอยู่รอบกายของสตรีร่างบาง ทุกคนต่างพากันตกตะลึง
จั้นอู๋จี๋แค่นเสียง “เจ้ามีวรยุทธ์ดังคาด! แต่ไม่เป็นไร เจ้าต้องการชีวิตข้า ก็ต้องถามตงฟางเจ๋อก่อนว่ายินยอมหรือไม่!”
เขารู้จักวิธียุแยงตะแคงรั่วเป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายที่มันใช้ไม่ได้ผลสำหรับนาง
ซูหลียิ้มเย็น “เขาจะยินยอมหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับข้า? เจ้ามีความแค้นกับฝ่าบาท จะแก้แค้นเขาก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ส่วนข้ามีความแค้นกับเจ้า จะสังหารเจ้าเพื่อแก้แค้น ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลเช่นกัน”
นางหมายจะลงมือ แต่กลับถูกตงฟางเจ๋อรั้งมือไว้แน่นเสียก่อน
“ซูซู!” ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วกล่าว “เจ้าอย่าวู่วาม! นั่นเป็นความแค้นของท่านหญิงหมิงอวี้ ไม่ใช่ความแค้นของเจ้า! หากเจ้าต้องการแก้แค้นให้นาง ภายหน้ายังมีโอกาส”
“ไม่มีโอกาสอีกแล้ว!” ซูหลีถลึงตาจ้องเขา แววเหี้ยมเกรียมในดวงตาพลุ่งพล่านดั่งคลื่นซัดสาด! จั้นอู๋จี๋แฝงตัวอยู่ในแคว้นเฉิงมานานหลายปี ความสามารถของเขาไม่อาจดูเบาได้ หากวันนี้ปล่อยให้เขาหนีออกจากวังไปได้ เขาจะต้องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแน่นอน! ภายหน้าหากอยากแก้แค้นอีก ก็คงไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว
ซูหลีถลึงตาจ้องเขา สายตาเจ็บปวดและตกใจของเขาเหมือนสว่านน้ำแข็งที่เจาะลึกลงไปกลางใจนาง ซูหลีไม่ยอมประนีประนอม แม้แต่ฮ่องเต้ที่เป็นบิดาผู้ไร้หัวใจ เขายังห่วงใยถึงเพียงนี้ แล้วความอัปยศและการตายอย่างน่าอนาถที่นางเคยประสบเล่า ยังมีเสด็จแม่ผู้เป็นที่รักของนางที่ต้องตายตาไม่หลับอีก แค้นนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก วันนี้นางจะต้องแก้แค้นให้ได้ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามนางไม่ได้!
“ตงฟางเจ๋อ ข้าไม่ฆ่าท่านเพราะเห็นแก่เรื่องในอดีตของเรา แต่หากท่านยังดึงดันจะห้ามไม่ให้ข้าสังหารจั้นอู๋จี๋เพื่อแก้แค้น ข้าก็จะไม่ปล่อยท่านไปเช่นกัน!” นางกล่าวออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะสะบัดมือเขาออกอย่างเย็นชา และในยามนี้เอง จั้นอู๋จี๋ก็ได้เดินออกจากประตูตำหนักภายใต้การคุ้มครองขององครักษ์ประจำกายเขา
ด้านนอกเป็นสวนด้านหน้าของตำหนักบูรพา พื้นที่กว้างขวาง มีประตูอยู่ทั้งสามทิศ เนื่องจากเป็นห่วงความปลอดภัยของฮ่องเต้ เซียวฟั่งทำได้เพียงตะโกนสั่งทหารให้ถอยไปด้านหนึ่ง
จั้นอู๋จี๋จับตัวฮ่องเต้ เดินไปทางประตูใหญ่บานที่อยู่ข้างหน้าทีละก้าวๆ
สายตาซูหลีตึงเครียด รอช้าไม่ได้แล้ว นางหันมองเซี่ยงหลี แล้วโบกมือเบาๆ คำสั่งถูกถ่ายทอดออกไปอย่างไร้เสียง คุณชายเจ้าสำราญที่เป็นรู้จักกันดีทั่วเมืองหลวง พลันพุ่งทะยานออกไปดุจลูกธนูที่พุ่งออกจากเกาทัณฑ์ ไปยืนขวางอยู่หน้าประตูหลักในพริบตา
เร็วมาก! แทบมองตามไม่ทันว่าเขาไปโผล่อยู่ตรงนั้นได้อย่างไร ทุกคนปิดปากอย่างตกตะลึง
ซูหลีเดินตามเขาออกไปนอกตำหนัก ตงฟางเจ๋อที่มีสายตาเคร่งขรึมเดินตามนางไปด้วย ผ่านไปไม่นาน ผู้คนในตำหนักต่างพากันกรูออกมา
เซี่ยงหลียืนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่สีแดงชาดที่เปิดกว้าง ยังคงมีใบหน้างดงามทว่าเกียจคร้านดังเดิม เรือนร่างสูงยืนหลังตรง ในมือถือพัดที่พับไว้ ท่าทางเจ้าสำราญ แต่ว่าคุณชายเจ้าสำราญเช่นเขากลับมีสายตาเย็นชาจนน่าตกใจ รอบกายยิ่งมีไอพิฆาตที่คนทั่วไปไม่มีแผ่กำจายอยู่ ทำให้จำต้องชะงักฝีเท้าอย่างเลี่ยงไม่ได้
จั้นอู๋จี๋ขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ข้าไม่มีความแค้นกับเจ้า”
เซี่ยงหลีหัวเราะ แล้วเอ่ยว่า “เจ้ามีความแค้นกับเจ้าสำนักของเรา!”
