กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 311 รักร้าวใจสลาย (ตอนจบ) (7)
“เซ่อเจิ้งอ๋องไม่จำเป็นต้องโทษตนเอง พวกเขาสองพี่น้องมีใจคิดแก้แค้น แฝงตัวอย่างแนบเนียน เตรียมการมานานหลายปี ระหว่างนั้นไม่เคยเคลื่อนไหวใดๆ เลย ไม่ถูกจับได้ก็เป็นเรื่องปกติเพคะ” ครั้นเห็นบิดาเสียใจ ซูหลีก็อดกล่าวปลอบใจไม่ได้ เหลียนเอ๋อร์ตามรับใช้นางมานานหลายปี ไม่เผยช่องโหว่ใดๆ ให้เห็น แม้แต่นางเองก็ยังไม่เคยรู้สึกถึงจิตใจที่ไม่ซื่อตรงของเหลียนเอ๋อร์
หลีเฟิ่งเซียนส่ายหน้าอย่างเสียใจ “เช่นนั้นตอนนี้เหลียนเอ๋อร์อยู่ที่ใด?”
“ตายแล้วเพคะ”
‘เพล้ง’ เสียงแก้วชาบนโต๊ะของจั้นอู๋จี๋แตกทันที น้ำชาหกลงบนพื้น
ทั่วตำหนักใหญ่มีกลิ่นอายบางอย่างไหลวนอยู่ในอากาศ พริบตาเดียวก็แผ่ปกคลุมไปทั่ว
ทุกคนตื่นตะลึง
ซูหลีกลับเงยหน้าแล้วยิ้ม “แฝงตัวมานานหลายปี อดทนกล้ำกลืน ข้าก็นึกว่าท่านมีความอดทนสูงนัก ที่แท้ก็เท่านี้เอง!” รอยยิ้มของนางเย็นชาดังน้ำแข็ง สาวเท้าเดินไปหาจั้นอู๋จี๋
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้ว เดินตามนางไปโดยสัญชาตญาณ
หลางฉ่างเองก็เดินไปยืนข้างนางอย่างอดไม่ได้ สายตาที่เดิมอ่อนโอนยามนี้กลับเย็นชาบีบคั้นผู้คน จดจ้องจั้นอู๋จี๋ราวกับคนผู้นี้คือศัตรูที่สังหารครอบครัวตนเองเช่นกัน และอยากจับเขาฉีกร่างเป็นชิ้นๆ เสียเดี๋ยวนี้
ขณะที่ทุกคนยังตั้งสติไม่ได้ ซูหลีกัดฟันกล่าวต่อทีละคำๆ “คนในครอบครัวต้องตายเพราะท่าน ท่านคงทุกข์ใจมาก จนไม่อาจควบคุมตนเอง ใช่หรือไม่ แม่ทัพจั้น? อ้อไม่สิ หรือข้าควรเรียกท่านว่า…องค์รัชทายาทแห่งแคว้นหวั่น?!”
ครั้นวาจานี้กล่าวออกไป เสียงฮือฮาดังระงมไปทั่วทั้งตำหนัก วันนี้มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน เหนือเรื่องไม่คาดฝันยังมีเรื่องที่ไม่คาดฝันอยู่อีก ใบหน้าของทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด ต่างหันมามองเขาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
เด็กชายใช้ชื่อเป็นแซ่ รวมอักษรคำว่า ‘จั้น (占)’ และ ‘เกอ (戈)’ เป็นคำว่า ‘จั้น (战)’ ยามนี้อยู่ในตำหนัก หากไม่ใช่แม่ทัพทหารม้าจั้นอู๋จี๋แล้วจะยังเป็นผู้ใดได้อีก?
ใบหน้าของฮ่องเต้บึ้งตึงสุดขีด สายตาคมปลาบเหมือนมีดจดจ้องใบหน้าที่ซีดเผือดในพริบตาของจั้นอู๋จี๋ ขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนัก นอกจากหัวหน้าองครักษ์เซียวฟั่งแล้ว คนที่เขาเชื่อใจมากที่สุด ก็คือคนผู้นี้! ฉะนั้นเขาจึงได้ลดทอนอำนาจทางการทหารของเซ่อเจิ้งอ๋อง แล้วส่งมอบให้คนผู้นี้ดูแลต่อทั้งหมด นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้ต่างหากที่เป็นเสมือนหมาป่าโฉดชั่ว!
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดสิ่งใดอยู่กันแน่!” จั้นอู๋จี๋รีบปิดบังอารมณ์ทั้งหมด แล้วรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เขาเงยหน้าอย่างเย่อหยิ่ง กล่าวตำหนิเสียงเกรี้ยว “สตรีเสียสตินางนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมาย นางทำได้ทุกวิถีทาง! เรื่องราวบ้าบิ่นเช่นนี้เจ้าก็ยังแต่งขึ้นมาได้!”
