กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 131 ฉายซ้ำฉากหญิงพรหมจรรย์ตั้งครรภ์ (1)
ทุกคนตื่นตระหนก ตงฟางจั๋วมองดูใบหน้าของนาง รู้สึกเพียงสมองพลันว่างเปล่า ภาพนี้ เหมือนเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…
“ซูหลี? ซูหลี! เจ้าฟื้นสิ!” ตงฟางจั๋วแตกตื่นอย่างไม่อาจควบคุม ร้องเรียกนางเสียงดัง คว้าร่างนางเขย่าไปมา และตบหน้านางเบาๆ
หลางฉ่างขมวดคิ้ว รีบจับมือเขาไว้ ใบหน้าสง่างามฉายแววร้อนใจอย่างหาดูได้ยาก เอ่ยห้ามปรามเขาเสียงเข้ม “ท่านหยุดเดี๋ยวนี้! รีบเรียกหมอหลวงมาเร็ว!”
ตงฟางจั๋วอึ้งงัน หยุดเขย่าตัวนางทันที หันกลับไปตวาดสั่งเหล่าขันทีและนางกำนัลที่กำลังตกตะลึง “พวกเจ้ามัวยืนอึ้งอะไรกันอยู่? ยังไม่รีบไปเรียกหมอหลวงมาอีก!”
คนเหล่านั้นตกใจจนตัวสั่น รีบรับคำอย่างลนลาน “เพคะ / พ่ะย่ะค่ะ…”
ยามนี้เหตุการณ์วุ่นวายโกลาหล ทุกคนแตกตื่นฮือฮา แทบจะพากันล้มลุกคลุกคลานลงจากหออวิ๋นเยียน
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฮ่องเต้เองก็ขมวดคิ้วลุกขึ้นยืน แต่คำถามของเขากลับไม่มีใครตอบ ความสนใจของคนทั้งสี่ที่อยู่เบื้องล่าง ล้วนพุ่งเป้าไปที่ซูหลีทั้งหมด
แม้แต่ตงฟางเจ๋อที่อดทนได้ดีมาตลอด ยามนี้ไม่เพียงมีสีหน้าสงสัย ในสายตายังมีแววลนลานพาดผ่านอย่างปิดไม่มิด ฮ่องเต้สีหน้าเคร่งขรึม ดูท่าสตรีนางนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!
ฮองเฮาเห็นฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน นางย่อมนั่งไม่ติด มองดูโอรสของตนที่ลนลานทำอะไรไม่ถูกเพียงเพราะสตรีนางนั้นหมดสติ ในใจพลันหนักอึ้งกว่ายามใด
“เจ้าไม่รู้หรือว่านางร่างกายอ่อนแอ?” ตงฟางจั๋วเงยหน้า ถลึงตาจ้องตงฟางเจ๋อ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและชิงชัง “เจ้ากลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าเจ้าเข้าใจเรื่องพวกนั้นดี? ไม่หักหน้านางแล้วเจ้าไม่สาแก่ใจใช่หรือไม่? คราวนี้เจ้าพอใจหรือยัง?”
ตงฟางเจ๋อช้อนเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย ดวงตาลึกล้ำมีแววเย็นชาพาดผ่าน เผชิญหน้ากับคำถามเจตนาร้ายของเขา ตงฟางเจ๋อไม่โกรธกลับยิ้ม ตอบว่า “พี่รองพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือท่านคิดว่า นางตกใจจนเป็นลมเพราะข้าบอกว่าชาของนางมีปัญหา? พี่รองเห็นนางเป็นสตรีอย่างไรกัน? ในใจของท่าน ที่แท้นางอ่อนแอขี้กลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?!” เขาย้อนถามชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงแฝงแววเสียดสีอย่างถึงที่สุด
ตงฟางจั๋วเพลิงโทสะลุกท่วม ทว่ากลับได้สติกลับคืนมาหลายส่วน จำต้องยอมรับ สิ่งที่ตงฟางเจ๋อกล่าวไม่ใช่ว่าไร้เหตุผลเสียทีเดียว ซูหลีไม่ได้ตกใจจนหมดสติ เรื่องนี้เขามั่นใจได้ เพียงแต่เพราะร้อนใจเกินไปจึงได้กล่าววาจาเช่นนั้นออกไป ยามนี้ถูกยอกย้อน เขาทำได้เพียงเงียบไม่เอ่ยอะไร แม้ในใจจะหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด
ขณะกำลังคิดหาวาจาตอบโต้กลับไป ยามนี้ฮองเฮาสังเกตเห็นสีหน้าฮ่องเต้ จึงรีบเดินเข้ามาห้ามปราม “พวกเจ้าสองคนหยุดได้แล้ว รีบพาท่านหญิงไปพักอีกด้านเร็วเข้า!”
