กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 206 จู่ๆ ก็มีน้องสาวโผล่มา (2)
“หม่อมฉันอยากไปเยี่ยมเซ่อเจิ้งอ๋อง…ท่านอ๋องเสด็จไปด้วยกันได้หรือไม่เพคะ?” ซูหลีหันไปมองเขา ทอดมองลึกเข้าไปในม่านตาเขา
“ได้สิ”
ตั้งแต่ท่านหญิงหมิงอวี้ตกทะเลสาบตายในวันแต่งงาน จวนเซ่อเจิ้งอ๋องก็มีเรื่องเกิดขึ้นไม่ว่างเว้น จนกระทั่งวันพิจารณาคดีบนตำหนักจินหลวน พระชายารองอวี้ปลิดชีพตนเองต่อหน้าธารกำนัลกลายเป็นข่าวสะเทือนขวัญไปทั้งเมือง อำนาจของจวนในราชสำนักก็ถดถอยลงเรื่อยๆ
ซูหลีกับตงฟางเจ๋อเพิ่งจะเดินเข้าประตูใหญ่ ก็รู้สึกได้แล้วว่าจวนเซ่อเจิ้งอ๋องที่เคยมีรัศมีเรืองรอง ยามนี้กลับมีกลิ่นอายแห่งความเหี่ยวเฉาและรกร้างแผ่ปกคลุมไปทั่ว ไม่ต่างจากความเย็นยะเยือกในฤดูใบไม้ร่วงที่พาให้คนหนาวใจเลยแม้แต่น้อย
ลานบ้านอันกว้างขวาง เงียบเหงาวังเวง เงียบจนเหมือนไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่
พ่อบ้านหลิวนำทางทั้งสองอย่างระมัดระวังมาตลอดทางจนไปถึงห้องโถงใหญ่ จากนั้นก็ออกไปเชิญหลีเฟิ่งเซียนมา บ่าวรับใช้รีบนำชามาถวาย คล้ายเกรงว่าจะละเลยแขก
ยามนี้ทั้งในและนอกราชสำนักต่างรู้ดีว่าเรื่องที่อวี้หลิงหลงลอบทำร้ายท่านหญิงหมิงอวี้ ทำให้เกิดความบาดหมางกันระหว่างจิ้งอันอ๋องตงฟางจั๋วและหลีเฟิ่งเซียน เหล่าขุนนางใหญ่ที่เคยสนับสนุนหลีเฟิ่งเซียนคล้ายรับรู้ได้รางๆ ถึงความเปลี่ยนแปลง จึงไม่มาเยือนที่จวนบ่อยๆ อีก
ยืนอยู่ในห้องโถงด้านหน้า ซูหลีรู้สึกหัวใจสับสนยากบรรยาย แต่ก่อนจวนอ๋องแห่งนี้เคยมีแขกเหรื่อมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย ทว่ายามนี้กลับมีแค่ตนเองกับตงฟางเจ๋อเท่านั้น
สังคมไร้ซึ่งน้ำใจต่อกัน จิตใจคนเราไม่เหมือนในอดีต มีแต่พวกคนต่ำต้อยที่ชอบอิงแอบผู้มีอิทธิพล แล่นเรือไปตามสายลม
ผ่านไปไม่นาน หลีเฟิ่งเซียนค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องโถง ซูหลีเกือบจำไม่ได้แล้วว่าคนผู้นั้นคือเซ่อเจิ้งอ๋องผู้ที่เคยควบม้าบนทะเลทรายอย่างองอาจผ่าเผย! เพียงไม่กี่วัน หลีเฟิ่งเซียนดูซูบซีดลงไปหลายส่วน เส้นผมข้างขมับขาวหงอก ดวงตาหม่นหมองไร้ชีวิตชีวา ทว่ายังคงยืดหลังตรง พยายามรักษาท่าทางให้ดูกระฉับกระเฉง
ซูหลีลำคอแห้งผาก วาจาปลอบโยนมากมายที่วนเวียนอยู่ในหัวใจ นางกลับเอ่ยไม่ออกแม้แต่คำเดียว
หลีเฟิ่งเซียนเห็นคนทั้งสอง อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ นึกไม่ถึงว่าคนแรกที่มาเยี่ยมตนเอง กลับเป็นอริทางการเมืองของเขา ส่วนคนเหล่านั้นที่สมควรมาเยี่ยม กลับไม่เห็นแม้แต่คนเดียว นึกแล้วก็ช่างน่าขำยิ่งนัก
ตงฟางเจ๋อยิ้มพลางกล่าวถาม “ข้าได้ยินว่าเซ่อเจิ้งอ๋องสุขภาพไม่ค่อยดี รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
หลีเฟิ่งเซียนถอนหายใจยาว ยกมือประสาน เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ขอบใจในน้ำใจของเจิ้นหนิงอ๋อง ผู้ชราดีขึ้นมากแล้ว” เขาหันสายตาไปมองซูหลีที่ยืนอยู่อีกด้าน ใบหน้าที่เหมือนกับหลีซูทุกประการของนาง ทำให้เขารู้สึกปวดใจอย่างห้ามไม่ได้
“บนตำหนักจินหลวนในวันนั้น หากผู้ชรากระทำเรื่องใดไม่สมควร ขอท่านหญิงหมิงซีโปรดอภัยให้ด้วย” หลีเฟิ่งเซียนประสานมือค้อมกายให้ซูหลี
ซูหลีสะดุ้งตกใจ รีบเข้าไปประคอง พร้อมกล่าวเสียงลนลาน “ท่านอ๋องทำอะไรเพคะ ซูหลีมิอาจรับไว้ได้” ไม่ว่าจะนับกันด้วยเรื่องตำแหน่งขุนนาง ศักดิ์ฐานะ หรืออายุ หลีเฟิ่งเซียนก็ไม่ควรค้อมกายให้นางเช่นนี้
หลีเฟิ่งเซียนสายตาหม่นหมอง กล่าวเสียงแหบ “หากไม่มีท่านหญิงหมิงซีทุ่มเทแรงกายแรงใจ เรื่องของซูซู…เกรงว่าคงจะไม่มีวันลบล้างมลทินไปได้ตลอดกาล! ซีจินเองก็คงจะตายตาไม่หลับแน่นอน! ยามไปเยือนปรโลก ข้าจะมีหน้าไปพบนางได้อย่างไร?”