ถูกเขาด่าว่าเป็นหญิงเสียสติครั้งแล้วครั้งเล่า ซูหลีไม่โกรธกลับหัวเราะ “ท่านจะไม่ยอมรับก็ได้ แต่ข้ามีหลักฐาน!” นางล้วงของบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วหันไปกล่าวกับฮ่องเต้ “ซูหลีพูดจาเหลวไหลหรือไม่ ทุกคนเพียงดูสิ่งนี้ แล้วพิจารณาด้วยตนเองก็จะรู้เอง ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตรด้วยเพคะ”
หนังสือโบราณเล่มหนึ่งถูกนางประคองไว้ในมือ ใบหน้าของจั้นอู๋จี๋เย็นชา จ้องมองนางอย่างสงสัย สายตาไหวระริกเล็กน้อย
โจวกงกงที่ยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้รับหลักฐานนั้น แล้วน้อมส่งให้ฮ่องเต้ ฮ่องเต้พลิกดู ก็เห็นภาพนกนางแอ่นที่อยู่ในท่วงท่าอันโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์
ซูหลีเอ่ยอย่างใจเย็น “หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่จวนท่านหญิง ของสิ่งนี้ก็ถูกพบในช่องลับใต้พื้นของเรือนที่องค์หญิงเยวี่ยหยางทรงเคยประทับอยู่ เนื้อหาด้านในบันทึกความลับบางอย่างของราชวงศ์หวั่นที่ไม่มีผู้ใดรู้ หนึ่งในนั้นรวมถึงประโยชน์ที่แท้จริงของศิลาเลือดนกเพลิง แล้วยังมีรอยสักที่เป็นสัญลักษณ์เฉพาะของราชวงศ์หวั่น ‘นกนางแอ่นกางปีก’ อีกด้วยเพคะ! และสีของรอยสักนกนางแอ่นชนิดนี้ก็พิเศษมาก เมื่อใดที่สักลงบนผิวหนัง ก็จะไม่สามารถลบได้ตลอดชีวิต”
“แล้วอย่างไร? นกนางแอ่นเป็นสัตว์ที่ถูกแคว้นเล็กๆ ตามชายแดนยกย่องว่าเป็นสัตว์มงคล ใต้หล้าย่อมรู้โดยทั่วกัน เจ้าเอาหนังสืออะไรไม่รู้ออกมา จะสามารถพิสูจน์อะไรได้?” จั้นอู๋จี๋แค่นเสียงเย็นชา คล้ายไม่กังวลใจเลยสักนิด
ซูหลีไม่มองหน้าเขาแม้แต่น้อย เพียงกล่าวต่อว่า “ซูหลีตามหาสาวรับใช้ที่เคยปรนนิบัติองค์หญิงเยวี่ยหยาง และยืนยันแล้วว่าบนแผ่นหลังขององค์หญิงเยวี่ยหยางมีรอยสักนี้อยู่จริง! ในหนังสือบันทึกไว้ว่า สมาชิกราชวงศ์หวั่นไม่ว่าหญิงหรือชาย ในวันที่มีอายุครบเดือนจะต้องสักรอยสักนี้บนตัวเพื่อแสดงถึงฐานะอันสูงส่ง ฉะนั้นขอเพียงตรวจสอบว่าบนกายจั้นอู๋จี๋มีรอยสักนี้อยู่หรือไม่ ก็จะพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ซูหลีพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่!”
“เจ้าจะให้ข้าเปลื้องผ้าต่อหน้าธารกำนัล?!” จั้นอู๋จี๋หน้าบึ้งสุดขีด เพลิงโทสะแผ่กำจายรอบกายทันที
ซูหลียิ้มเย็น “ท่านไม่กล้าหรือ?”
สายตาสงสัยของฮ่องเต้ตวัดมองมาดังมีดอันคมปลาบ จั้นอู๋จี๋ขมวดคิ้ว กล่าวอย่างดูแคลน “เจ้าอยากเห็นเรือนร่างของบุรุษ ก็ไม่เห็นต้องพูดจาฟังดูดีแต่กลับทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้เลย!”
ซูหลีเอ่ยด้วยใบหน้าจริงจัง “ในเมื่อแม่ทัพจั้นมั่นใจถึงเพียงนี้ เช่นนั้นท่านกล้าถอดเสื้อตัวบน ให้ทุกคนพิสูจน์ฐานะของท่านหรือไม่เล่า?”
