กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 219 ความคิดของตงฟางเจ๋อ (1)
ตงฟางเจ๋อหมุนกายหันมายิ้มอย่างนอบน้อม “เป็นเพราะเสด็จพ่อทรงพระปรีชา มิเช่นนั้นลูกคงไม่มีโอกาสได้หญิงงามเช่นนี้มาครอง!”
“ดี!” ฮ่องเต้สำราญใจ หัวเราะเสียงดัง เหลียงสือชูและคนอื่นๆ ต่างก็หัวเราะตาม ฮองเฮาและหลีเหยาหันไปมองตงฟางจั๋วแวบหนึ่ง เห็นเพียงเขานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น แผ่นหลังเหยียดตรง สองหมัดกำแน่น สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย ตั้งแต่เล็กเขาไม่ชอบเสแสร้งแกล้งทำ ยามนี้ได้ยินบทสนทนาของฮ่องเต้กับตงฟางเจ๋อ ไม่ว่าอย่างไรก็หัวเราะไม่ออก! เสด็จพ่อที่เคยรักและโปรดปรานเขามาก ยามนี้คงลืมเขาไปจนสิ้นแล้ว! เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะตนเอง สายตาที่อาบไปด้วยความเศร้าโศกทอดมองไปยังสตรีที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดโดยไม่กะพริบตา
จั้นอู๋จี๋มีสีหน้าฉงนฉงาย ตกตะลึงยกใหญ่ คล้ายนึกไม่ถึงว่าซูหลีจะสามารถแสดงผลงานโดดเด่นได้ตั้งแต่ยิงธนูดอกแรก เขานึกว่าสตรีนางนี้อาศัยรูปโฉมและกลอุบายเพื่อให้ได้มาซึ่งความโปรดปรานจากองค์ชายแคว้นต่างๆ นึกไม่ถึงว่านางจะมีความสามารถอยู่จริงๆ
หยางเสวียนอึ้งงัน แววดูแคลนที่เคยมีพลันจางหายไปจากสายตา สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา พี่สี่บอกว่าสตรีนางนี้ไม่ธรรมดา แต่นางก็ยังดูเบาซูหลีเกินไป!
ยื่นมือรับลูกธนูมา ธนูสามดอกพุ่งออกไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ ธงใหญ่หนึ่งผืน ธงกลางสองผืน ธงสีแดงสามผืน ถูกยิงร่วงหล่นพร้อมกัน
“ธนูดี!”
รอบข้างเงียบงันไร้เสียง มีเพียงเสียงตะโกนชื่นชมจากจั้นอู๋จี๋ พาให้ผู้คนรู้สึกแปลกประหลาด ครั้นถูกฮ่องเต้มองด้วยสายตาเย็นชา จั้นอู๋จี๋รีบหุบปาก เสียงฝีเท้าของเหล่าทหารที่ยังคงวิ่งไปมาทั่วสนามคล้ายดังสะท้อนเข้ามาในใจของทุกคน ชวนให้รู้สึกประหม่าตื่นเต้นอย่างห้ามไม่ได้
สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ซูหลี อยากรู้ว่านางจะสามารถยิงธนูทีเดียวสามดอกช่วงชิงความโดดเด่นกลับคืนมาได้หรือไม่ แต่ซูหลีกลับหยิบธนูขึ้นมาเพียงดอกเดียว กลุ่มคนอดไม่ได้ที่จะผิดหวัง ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเบาๆ สายตาขรึมลงสองส่วน
ซูหลีราวกับไม่รับรู้ เล็งไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ ได้ยินเพียงตงฟางเจ๋อส่งเสียงทางลมปราณบอกว่า “ยิงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ตำแหน่งคุน และตำแหน่งตุ้ย”
ธงสามผืนอยู่ในแนวเดียวกัน หนึ่งเล็ก หนึ่งกลาง หนึ่งใหญ่ ถูกธนูลูกเดียวยิงทะลุร่วงลงพร้อมกัน
“ยิงได้ดี!” เสียงร้องยินดีครั้งนี้เป็นของตงฟางจั๋ว ทั้งเศร้าโศกระคนยินดี อารมณ์สับสนซับซ้อน
สายตาของฮ่องเต้เป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง สายตาจดจ้องไปยังสนาม เซียวฟั่งขมวดคิ้ว กวาดตามองตงฟางเจ๋ออย่างแนบเนียน แววตาสงสัยปรากฏ ก่อนจะนิ่งงันครุ่นคิด และเริ่มจับตามองการประลองในสนามอย่างจดจ่อยิ่งขึ้น
หยางเสวียนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ยิงธนูสามดอกติดต่อกัน ได้ธงขนาดกลางมาอีกสามผืน
ซูหลียังคงใช้ธนูดอกเดียว เล็งไปทางทิศตะวันตก หมายจะยิงธงขนาดเล็กที่อยู่ในตำแหน่งตุ้ย ทว่า… ในเสี้ยววินาทีที่ลูกธนูเพิ่งจะพุ่งออกจากมือ หยางเสวียนพลันยิงตามออกไปติดๆ ยิงธนูดอกนั้นของซูหลีตกอย่างไม่คาดคิด หัวธนูพุ่งปักพื้นอย่างแรง ส่วนก้านธนูหักครึ่งตกอยู่อีกด้าน!
