กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 113 อยู่ๆ ก็มีสามี! (2)
ประตูห้องถูกเปิดไว้ก่อนแล้ว
ครั้นซูหลีก้าวเท้าเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ก็มองเห็นหลางฉ่างส่งยิ้มมาให้ ลุกขึ้นเดินเข้ามาหาแต่ไกล รอยยิ้มงดงามนั้น เมื่ออยู่ใต้แสงแดดอบอุ่นที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ยิ่งดูใกล้ชิดสนิทสนมน่าหลงใหลขึ้นอีกหลายส่วน
“ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ” ซูหลีเดินเข้าไปทำความเคารพ ทว่ากลับถูกเขาประคองไว้ทันที
“คุณหนูซูไม่ต้องเกรงใจ หากไม่รังเกียจ เรียกข้าว่าหลางฉ่างเถิด” สายตาอบอุ่นแฝงรอยยิ้มของเขา ปกปิดความชมชอบที่ออกมาจากใจไว้ไม่มิด
ซูหลีรู้ว่าเขาไม่อยากเปิดเผยฐานะต่อคนภายนอก จึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ขอบคุณคุณชายหลาง”
ทั้งสองแยกกันนั่งคนละฝั่ง หลางฉ่างรินน้ำชาให้นางไปพลาง คลี่ยิ้มถามนางไปพลาง “เหตุใดวันนี้คุณหนูซูจึงมีเวลาออกมาข้างนอกได้เล่า?”
“อุดอู้อยู่ในเรือนมานาน ต้องออกมาเดินเล่นบ้าง คุณชายหลางเป็นบุคคลสำคัญมีงานยุ่ง เหตุใดจึงมีเวลามานั่งจิบชาเล่นที่นี่ได้เล่า?” ซูหลีหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบหนึ่งคำ ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยการย้อนถามเขาอย่างแนบเนียน
แต่ไหนแต่ไรหอน้ำชาและโรงเตี๊ยมมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันอยู่ เป็นสถานที่ที่สามารถสำรวจสภาพความเป็นอยู่ของราษฎรแคว้นนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งหลางฉ่างและฮูเอ่อร์ตูต่างก็เลือกออกมาเดินเที่ยวในสถานที่ที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองหลวงโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขาคิดการใดอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้
หลางฉ่างยิ้มเบาๆ เข้าใจความหมายในวาจานางอย่างแจ่มชัด เอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา “มีประโยคหนึ่งว่าไว้ดีนัก ชิมชารู้รสชาติ มองเห็นวิถีชีวิตผู้คน แคว้นเฉิงเป็นแคว้นแข็งแกร่งอันดับหนึ่งในยามนี้ เมืองหลวงยิ่งเจริญรุ่งเรือง ต่างจากแคว้นเปี้ยน และแคว้นติ้งของข้ายิ่งนัก หลางฉ่างอยู่แคว้นติ้งนึกเลื่อมใสมานานหลายปี กลับไม่มีโอกาสมาร่ำเรียนการปกครองที่นี่ ครั้งนี้ได้รับคำเชิญจากฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิง ในที่สุดก็ได้มาเยือนแคว้นเฉิงเสียที แล้วจะปล่อยโอกาสดีๆ เช่นนี้ไปได้อย่างไร?” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนทุ้มลึก จิตใจกว้างขวางดั่งดวงจันทร์กระจ่างใส ไม่คิดปิดบังความคิดที่แท้จริงกับนางแม้แต่น้อย ราวกับว่า…ในใจเขา นางไม่ใช่คนนอกแต่อย่างใด
ซูหลีลอบสะดุ้งในใจ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองเขา หลางฉ่างนั่งอยู่ด้านหน้า ยังคงสวมอาภรณ์ผ้าต่วนสีขาวนวลดั่งแสงจันทร์ รอยยิ้มอบอุ่น บุคลิกสูงสง่า รอบกายราวกับมีเวทมนต์ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสงบใจได้อย่างน่าประหลาด เขาในฐานะที่เป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้ง กลับไร้ซึ่งบุคลิกเย่อหยิ่งจองหอง ตรงกันข้าม เขาปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นกันเองและมีมารยาท เข้าหาตีห่างได้อย่างเหมาะสม เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาไม่ลนลานแตกตื่น นิ่งสงบไม่เสียกิริยา คนเช่นนี้…หากวันใดแคว้นติ้งต้องทำสงครามกับแคว้นเฉิง เขาจะต้องกลายเป็นศัตรูที่ไม่อาจดูเบาได้อย่างแน่นอน