ขันทียกเก้าอี้เอนหลังเข้ามาวางไว้ทางทิศใต้ของหออวิ๋นเยียน ตงฟางจั๋วอุ้มซูหลีขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วางตัวนางที่ยังไม่ได้สติลงบนเก้าอี้เอนหลัง ไม่สนใจสายตาของคนอื่น และไม่สนว่าฮ่องเต้จะอยู่ในเหตุการณ์หรือไม่ เขาจับมือนางไว้แน่น เขาและตงฟางเจ๋อต่างเฝ้าอยู่ข้างกายซูหลีคนละด้าน ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนดูออกว่ายามนี้เขาร้อนใจดั่งไฟแผดเผา
ฮองเฮาหมายจะเอ่ยเตือนให้เขาดูกาลเทศะ แต่เมื่อคิดดูอีกครั้งก็กล้ำกลืนไม่พูดออกไป
หลางฉ่างไม่ได้เดินตามไป เอาแต่มองลงไปด้านล่างหออวิ๋นเยียนอยู่อย่างนั้น เห็นชัดว่ายามนี้เขาร้อนใจมาก เพียงแต่กำลังพยายามรักษาสีหน้าให้สงบนิ่งอย่างสุดกำลัง
หยางเซียวอดเหลือบมองเขาไม่ได้ จากนั้นก็กวาดตามองคนอื่นหนึ่งรอบ สีหน้าไม่เอาจริงเอาจังก่อนหน้านี้หายไปจนสิ้น สายตาสะท้อนแววอันตรายออกมา ทว่าไม่นานก็ถูกปกปิดไว้อย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมา หมอหลวงหลี่จงเหอมาถึงอย่างเร่งรีบ ยังไม่ทันหันไปค้อมกายถวายบังคมฮ่องเต้กับฮองเฮา ก็ถูกตงฟางจั๋วดึงตัวไปข้างกายซูหลี ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงร้อนรน “รีบตรวจดูว่านางเป็นอะไรไป!”
หลี่จงเหอรับคำอย่างลนลาน เมื่อยื่นมือตรวจชีพจร สีหน้าพลันตื่นตะลึง
ตงฟางจั๋วขมวดคิ้วถาม “เป็นอย่างไรบ้าง? ท่านหญิงป่วยเป็นอะไรกันแน่? ร้ายแรงหรือไม่?”
หลี่จงเหอพลันได้สติ เหงื่อเย็นผุดพราย ไหลเป็นสายลงมาจากขมับ เขารีบลุกขึ้น ทิ้งตัวคุกเข่ากับพื้น ก้มหน้าต่ำ ร่างกายสั่นเทิ้มเบาๆ ริมฝีปากสั่นระริก ทว่าผ่านไปนานก็ยังกล่าววาจาไม่ออก
ทุกคนต่างก็ดูออกว่ามีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น ในใจพลันหนักอึ้ง ตงฟางจั๋วทนไม่ไหว หมายจะกล่าวต่อว่า กลับได้ยินตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเข้ม “ท่านหญิงป่วยด้วยโรคใด หมอหลวงหลี่เพียงทูลตามความจริงก็พอ!”
“คือ…” หลี่จงเหอยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก เหล่มองตงฟางจั๋วเงียบๆ คล้ายนึกถึงเรื่องบางอย่างในอดีต ใจยังนึกพรั่นพรึง จึงทำให้ไม่กล้าเอ่ยปากอยู่อย่างนั้น
ตงฟางจั๋วเอ่ยอย่างหมดความอดทน “มีอะไรท่านก็รีบพูดมา! อย่ามัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่อย่างนี้!”
“พ่ะ…พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่จงเหอแอบเหล่มองฮ่องเต้กับฮองเฮาที่สีหน้าไม่ดีนัก พลันรู้สึกเหมือนมีมีดเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่คอเขา ได้แต่จำใจกล่าวด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ดูจากชีพจรของท่านหญิงแล้ว…ท่านหญิงไม่ได้ป่วย ท่านหญิง…เพียงแต่ตั้งครรภ์พ่ะย่ะค่ะ!”
