กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 228 ถูกกักบริเวณ! (2)
หนึ่งในสองคนนั้นเห็นเงาร่างสีดำสายนั้นพลันตวาดถามเสียงต่ำ “ใครน่ะ?” จากนั้นก็เงียบไป คนผู้นั้นคล้ายล้วงป้ายชื่อแผ่นหนึ่งออกมาแสดงตรงหน้าเขา ทหารยามไม่ถามมากความอีก เพียงเปิดประตูที่ปิดสนิทออก แล้วถอยไปยืนอีกด้าน
ทอดมองจากที่ไกลๆ คนผู้นั้นเหมือนภูตผี สาวเท้าเดินเข้าไปในประตูตำหนักอย่างรวดเร็ว
ตงฟางเจ๋อนัยน์ตาเคร่งเครียด โอบกายซูหลีเหินขึ้นไปบนหลังคา แล้วค่อยๆ หยิบกระเบื้องแผ่นหนึ่งออกอย่างระมัดระวัง ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ สามารถมองเห็นเหตุการณ์ในตำหนักได้อย่างทั่วถึงพอดี
ในฤดูกาลที่ใกล้ถึงต้นฤดูหนาว ในเรือนแห่งนี้กลับไม่มีเตาไฟทำความอุ่นแม้แต่เตาเดียว อุณหภูมิในห้องแทบไม่ต่างจากข้างนอก สายลมหนาวพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างผุพังระลอกแล้วระลอกเล่า บนเตียงไม้เก่าๆ มีสตรีเรือนร่างผอมบางผู้หนึ่งนอนขดตัวอยู่ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าซูบซีด มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน อาภรณ์หุ้มกายของนางบางเบา นางห่มผ้าห่มเก่าๆ ที่มีสำลีโผล่ออกมา หลับลึกอยู่บนนั้น บางครั้งก็ละเมออย่างหวาดกลัวออกมาว่า “อย่า อย่าตีข้า!”
ผู้มาหยุดอยู่หน้าเตียง เอ่ยเสียงขรึม “อวิ๋นฉี่หลัว ตื่นเร็วเข้า เจ้าดูนี่สิ ข้าเอาอะไรมาให้เจ้า?” ฟังจากเสียง เป็นสตรีนางหนึ่ง
ซูหลีสะท้านใจ เสียงนี้คุ้นหูมาก ราวกับเคยได้ยินที่ไหนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขณะกำลังครุ่นคิดอย่างละเอียด ได้ยินเพียงตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเย็น “เป็นคนของนาง” น้ำเสียงของเขามั่นอกมั่นใจ คล้ายมั่นใจในฐานะของคนผู้นี้
สัมผัสได้ถึงความสงสัยในใจนาง เขากล่าวเสียงเบา “ชุนหรง” ซูหลีพลันกระจ่าง คนผู้นี้คือนางกำนัลที่ดูแลความเรียบร้อยในตำหนักฉางชุนของฮองเฮา เพราะไม่ใช่คนที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย จึงไม่คุ้นตานัก เข้าวังหลายครั้ง ก็เคยเห็นนางเพียงสองครั้ง นึกไม่ถึงว่านางกำนัลที่ไม่เป็นที่สะดุด กลับเป็นคนที่ฮองเฮาไว้วางใจที่สุด
เห็นเพียงนางหิ้วตะกร้ามา แล้วหยิบของสิ่งหนึ่งออกมา ก่อนจะขยับเข้าไปตรงหน้าอวิ๋นฉี่หลัว เสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่เปิดออก เผยให้เห็นชายกระโปรงสีสว่าง ลวดลายประณีตงดงาม เห็นได้ชัดว่าเป็นของใหม่
คนที่อยู่ในตำหนักเย็นมานานหลายปี กินไม่อิ่มท้องขาดแคลนอาภรณ์ห่อหุ้มกาย ไร้คนถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ไม่ได้ดีไปกว่าขอทานข้างถนนมากนัก อาหารที่ผ่านการปรุงอย่างประณีตตรงหน้ากำลังส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ สำหรับคนที่กำลังหิวโหย อาหารนั้นมีแรงดึงดูดมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย
เดิมอวิ๋นฉี่หลัวหลับตาสนิท ครั้นจมูกสูดหายใจขึ้นลง ก็พลันเด้งตัวขึ้นมานั่งบนเตียง ดวงตาจ้องเขม็งไปยังชามข้าวชามนั้น ท่าทางจ้องเขม็งนั้นดูต่างจากคนปกติทั่วไปมากจริงๆ
คนผู้นั้นหัวเราะเสียงเบา “อยากกินหรือไม่?”