ครั้นได้ยินเขาเอ่ยถึงหรงซีจิน หัวใจของซูหลีเจ็บปวดรวดร้าวอย่างไม่อาจควบคุม นึกไม่ถึงว่าเสด็จพ่อมีความรักลึกซึ้งต่อเสด็จแม่ถึงเพียงนี้ แต่เพราะความผิดพลาดมากมายที่เกิดขึ้น ยามนี้จึงต้องพลัดดพรากจากกันไปตลอดกาล
เสด็จแม่ได้พระสวามีเช่นนี้ ชีวิตนี้ถือว่าไม่มีเรื่องน่าเสียดายอีกแล้ว!
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางพยายามสงบอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เอ่ยปลอบใจเสียงอ่อนโยน “ท่านอ๋องจริงใจต่อพระชายาและท่านหญิง พวกนางสองแม่ลูกอยู่ในปรโลกต้องรับรู้แน่นอน และคงไม่คิดโทษโกรธเคืองท่าน สิ่งสำคัญในยามนี้คือท่านต้องรักษาสุขภาพให้ดี”
หลีเฟิ่งเซียนหม่นหมอง นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทอดถอนใจพลางพยักหน้า
ตงฟางเจ๋อกล่าว “ท่านหญิงกล่าวถูกต้องแล้ว เซ่อเจิ้งอ๋องเป็นเสาหลักของบ้านเมือง ต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ถึงจะสามารถคอยช่วยเหลือเสด็จพ่อ และแสดงปณิธานอันแรงกล้าให้เป็นที่ประจักษ์ได้”
ครั้นได้ยินวาจานี้ หลีเฟิ่งเซียนใบหน้าขรึมลงเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเย็นชา ถอนใจแล้วกล่าวว่า “ผู้ชราอายุมากแล้ว ยามนี้ร่างกายยังกระเสาะกระแสะ เกรงว่าในสายตาฝ่าบาท คงเทียบหนุ่มสาวรุ่นหลังเหล่านั้นไม่ได้แล้ว”
ซูหลีตึงเครียด วาจานี้ของเสด็จพ่อสะท้อนถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด หรือว่าเขา…รับรู้ได้ถึงสถานการณ์ในราชสำนักที่เปลี่ยนไปแล้ว? ในอดีตเสด็จพ่อเคยออกรบเคียงไหล่กับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน มีผลงานโดดเด่น หากถามว่าผู้ใดมีบารมีสูงสุดในราชสำนัก ย่อมต้องเป็นเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียน นางเองก็คาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าเรื่องที่หลีซูถูกอวี้หลิงหลงลอบทำร้าย ทำให้ชื่อเสียงของราชวงศ์เสื่อมเสีย ภายนอกฮ่องเต้ย่อมไม่กระทำการโจ่งแจ้ง แต่อำนาจของเสด็จพ่อในราชสำนัก ย่อมต้องได้รับผลกระทบไปด้วย ฉะนั้นในค่ำคืนก่อนที่จะพิจารณาคดี นางถึงได้ลำบากใจ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ถึงแม้ภายนอกลมพายุดูสงบนิ่ง แต่ความจริงกลับมีคลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัวอยู่ สัญชาตญาณของซูหลีบอกนางว่า ฮ่องเต้กำลังวางแผนบางอย่างอยู่
เงาร่างของคนผู้หนึ่งแวบผ่านเข้ามาในสมอง จั้นอู๋จี๋! แม่ทัพทหารม้าที่ได้รับคำสั่งให้กลับเมืองหลวงที่นางเจอตรงประตูเมืองในวันย้ายจวนผู้นั้น ยามนั้นนางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แคว้นเฉิงไม่มีศึกสงครามมาหลายปี จั้นอู๋จี๋เองก็ประจำการอยู่ที่ชายแดนมานาน หากในราชสำนักไม่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เขาไม่มีทางกลับเมืองหลวง หรือว่า…นี่ก็คือลางบอกเหตุถึงการเคลื่อนไหวก้าวต่อไปของฮ่องเต้
นางกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด กลับได้ยินตงฟางเจ๋อกล่าวว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องกล่าวผิดแล้ว ในอดีตท่านอ๋องออกรบเคียงบ่ากับเสด็จพ่อตั้งแต่เหนือยันใต้ สร้างผลงานในสนามรบ มีความสามารถโดดเด่น หากวัดกันเรื่องการออกรบ กลยุทธ์การทหาร และวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ในราชสำนักจะยังมีผู้ใดเทียบท่านอ๋องได้อีก?”