ตั้งครรภ์?!
ท่านหญิงที่ฮ่องเต้ทรงเอ็นดูเป็นพิเศษ ถูกตรวจพบชีพจรตั้งครรภ์ในงานคัดเลือกพระสวามีที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานจัดงานให้?! ข่าวนี้ เปรียบเสมือนเสียงฟ้าฝ่าที่ดังเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งหออวิ๋นเยียน!
ทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮา และคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ล้วนเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ผ่านไปนานก็ยังตั้งสติไม่ได้ แม้แต่ตงฟางเจ๋อ สายตาก็ยังแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง คิ้วเข้มพลันขมวดเข้าหากันทันที
ตงฟางจั๋วพลันอึ้งงัน รู้สึกเหมือนในสมองมีเสียงระเบิดดังก้อง บาดแผลที่ถูกเขากลบฝังไว้ในส่วนลึกของหัวใจ บาดแผลที่ไม่อาจแตะต้องได้ ราวกับถูกฉีกทึ้งในชั่วพริบตา! ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเดินเข้าไปบีบคอหลี่จงเหอแน่น
หลี่จงเหอตัวสั่นงันงกด้วยความตกใจ เขาถูกบีบคอจนหายใจไม่ออก
ตงฟางจั๋วถลึงดวงตาแดงก่ำ สายตาดั่งกระบี่คมที่ต้องการแทงทะลุร่างกายหลี่จงเหอ! หลี่จงเหอตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ได้ยินเพียงตงฟางจั๋วเค้นถามเสียงลอดไรฟัน “เจ้าว่าอย่างไรนะ?!”
“ท่าน ท่านหญิง…ตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ…” หลี่จงเหอตอบอย่างยากลำบาก ยังเอ่ยวาจาไม่ทันจบ ก็ถูกตงฟางจั๋วเหวี่ยงร่างลงพื้น ล้มกลิ้งไปหลายตลบ
ตั้งครรภ์สองเดือน ตั้งครรภ์สองเดือนงั้นหรือ…
ตงฟางจั๋วราวกับถูกคนฟาดด้วยท่อนไม้แรงๆ พลันรู้สึกว่าเรี่ยวแรงทั่วร่างหดหายไปจนสิ้น เซถอยหลังไปหลายก้าวจนเกือบล้ม ก่อนถูกคนที่อยู่ข้างหลังประคองไว้
ณ วินาทีนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดภาพเมื่อกี้จึงดูคุ้นตาสำหรับเขายิ่งนัก!
วันแต่งงาน…ที่แท้ก็เป็นวันแต่งงาน!
เขาจำได้แม่น วันแต่งงานของเขาในวันนั้น หลังจากที่คำนับครั้งที่สาม หลีซูก็หมดสติล้มลงไป ใบหน้านางซีดขาวและดูไร้พลังชีวิตเช่นนี้เหมือนกัน จากนั้นหมอหลวงก็วินิจฉัยว่านางตั้งครรภ์ได้สองเดือนเหมือนเช่นครั้งนี้…
ความเหมือนที่ไม่อาจอธิบายได้นี้ ทำให้ทั้งหมดราวกับย้อนเวลากลับไปยังวันนั้น สิ้นหวังจนแทบหายใจไม่ออก ความเจ็บปวดรวดร้าวถาโถมเข้ามาดั่งคลื่นซัดสาด โหมกระหน่ำอยู่ในหัวใจของตงฟางจั๋วซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
คนแรกเป็นแบบนี้ คนที่สองก็เป็นแบบนี้ เพราะอะไร?! นี่มันเป็นเพราะอะไร?!
ความเจ็บปวดแสนสาหัสจู่โจมหัวใจ เขาเจ็บจนแทบคลั่ง พลันนั้นก็มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งแวบขึ้นมาในสมองอย่างรวดเร็ว…เขาผลักคนข้างหลังออกอย่างแรง พุ่งตัวเข้าไปหาตงฟางเจ๋ออย่างรวดเร็ว เมื่อไปถึงก็หมายจะยื่นมือไปคว้าคอเสื้ออีกฝ่าย
………………………………………………………