อวิ๋นฉี่หลัวพยักหน้ารัวพลางกลืนน้ำลาย เอื้อมมือออกไปหมายจะหยิบ ทว่ากลับหดตัวกลับไปอีก สายตาที่สะท้อนความหวาดกลัวรางๆ แฝงแววเคลือบแคลง ถึงแม้สมองนางเลอะเลือน กลับรู้ว่าคนตรงหน้าไม่มีทางมอบอาหารให้นางอย่างง่ายดาย
“อยากกินข้าว ก็เอาถุงผ้าต่วนถุงนั้นออกมาให้ข้าเสียดีๆ แล้วภายหน้าข้าจะให้เจ้าได้กินของอร่อยอีกมากมาย” คนผู้นั้นกระตุ้นและล่อลวงสุดความสามารถ
ถุงผ้าต่วน?! ตงฟางเจ๋อกับซูหลีสบตากันทันที อวิ๋นฉี่หลัว มีความลับซ่อนอยู่จริงๆ!
“ให้ข้า เอามาให้ข้า ข้าจะกิน!” กลิ่นหอมของอาหารดึงดูดใจเกินไป อวิ๋นฉี่หลัวทนไม่ไหว ตะโกนเสียงดัง อยู่ๆ ก็กระโดดลงจากเตียงเอื้อมมือไปแย่งชามข้าว คนผู้นั้นเบี่ยงกายหลบหลีก นางแย่งไม่ได้ในคราวเดียว ทำได้เพียงดึงแขนเสื้อของคนผู้นั้นไว้ เห็นอวิ๋นฉี่หลัวร่างกายผ่ายผอม แต่เรี่ยวแรงกลับมหาศาลจนน่าตกใจ นางดึงคนผู้นั้นให้เซเข้ามาหลายก้าว
คนผู้นั้นพลันตกใจระคนโกรธขึ้ง รีบผลักนางออก ชามข้าวในมือหลุดร่วงกระแทกกับพื้นดัง ‘เพล้ง’ แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย น้ำแกงอาหารสาดกระเซ็นเต็มตัวคนผู้นั้น
ครั้นเห็นชามอาหารตกแตกแล้ว อวิ๋นฉี่หลัวพลันร้องไห้เสียงดัง นางนั่งร้องไห้โวยวายอยู่บนพื้น ในค่ำคืนอันเงียบสงัด เสียงนั้นดังชัดเจนเป็นพิเศษ
คนผู้นั้นตกใจ เห็นทหารยามที่อยู่หน้าประตูชะโงกหน้าเข้ามาดูข้างใน ก็อดไม่ได้ที่จะตวัดฝ่ามือตบใบหน้าอวิ๋นฉี่หลัวแรงๆ พลางตวาดเสียงเกรี้ยว “นางแพศยาสมควรตาย! ร้องไห้หาอะไรกัน! วันๆ นอกจากกินก็เอาแต่ร้องไห้! ตัวซวยจริงๆ! ถุย!”
อวิ๋นฉี่หลัวถูกนางตบจนล้มลงไปกับพื้น แต่กลับเหมือนเด็กที่ไม่รู้ความคนหนึ่ง ยกมือกุมหน้า ร้องไห้แล้วเข้าไปกระตุกกระโปรงนาง “ข้าหิวเหลือเกิน เจ้าชดใช้น่องไก่ให้ข้าเดี๋ยวนี้ ชดใช้น่องไก่มาให้ข้า!”