หลีเฟิ่งเซียนอึ้งไปเล็กน้อย เหล่มองตงฟางเจ๋อเงียบๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาสนับสนุนให้ตงฟางจั๋วแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างสุดตัว เพียงเพราะตงฟางจั๋วเป็นโอรสของฮองเฮา ในสายตาของหลีเฟิ่งเซียน เขาให้ความสำคัญกับฐานะบุตรภรรยาหลวงและน้อยเสมอมา มีเพียงโอรสของฮองเฮาเท่านั้นที่เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ได้ ทว่ายามนี้ ตงฟางเจ๋อผู้ที่ถือกำเนิดจากพระสนมเช่นเหลียงกุ้ยเฟยมีสติปัญญาปราดเปรื่อง มีน้ำใจกว้างขวาง มีวิธีจัดการปัญหาเหนือกว่าตงฟางจั๋วหลายขุม มีรัศมีของโอรสสวรรค์มากกว่า
คู่สร้างคู่สมที่โดดเด่นยืนเคียงไหล่อยู่ตรงหน้า เขากลับเหม่อลอยไปเล็กน้อย ราวกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ซูหลี แต่เป็นหลีซูกับตงฟางเจ๋อ หากยามนั้นพระสวามีที่เลือกให้ซูซูเป็นตงฟางเจ๋อ ยามนี้เขาคงไม่ต้องสูญเสียทั้งบุตรสาวและภรรยาไปเช่นนี้ใช่หรือไม่?
ครั้นนึกถึงเรื่องปวดใจ ร่างกายหลีเฟิ่งเซียนสั่นเทา ฝีเท้าเซถอยไปหลายก้าว
ซูหลีกับตงฟางเจ๋อตกใจ รีบเข้าไปประคองเขาคนละข้าง ตงฟางเจ๋อรีบขานเรียกบ่าวรับใช้ให้พาหลีเฟิ่งเซียนกลับไปพักผ่อนที่เรือน หลีเฟิ่งเซียนรู้ดีว่าตนเองเพิ่งหายป่วย ไม่มีเรี่ยวแรง จึงไม่กล่าวคำเกรงใจให้มากความ เพียงเอ่ยลาไม่กี่ประโยคก็จากไป
มองดูแผ่นหลังสูงใหญ่ของเสด็จพ่อที่คดงอเล็กน้อยค่อยๆ หายลับไปนอกประตูใหญ่ ซูหลีขอบตาร้อนผ่าว เสด็จพ่อ…ชราแล้วจริงๆ
นางที่ถูกดูแลปกป้องมาตั้งแต่เล็ก ยามนี้ก็ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเช่นกัน จวนเซ่อเจิ้งอ๋องกำลังเผชิญหน้ากับลมฝนและอันตรายรอบด้าน นางจะนั่งดูเฉยๆ ได้อย่างไร? ถอนหายใจเสียงเบา จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตงฟางเจ๋อกุมมือนางเบาๆ ซูหลีพลันได้สติ หันไปแย้มยิ้มให้เขา แล้วเอ่ยเสียงเบา “หม่อมฉันอยากไปเยี่ยมคุณหนูหลีสักหน่อยเพคะ”
ตงฟางเจ๋อพยักหน้าอนุญาต ทั้งสองเงียบงันไม่พูดคุย ค่อยๆ เดินไปยังสวนด้านหลัง
สวนด้านหลังดูเงียบเชียบยิ่งกว่าลานด้านหน้า ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เมื่อตกต่ำลง พวกที่เคยใกล้ชิดก็พากันตีจาก นี่ต้นไม้ยังไม่ทันล้ม พวกที่เคยใกล้ชิดก็พากันหายหน้าไปจนสิ้น สถานการณ์ของจวนเซ่อเจิ้งอ๋องในยามนี้ ช่างชวนให้รู้สึกเสียดายยิ่งนัก”
……………………………………………………