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี ตงฟางเจ๋อหรี่ตามองหยางเสวียน ประกายเยือกเย็นพาดผ่านนัยน์ตาลึกล้ำของเขา
จนถึงบัดนี้ จำนวนธงของทั้งสองเท่ากัน จำนวนแต้มตีเสมอกัน
หยางเสวียนเงยหน้ามองซูหลี หัวเราะอย่างเบิกบาน ซูหลีไม่ได้เอ่ยอะไร และไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับแย้มยิ้มบางๆ ให้หยางเสวียน นางรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจใช้กำลังภายในเพื่อเพิ่มความเร็วของธนู ที่แห่งนี้มียอดฝีมืออยู่มากมาย ด้วยฐานะของซูหลี ไม่อาจทำให้ผู้อื่นดูออกว่านางมีวรยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา
ซูหลีใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว นางเอื้อมมือหยิบธนูมาสามดอก ทิศที่เล็งไปเมื่อกี้ ค่ายกลเปลี่ยนตำแหน่งไปแล้ว นางจึงหันธนูไปอีกทิศ ลูกธนูพุ่งออกจากคันศรดังสวบสาบติดกัน ขณะเดียวกันหยางเสวียนก็ง้างธนูตาม สายตาจดจ้องการเคลื่อนไหวของนาง ในเสี้ยววินาทีที่นางปล่อยธนูออกจากคันศร หยางเสวียนก็รีบยิงตามออกไปทันที
ธนูสองดอกตกพื้น หนึ่งดอกยิงโดนธง ถึงแม้เป็นธงผืนใหญ่ แต่มันก็ทำให้ซูหลีขึ้นนำอยู่ดี
หยางเสวียนไม่สนใจซูหลีอีก นางตั้งสมาธิจดจ่อ ธนูแหลมคมถูกยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปไม่นาน ธงสีแดงในสนามถูกยิงร่วงไม่น้อย
ซูหลีทำแต้มตามไปติดๆ ไม่ต้องให้ตงฟางเจ๋อคอยบอก นางอ่านทิศทางของค่ายกลและกฎการเปลี่ยนแปลงออกแล้ว ธนูทุกดอกล้วนสามารถทำคะแนนได้ดีเป็นพิเศษ
ผู้ชมนอกสนามพากันกลั้นหายใจ การประลองคราวนี้เรียกได้ว่าน่าตื่นเต้นมาก ทักษะยิงธนูของหยางเสวียน ทำให้ผู้คนดูออกตั้งแต่แวบแรกว่านางเติบโตมาบนหลังม้าและอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า ล่าสัตว์มานาน ทำให้นางมีสัญชาตญาณอันว่องไวที่คนทั่วไปไม่มี แล้วยังมีความโหดเหี้ยมของนักล่าอีก ผู้ชมในสนามต่างพากันตะลึงงัน ในใจยิ่งคิดเลื่อมใสและชื่นชมในตัวนาง ส่วนทักษะยิงธนูของซูหลี เรียกได้ว่าปรีชาสามารถในหมู่สตรี กระทั่งไม่แพ้บุรุษหลายคนในสนาม แต่ธนูของนางไม่โหดเหี้ยมมากพอ เพราะไร้กำลังภายในคอยช่วย จึงด้อยกว่าองค์หญิงเจาหวาไปหนึ่งขั้น แต่กลับเหนือกว่าเรื่องความมั่นคงและแม่นยำ สร้างความประหลาดใจให้ผู้ชมได้เป็นระยะ
ธูปหมดก้าน การประลองจบลงในที่สุด
ฮ่องเต้ส่งสัญญาณให้หยวนเซี่ยงพาคนไปนับจำนวนธง ครั้นได้ผลลัพธ์ หยวนเซี่ยงเผยสีหน้าประหลาดใจ รีบเดินเข้ามารายงาน “ทูลฝ่าบาท ธงที่องค์หญิงเจาหวายิงได้ มีธงขนาดเล็กสี่ผืน ขนาดกลางสิบผืน ขนาดใหญ่ห้าสิบแปดผืนพ่ะย่ะค่ะ ธงขนาดเล็กเท่ากับห้าคะแนน ธงขนาดกลางเท่ากับสองคะแนน คะแนนรวมที่ทำได้จึงเท่ากับหนึ่งร้อยสิบสองคะแนนพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนตื่นตะลึง ฮ่องเต้สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย การแข่งยิงธงของเหล่าทหารยังไม่เคยมีใครทำคะแนนได้สูงเท่านี้มาก่อน สายตาขรึมลงเล็กน้อย แต่ฮ่องเต้กลับหัวเราะ กล่าวว่า “องค์หญิงเจาหวา เก่งกาจสมค่ำร่ำลือ!”