สายตาของซูหลีเคร่งเครียดเล็กน้อย เป็นคนในพระราชวังเหมือนกัน กลับถูกปฏิบัติต่างกันราวฟ้ากับเหว สนมที่เคยได้รับความโปรดปราน เมื่อใดที่ไร้ฐานะชื่อเสียง ก็ทำได้เพียงถูกนางกำนัลตัวเล็กๆ คนหนึ่งรังแกอย่างน่าอดสู
“ชดใช้อะไรของเจ้า! หญิงบ้าสมควรตาย! อาภรณ์ที่ฮองเฮาทรงประทานให้ข้าใหม่ถูกเจ้าทำเลอะหมดแล้ว โชคร้ายเสียจริง! ผ้าประเภทนี้เปื้อนน้ำมันแล้วไม่รู้จะซักออกหรือไม่!” นางด่ากราดอย่างโกรธเกรี้ยว ตั้งแต่ที่ถูกส่งตัวให้มาทำเรื่องนี้ นางต้องมาเค้นถามบางสิ่งจากหญิงบ้าผู้นี้ทุกสองสามวัน เค้นถามมานานก็ยังไม่ได้คำตอบ ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก! ในใจพลันบังเกิดความคิดชั่วร้าย สายตาหมุนกลอก หันไปเห็นอาหารที่หกอยู่บนพื้น น่องไก่นึ่งที่ตกอยู่บนพื้น เลอะเต็มไปด้วยเศษฝุ่นดิน
“นี่ไงเล่า น่องไก่ของเจ้า!” พูดไป นางก็ยื่นน่องไก่ไปตรงหน้าอวิ๋นฉี่หลัว มุมปากกระดกยิ้มชั่วร้าย
ครั้นได้ยิน อวิ๋นฉี่หลัวหยุดร้องไห้ทันที สายตาจ้องน่องไก่อย่างเหม่อลอย ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหยิบมายัดใส่ปาก แล้วเคี้ยวอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจว่าน่องไก่จะสกปรกแค่ไหน
“เสียสติไปแล้วดังคาด!” คนผู้นั้นทำสายตารังเกียจ นางมาสิบครั้ง มีเก้าครั้งที่ลงเอยเช่นนี้ ไม่ได้อะไรกลับไปเลย ดูจากสถานการณ์ วันนี้ก็คงต้องกลับไปมือเปล่าอีกแล้ว ก้มหน้ามองดูกระโปรงที่เลอะคราบน้ำแกง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวเสียงเย็นชา “เจ้าค่อยๆ กิน กินหมดแล้ว ก็ค่อยๆ คิดว่าถุงผ้าต่วนใบนั้นอยู่ที่ใดกันแน่ อีกไม่กี่วันข้าจะมาใหม่”
อวิ๋นฉี่หลัวราวกับไม่ได้ยินแม้แต่น้อย ความสนใจทั้งหมดของนางอยู่ที่น่องไก่ในมือ เพียงจ้องเขม็งไปยังเงาร่างที่ค่อยๆ ห่างออกไป แล้วนางก็เคี้ยวอาหารช้าลง สายตาของนางพลันหลุบต่ำลง
มองลงไปจากบนหลังคา แสงสว่างมืดสลัว มีเพียงหน้าต่างผุพังที่ทำให้ห้องแห่งนี้มีแสงสีเงินนวลตาสาดส่องเข้ามา อวิ๋นฉี่หลัวก้มหน้าเล็กน้อย เส้นผมนางยุ่งเหยิง อารมณ์บนใบหน้าไม่ชัดเจน ร่างกายผอมแห้งดูน่าสงสารเป็นพิเศษ
นางนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ไม่รู้เพราะเหตุใด ซูหลีกลับรู้สึกประหลาดออกไป หลังจากที่คนผู้นั้นจากไป อวิ๋นฉี่หลัวคล้ายไม่เหมือนเดิม
ตงฟางเจ๋อเองก็ไม่ขยับ ยังคงสังเกตพฤติกรรมของนางอย่างเงียบงัน
นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง กระทั่งด้านนอกไม่มีเสียงเคลื่อนไหว อวิ๋นฉี่หลัวจึงค่อยๆ ลุกขึ้น นางขมวดคิ้ว กุมหน้าอก คล้ายรู้สึกไม่ดีนัก นางอาเจียนหลายครั้ง คายเนื้อไก่ที่เพิ่งกลืนเข้าไปออกมาจนหมด
นางเดินโซซัดโซเซไปที่โต๊ะเก่าๆ ตัวหนึ่ง เทชาคุณภาพต่ำแก้วหนึ่งมาล้างปากล้างคอ ขาโต๊ะที่ง่อนแง่นสั่นสะเทือนเบาๆ จนเกือบพังเมื่อนางวางแก้วชาลง
น้ำชาเย็นชืดหมดแล้ว นางนำน่องไก่ที่ยังกินไม่หมดมาล้างให้สะอาด ก่อนจะเดินไปนั่งข้างเตียง แล้วค่อยๆ เคี้ยวเนื้อไก่เย็นชืด สายตาที่เดิมทีเหม่อลอยไร้จุดหมาย ยามนี้กลับเต็มไปด้วยแววเจ็บใจและเคียดแค้น
สายลมหนาวพัดผ่าน เสียง ‘ตุบ’ เบาๆ ดังขึ้นพร้อมกันสองเสียง คล้ายเสียงหินตกกระทบพื้นที่ดังคละเคล้ากับเสียงหวีดหวิวของสายลมในค่ำคืนอันเงียบสงัด เบาจนแทบไม่ได้ยิน เพียงพริบตาเดียว ร่างของทหารยามสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็พลันกระด้างแข็ง เปลือกตาค่อยๆ ปิดสนิท ก่อนจะเข้าสู่ห้วงหลับไหลไปตามๆ กัน
………………………………………………………