“ในเมื่อแม่ทัพจั้นบอกว่าตนเองไม่ใช่รัชทายาทแคว้นหวั่น เหตุใดไม่ฉวยโอกาสนี้พิสูจน์ตนเองเล่า?” น้ำเสียงเย็นเยียบดังสายน้ำของหลีเฟิ่งเซียนกล่าวเสริมขึ้น
สายตาของจั้นอู๋จี๋เย็นชา แค่นเสียงกล่าวว่า “พวกท่านคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ?” เอ่ยจบเขาก็กัดฟัน จ้องหน้านางอย่างชิงชัง ปลดสายคาดเอว และถอดเสื้อตัวบนออกจริงๆ
ร่างกายท่อนบนอันสมบูรณ์แบบของบุรุษเพศเผยสู่สายตาทุกคน แขกหญิงสาวในงานต่างหวีดร้องตกใจ รีบยกมือปิดตา
ฝึกยุทธ์มานานหลายปี ร่างกายของจั้นอู๋จี๋กำยำแข็งแกร่ง กล้ามเนื้อเบียดแน่น เอวสอบกำลังดี เรียกได้ว่ามีสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ แขกหญิงสาวหลายคนอดแหวกนิ้วแอบชำเลืองมองไม่ได้ แม้แต่ใบหน้าของหยางเสวียน ก็ดูวอกแวกเล็กน้อย มีเพียงซูหลีที่จ้องมองแผ่นหลังอันเปลือยเปล่าของเขาอย่างตรงไปตรงมา
ผิวสีเข้ม ไร้ซึ่งรอยด่างพร้อย ยิ่งไม่มีร่องรอยของรอยสักนกนางแอ่นที่นางพูดถึงสักนิด
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงม สายตาสงสัยตวัดมองมาที่นางเหมือนหิมะในฤดูหนาว
ฮ่องเต้หันมาจ้องซูหลีด้วยสายตาเย็นชา
ซูหลีไม่พูดอะไร และไม่ได้ละสายตาออกไป
“มองพอหรือยัง? ช่างหน้าไม่อายนัก!” จั้นอู๋จี๋หันกลับมาหัวเราะเยาะ สีหน้าเกลียดชัง เต็มไปด้วยความดูแคลน หมายจะสวมเสื้อ ซูหลีพลันหยิบน้ำชาบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ มาสาดใส่แผ่นหลังของบุรุษตรงหน้าอย่างไม่มีสัญญาณเตือน
จั้นอู๋จี๋หน้าพลันเปลี่ยนสี ไอพิฆาตพาดผ่านดวงตา เขาหมายจะดึงเสื้อขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำชาสาดโดนแผ่นหลังตนเอง ทว่ากลับถูกซูหลีกำข้อมือไว้
ซูหลีหัวเราะเย็นชา “ท่านแม่ทัพร้อนใจอันใดกัน?!”
จั้นอู๋จี๋สะบัดมือนางออก แต่กลับไม่เป็นผล อดตกใจไม่ได้ จึงตำหนิเสียงเกรี้ยว “เจ้าไม่เพียงเป็นสตรีเสียสติ ยังเป็นสตรีเสียสติที่ไร้ยางอายอีกด้วย!” เอ่ยจบก็พลิกข้อมือ ซัดฝ่ามือที่แฝงคลื่นพลังมหาศาลใส่หน้าอกของนางทันที
ทุกคนตื่นตกใจ พากันหลบหลีกออกสองข้างทาง สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริก หมายจะลงมือ กลับเห็นซูหลีหลบหลีกออกไปอย่างรวดเร็ว นางเอื้อมมือซ้ายออกไปดึงเสื้อของจั้นอู๋จี๋ ได้ยินเสียงเสียง ‘แควก’ เสื้อของจั้นอู๋จี๋พลันฉีกขาด แผ่นหลังที่เพิ่งถูกบดบังเมื่อครู่ปรากฏสู่สายตาอีกครั้ง
ครั้นทุกคนเห็น สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน พวกเขาร้องออกมาอย่างตกตะลึง เห็นเพียงแผ่นหลังที่เมื่อครู่ยังเกลี้ยงเกลาไร้รอยขีดข่วน ยามนี้กลับมีนกนางแอ่นหลากสีในท่ากางปีกพร้อมโบยบินอยู่บนนั้น
ทุกคนสูดหายใจด้วยความตกใจ เบิกตากว้าง ตะลึงพรึงเพริดจนพูดอะไรไม่ออก
เรื่องจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า พิสูจน์คำพูดเมื่อครู่ของซูหลี
ทั่วทั้งตำหนัก เงียบสงัดไปในชั่วพริบตา เงียบราวกับป่าช้าก็มิปาน
สายตาของฮ่องเต้พลันตึงเครียด เขาลุกพรวด ยังไม่ทันเปิดปากพูดอะไร เห็นเพียงเงาร่างของคนตรงหน้าโฉบไหวเข้ามาพร้อมกับประกายดาบ ในเสี้ยววินาทีที่ทุกคนกำลังตกตะลึง คมมีดมาจ่ออยู่ตรงคอของฮ่องเต้ด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
ไอสังหารอันเย็นยะเยือกแผ่ปกคลุมไปทั่วตำหนักใหญ่ จั้นอู๋จี๋ที่ถูกบีบให้จนตรอก กลับเลือกที่จะจับตัวฮ่องเต้เป็นตัวประกัน!
…………………………………………….