“ฮ่องเต้กล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ! สตรีแคว้นเปี้ยนเราขี่ม้ายิงธนูตั้งแต่เด็ก ความจริงมีคนอีกมากที่เก่งกาจไม่แพ้เจาหวา เจาหวาเพียงหยิบยืมฐานะองค์หญิง จึงได้มีชื่อเสียงไปทั่วฟ้าเช่นนี้เพคะ!” หยางเสวียนยิ้มอย่างภาคภูมิ ทุกคนได้ยินนางกล่าวเช่นนั้นกลับตกใจ ลอบคิดว่า สตรีแคว้นเปี้ยนยังเก่งกาจถึงเพียงนี้ แล้วบุรุษจะขนาดไหน?
ครั้งที่แล้วองค์ชายสี่หยางเซียวแห่งแคว้นเปี้ยนมาเยือน บุคลิกเหลาะแหละ ท่าทางไม่จริงจัง กอปรกับไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรในแคว้นเฉิง ฉะนั้นคนส่วนมากจึงคิดว่าองค์ชายแบบเขายังได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ได้ ราชวงศ์เปี้ยนคงไร้ทายาทรุ่นเดียวกันคนอื่นแล้วเป็นแน่! ทว่าครานี้องค์หญิงมาเยือน กลับทำให้ผู้คนตื่นตะลึงตาค้าง
ฮ่องเต้สายตาขรึมลงเล็กน้อย พยักหน้ายิ้มพลางกล่าวว่า “การขี่ม้ายิงธนูของแคว้นเปี้ยน เป็นที่ประจักษ์กันทั่วหล้า สตรีแคว้นเฉิงเรา หากเก่งกาจสามารถเยี่ยงชายชาตรีเช่นองค์หญิง ข้าคงหมดห่วง!” ฮ่องเต้คล้ายทอดถอนใจ สายตาทอดมองซูหลีอย่างแฝงความนัย
ซูหลีเงยหน้ามองดูดวงหน้าชื่นมื่นของหยางเสวียน สีหน้าภาคภูมินั้นคล้ายไม่ได้ยิ้มเพราะคำชมที่ฮ่องเต้ชมนาง แต่คล้ายภูมิใจในแคว้นของตนเองมากกว่า
รู้สึกภาคภูมิใจในแคว้นของตนเอง และภาคภูมิใจในสตรีเผ่าเดียวกันที่เก่งกาจกว่านาง ผู้หญิงเช่นนี้ ถึงแม้ไม่ได้เป็นคนจิตใจกว้างขวาง แต่ก็คงไม่ใช่คนใจแคบแน่นอน ทั้งฉลาดและมีความสามารถ โดดเด่นไม่เหมือนใครจริงๆ! ยามนี้ซูหลีเริ่มรู้สึกชื่นชมนางขึ้นมาบ้างแล้ว หันไปมองตงฟางเจ๋อ เห็นเพียงสายตาเขาไหวระริกเล็กน้อย คล้ายอดไม่ได้ที่จะหันไปมององค์หญิงแวบสองแวบเช่นกัน
หยางเสวียนยิ้มร่าอย่างผ่าเผย นางไม่ได้ใส่ใจกับจำนวนตัวเลขที่หยวนเซี่ยงรายงานเท่าไร รู้เพียงว่าหลายปีนี้หากแข่งกันเรื่องขี่ม้ายิงธนู นางไม่เคยพ่ายแพ้สักครั้ง
ฮ่องเต้หันไปมองหยวนเซี่ยง แล้วถามว่า “คะแนนของท่านหญิงหมิงซีเป็นเช่นไรบ้าง?”
หยวนเซี่ยงตอบ “ธงที่ท่านหญิงหมิงซียิงได้ มีธงขนาดเล็กเก้าผืน ขนาดกลางสิบแปดผืน ขนาดใหญ่สามสิบเอ็ดผืน คะแนนโดยรวมเท่ากับ…” หยวนเซี่ยงชะงักมองดูตัวเลขในมือ แล้วก็อึ้งงันไป!
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามอย่างร้อนใจ “เท่าใด?”
“หนี่งร้อยสิบสองพ่ะย่ะค่ะ!”
กลับได้คะแนนเท่าองค์หญิงเจาหวา! ทุกคนตื่นตะลึง ด้วยรู้สึกเหนือความคาดหมาย ต่างพากันมองซูหลีด้วยความตะลึงพรึงเพริด จั้นอู๋จี๋และหยางเสวียนรู้สึกเหนือความคาดหมายกับผลลัพธ์เช่นนี้มากที่สุด คล้ายไม่อยากเชื่อ แม้แต่หวั่นซิน ก็ยังไม่อาจปกปิดสีหน้าตกตะลึงไว้ได้
……………………………………………