“คุณชายหลางช่างมีจิตใจที่เปิดกว้างยิ่งนัก ข้าชื่นชมจากใจจริง” ซูหลีคลี่ยิ้มเล็กน้อย กล่าวชื่นชมอย่างจริงใจ
“คุณหนูซูชมเกินไปแล้ว ผู้น้อยหลางไม่กล้ารับไว้ คุณหนูซูเป็นอิสตรี ไม่ว่าพบผู้ใด หรือเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใด ล้วนมีไหวพริบปราดเปรื่องเกินคน คมดาบมากเหลือ[1] นี่ต่างหากที่ทำให้ผู้น้อยชื่นชมอย่างแท้จริง!” หลางฉ่างยกกาน้ำชาขึ้นเติมชาในถ้วยของทั้งสองอย่างเป็นธรรมชาติ เขาเว้นวรรคไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มคล้ายไม่ใส่ใจ “ภาษิตว่าไว้ดี ดูนางให้ดูแม่ คุณหนูซูมีจิตใจที่ดีงามเช่นนี้ คิดว่า…มารดาของคุณหนูเองก็คงสง่างามโดดเด่น ไม่ธรรมดาเช่นกัน” ดวงตาของเขา ลอบสังเกตสีหน้าของซูหลีอย่างแนบเนียน คล้ายต้องการอ่านความคิดในใจนาง
ซูหลีสายตาสั่นระริก เขากำลังถามถึงผู้ใด? นางหลิ่วมารดาของซูหลี หรือหรงซีจินเสด็จแม่ของหลีซู? นางหลุบตาเบาๆ สีหน้าเศร้าสลด เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านแม่ของข้า…จากไปแล้ว”
“อา ขอโทษด้วย เป็นผู้น้อยที่ถามไม่คิด” หลางฉ่างรีบขอโทษขอโพย เห็นนางเหมือนทุกข์ใจมาก ความห่วงใยก็พลันปรากฏในดวงตา
ซูหลีส่ายหน้า “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด คุณชายหลางไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
“เฮ้อ ช่างน่าเสียดาย แม้ผู้น้อยได้พบหน้าคุณหนูซูเพียงไม่กี่หน กลับรู้สึกใกล้ชิดอย่างบอกไม่ถูก เหมือนคนที่รู้จักกันมานานหลายปี” สายตาของเขาอ่อนโยน จ้องมองซูหลีอย่างลึกซึ้ง เงียบงันไปครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจกล่าวต่อว่า “เดิมทีนึกว่าจะมีโอกาสพบหน้ามารดาของคุณหนูสักครั้ง นึกไม่ถึงว่า…”
ซูหลีเงยหน้ามองเขา น้ำเสียงของเขาจริงใจ สีหน้าแลดูหม่นหมอง คล้ายรู้สึกเช่นที่กล่าวออกมาจริงๆ นางจึงกล่าวพร้อมแย้มยิ้มบางๆ “คุณชายหลางฐานะสูงส่ง คนทั่วไปไม่อาจเทียบเคียง แต่กลับปฏิบัติต่อผู้คนอย่างสนิทชิดเชื้อ ไม่วางท่าใหญ่โต หากมารดาข้ายังอยู่ และได้พบท่าน จะต้องเข้ากันได้ดีอย่างแน่นอน”
“อ้อ? ฟังคุณหนูซูกล่าวเช่นนี้ มารดาของคุณหนูคงมีนิสัยเป็นกันเองกับผู้คนกระมัง?” หลางฉ่างดวงตาเป็นประกาย ก่อนจะเอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจมากนัก
“ท่านแม่ของข้า…” ซูหลีไตร่ตรอง แล้วเอ่ยเสียงแช่มช้า “นางเป็นคนรักความสงบ นิ่มนวลสุภาพเยือกเย็น และเข้ากับผู้คนได้ง่ายเช่นที่คุณชายว่าจริงๆ” นางคิดแล้วคิดอีก ก่อนจะเอ่ยถึงนิสัยที่คล้ายกันระหว่างหรงซีจินและนางหลิ่ว
หลางฉ่างพลันสะดุด สายตาดั่งสายน้ำมองนางอย่างอ่อนโยน พลางเอ่ยเสียงเบา “คุณหนูซูกล่าวเช่นนี้ ทำให้ข้านึกถึงผู้ใหญ่ท่านหนึ่งขึ้นมา มารดาของคุณหนูกลับมีนิสัยคล้ายนางอยู่หลายส่วน”
“เช่นนั้นหรือ? ช่างบังเอิญยิ่งนัก” ซูหลีสายตาไหวระริกเล็กน้อย นางถามหยั่งเชิงอย่างแนบเนียน “ผู้ที่ทำให้คุณชายหลางตราตรึงได้เช่นนี้ คงเป็นผู้ใหญ่ที่สำคัญต่อคุณชายมากกระมัง”
ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ สายตาของหลางฉ่างก็หม่นหมองลงอย่างไม่รู้ตัว เขาพยักหน้าอย่างโศกเศร้า กล่าวว่า “ผู้ใหญ่ท่านนั้นบุคลิกสูงสง่า รูปโฉมงดงามไม่เป็นสองรองใคร เหมาะสมยิ่งแล้วกับคำว่าโฉมสะคราญแห่งยุค เพียงแต่ว่า…” เขามิได้เอ่ยต่อ หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก็เพียงส่ายหน้าถอนหายใจ “ดวงจันทร์มีทั้งยามมืดยามสว่างฉันใด ชีวิตคนเราก็ย่อมมีพบมีจากฉันนั้น เรื่องที่ไม่สมหวังในชีวิตคนเรามีมากถึงแปดเก้าส่วน สิ่งที่เสียไปแล้ว อาจไม่มีวันหวนคืน เพียงหวังว่าคนที่ยังอยู่ จะไม่ทำเรื่องที่จะทำให้เสียใจภายหลังอีก” เอ่ยถึงตอนสุดท้าย เขาจ้องหน้าซูหลีตาไม่กะพริบ คล้ายต้องการสื่อบางอย่าง
ซูหลีหัวใจเต้นรัว สิ่งที่เสียไป? นางพลันนึกถึงกระเป๋าผ้าต่วน วัสดุเหล็ก และภาพแผ่นนั้นที่อยู่ในโลงศพ สิ่งเหล่านั้นน่าจะเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาเยือนแคว้นเฉิงครั้งนี้ของเขา และด้วยความชาญฉลาดของเขา ย่อมต้องเดาได้ว่าของสิ่งนั้นอยู่ในมือนาง แต่ว่า สิ่งของสำคัญเช่นนี้ตกอยู่ในมือบุตรสาวของขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก หากเป็นผู้อื่นคงคิดหาวิธีชิงมันกลับไปแล้ว เหตุใดเขาจึง…ความหมายแฝงในวาจาเขาบ่งบอกว่าเรื่องที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุด คล้ายไม่ใช่เรื่องนี้
คำตอบที่หลางฉ่าง องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งกำลังตามหาอย่างสุดความสามารถ…คืออะไรกันแน่?
นางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นสบตากับสายตาจริงจังและแน่วแน่ของเขา ใจพลันสะท้าน รีบเก็บงำความคิด คลี่ยิ้มนิดๆ แล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว รักษาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไว้ให้ดี จึงจะถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”
ทั้งสองมีความเห็นตรงกัน ความรู้สึกดีบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกพลันบังเกิดในหัวใจ ต่างฝ่ายจึงมองหน้ากันและอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กัน
บรรยากาศโศกเศร้าเมื่อครู่ คล้ายมลายหายไปพร้อมกับรอยยิ้มนี้ หลางฉ่างหัวใจเต้นรัว พลันบังเกิดความรู้สึกเด็ดเดี่ยว เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกึ่งหยั่งเชิงกึ่งหยอกเย้า “เช่นนั้น สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคุณหนูในยามนี้ คงเป็นพิธีเลือกพระสวามีที่ฝ่าบาทจะทรงจัดให้คุณหนูกระมัง? ไม่รู้ว่าผู้น้อย…มีโอกาสชนะสักกี่ส่วน?”
“คุณชายหลางเป็นมังกรท่ามกลางฝูงชน เทียบกับท่านอ๋องท่านอื่น ย่อมไม่น้อยหน้าอยู่แล้ว ทว่า…เรื่องของโชคชะตา เกรงว่าคงต้องขึ้นอยู่กับ…ลิขิตสวรรค์” ซูหลียิ้มพร้อมยกถ้วยชาขึ้น เป็นการแสดงความเคารพ
“ฮ่าๆ ดี!” องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งผู้สุภาพอ่อนโยนหัวเราะเสียงดัง ยกถ้วยชาขึ้น ก่อนจะกระดกทีเดียวหมดอย่างผ่าเผย ทว่าแววหม่นหมองเศร้าสร้อยที่พาดผ่านในดวงตา กลับยังคงชัดเจนถึงเพียงนั้น
“นี่ก็ค่ำมากแล้ว หากคุณชายหลางไม่มีเรื่องใดอีก ข้าขอตัวกลับก่อน” ซูหลีลุกขึ้นกล่าวอำลา
หลางฉ่างรีบร้อนกล่าวขึ้นว่า “ให้ผู้น้อยไปส่งคุณหนูซูหรือไม่?” เขาแสดงความห่วงใยออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง มองไม่เห็นจุดประสงค์แอบแฝงอื่นใด
……………………………………………………….
[1] คมดาบมากเหลือ เป็นสำนวน หมายถึงมีฝีมือ ฝึกฝนจนชำนาญ แก้ไขปัญหาได้สบาย