“เจ้าสำนัก?” จั้นอู๋จี๋อึ้งงัน
เซี่ยงหลีไม่ตอบ นัยน์ตางดงามไร้ที่เปรียบในยามปกติ ยามนี้กลับเต็มไปด้วยไอสังหาร เขาโบกพัดในมือเบาๆ ไอเย็นพลันแผ่กำจาย
จั้นอู๋จี๋รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี เขาถอยหลังสองก้าวอย่างระแวดระวัง องครักษ์ชุดดำรีบเข้ามาปกป้องด้านหน้าเขา จั้นอู๋จี๋ไม่ยอมเสียเวลา หมุนกายเดินไปทางประตูด้านซ้าย ซูหลีโบกมืออีกครั้ง เจียงหยวนเคลื่อนไหวรวดเร็วราวอสนีบาต เหินทะยานผ่านเหนือศีรษะกลุ่มคน ก่อนจะทิ้งกายลงตรงหน้าประตูข้างซ้ายอย่างรวดเร็ว
ไอสังหารอันเย็นยะเยือกแผ่กำจายรอบกายเขาไม่ต่างจากเซี่ยงหลี
สายตาจั้นอู๋จี๋ไหวระริก ลางสังหรณ์ร้ายพลันผุดขึ้นมา ครั้งนี้เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงหมุนกายเดินไปทางประตูข้างขวาอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันก้าวเท้า หวั่นซินก็ถือกระบี่ยืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว นางสวมหน้ากากสีเงินซึ่งทำจากวัสดุพิเศษ ครั้นต้องแสงอาทิตย์ ก็เกิดเป็นประกายแสงเย็นเยียบดั่งหิมะ
ครั้นเห็นหน้ากากนั้น จั้นอู๋จี๋ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาอดหลุดปากร้องออกมาอย่างตกตะลึงไม่ได้ “นักฆ่าของสำนักเฉินเหมิน…พวกเจ้าเป็นสี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักเฉินเหมิน?!” องครักษ์ที่ยืนปกป้องเขาอยู่ข้างหน้าได้ยินก็หน้าถอดสี ตัวสั่นสะท้านทันที
“ตาดีนี่!” เซี่ยงหลีหัวเราะ มือสะบัดพัดไปมาเบาๆ วาจาที่กล่าวออกมากลับทำให้คนฟังเหงื่อตก “พวกข้าสามคนยังไม่เคยร่วมมือกันต่อสู้กับใครมาก่อน จั้นอู๋จี๋ ถือเป็นโชคดีของเจ้าแล้วละ”
ทุกคนเบิกตาค้างด้วยความตกตะลึง เหล่าขุนนางต่างไม่อยากเชื่อว่าเซี่ยงหลี คุณชายเจ้าสำราญที่เคยพูดคุยทักทายกับพวกเขาบ่อยๆ จะเป็นนักฆ่าที่น่ากลัวที่สุดในสำนักเฉินเหมิน! ยามนี้เมื่อมองดูรอยยิ้มบนใบหน้าเขาอีกครั้ง ก็รู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งหัวใจ และอดตัวสั่นไม่ได้
……………………………………………………..