กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 110 ชาติกำเนิดของซูหลี (2)
ประกายโหดเหี้ยมบังเกิดในสายตาตงฟางเจ๋อ สายตาคมปลาบราวกับกระบี่ที่แหลมคมที่สุดในโลก ตัดความหวังสุดท้ายของซูชิ่นให้ขาดในพริบตา! ยามนี้ เขาไม่ปิดบังความรังเกียจที่ฉาบอยู่เต็มใบหน้า ที่แท้เขาชิงชังนางถึงเพียงนี้นี่เอง! คืนนั้นหากเป็นบุรุษอื่นคงอดทนไม่ไหวตั้งแต่แรก แต่เขากลับทอดทิ้งนางเหมือนรองเท้าเก่าๆ อย่างมีสติครบครัน…นางไม่มีโอกาสตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แม้จะทุ่มเทวางแผนอีกสักเท่าใดจะมีประโยชน์อะไรเล่า?! นางตัวอ่อนนั่งอยู่บนพื้น ไม่อาจหักห้ามความสิ้นหวังที่พรั่งพรูออกมาจากจิตใจได้อีกต่อไป ได้แต่นั่งร้องไห้เสียงดัง
ชั่วขณะหนึ่ง ในห้องโถงด้านหน้าของจวนอัครเสนาบดี เต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ของสองแม่ลูกสกุลซู พาให้ผู้คนในห้องโถงรู้สึกกดดัน
ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยสักนิด คนที่มีนิสัยหยิ่งผยองเกรี้ยวกราด และเห็นแก่ตัวเช่นซูชิ่น จะยอมสละชีวิตตนเองเพื่อซูฮูหยินในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ พวกนางสองแม่ลูก เพื่ออีกฝ่ายแล้ว ถือว่ายังมีความรักที่จริงใจต่อกันอยู่ ดูท่าซูชิ่นคงไม่ใช่คนที่ไร้มโนธรรมเสียทีเดียว
เมื่อนึกถึงเสด็จแม่ที่เคยทำทุกอย่างเพื่อนาง ซูหลีไฉนเลยจะไม่เข้าใจทั้งสอง? ซูหลีปวดใจ สูดหายใจลึกๆ เอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋องเพคะ เรื่องที่เกิดขึ้นในสระน้ำพุร้อน ฮูหยินทำไปเพราะเห็นว่าพี่สาวมีใจให้ท่านอ๋องอย่างแท้จริง จึงเลอะเลือนทำเรื่องเช่นนั้นลงไป ยามนี้ โปรดเห็นแก่ความรักที่พวกนางแม่ลูกมีให้กัน ขอท่านอ๋องทรงเมตตาลงโทษสถานเบาด้วยเพคะ”
ตงฟางเจ๋อมองนางเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยคำใด
“ซูซูกล่าวถูกต้อง! ท่านอ๋อง เรื่องนี้เป็นเพียงการกระทำวู่วามของฮูหยิน นางเห็นแก่ที่ชิ่นเอ๋อร์มีความจริงใจต่อท่านอ๋อง จึงทำเรื่องเลอะเลือนปานนี้ลงไป ฮูหยิน! ยังไม่รีบชี้แจงเหตุผล ขอร้องท่านอ๋องให้เมตตาลงโทษสถานเบาอีก!” ซูเซียงหรูมองซูฮูหยินด้วยสายตาดุดัน ทั้งร้อนใจทั้งโมโห ยามนี้คิดจะพ้นโทษคงเป็นไปไม่ได้แล้ว มีเพียงให้ฮูหยินอ้อนวอนร้องขอความเห็นใจเท่านั้น
ซูฮูหยินร่างกายอ่อนแรง คุกเข่ากับพื้น เอ่ยเสียงสะอื้นไห้ “ขอท่านอ๋องโปรดอย่าทรงกริ้ว! หม่อมฉัน…หม่อมฉันเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ! เพียงเพราะชิ่นเอ๋อร์มีใจให้ท่านอ๋อง นางกล่าวกับหม่อมฉันหนแล้วหนเล่าว่าชาตินี้หากไม่ใช่ท่านอ๋องก็จะไม่แต่งให้ชายใด ในพิธีคัดเลือกพระชายาครั้งก่อน นางไม่ได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋อง กลับมากินไม่ได้นอนไม่หลับ หม่อมฉันเป็นมารดา เมื่อเห็นบุตรสาวทุกข์ตรมเช่นนั้น จึงร้อนใจ…”
“เหอะ!” ตงฟางเจ๋อแค่นเสียงเย็นชา “ซูชิ่นไม่สมปรารถนา ในจวนของท่านก็ยังมีซูหลีมิใช่หรือ? ที่แท้ฮูหยินก็ลำเอียงเช่นนี้?”
ซูฮูหยินตัวสั่น น้ำตาพรั่งพรูออกมาอีกระลอก
ตงฟางเจ๋อกวาดตามองนางคล้ายไม่ใส่ใจ ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านเป็นสตรีผู้หนึ่ง คิดแผนการชั่วร้ายปานนี้ขึ้นมาได้อย่างไร? บอกมาเดี๋ยวนี้!”
ซูฮูหยินเหลือบมองซูหลีแวบหนึ่ง สูดหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยว่า “หลีเอ๋อร์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิง ฮองเฮาเรียกหม่อมฉันเข้าวังไปพูดคุย” น้ำเสียงของนางขมขื่น บุตรสาวของนางหลิ่วที่นางไม่เคยชมชอบสักนิด กลับทำให้นางได้รับเกียรติมากมาย
ตงฟางเจ๋อตวัดสายตาเย็นเยียบมองมา “ว่าต่อไป”
“เรื่องในครานี้ มิใช่ความคิดของหม่อมฉันแต่เพียงผู้เดียว!” ซูฮูหยินหอบหายใจหลายครั้ง พลันนั้นสายตาสั่นระริก ตะโกนเสียงดัง “ทว่าเป็น…” นางยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ซูฮู่กลับพุ่งตัวเข้ามาตรงหน้าซูฮูหยินดั่งลูกศรที่พุ่งตัวออกมาจากคันธนู สีหน้าบิดเบี้ยว สองนิ้วหงิกงอเหมือนตะขอ พุ่งตรงมาที่ลำคอนาง! นางตกใจจนขาอ่อน ทรุดนั่งกับพื้นอีกครั้ง
อีกแค่เพียงหนึ่งนิ้ว ซูฮูหยินก็จะถูกเขาขย้ำลำคอแล้ว! พลันนั้นประกายสีเงินตวัดผ่าน เซิ่งฉินปรากฏตัวอยู่ข้างหลังซูฮูหยิน ซูฮู่กรีดร้องเสียงดัง แขนข้างที่ยื่นออกไปหมายทำร้ายซูฮูหยินถูกเซิ่งฉินฟันจนข้อมือขาด! ตรงจุดที่ข้อมือถูกฟันขาด โลหิตสีแดงสดพุ่งกระฉูดดังน้ำพุร้อน!
ไม่มีผู้ใดเห็นว่าเซิ่งฉินลงมืออย่างไร ทั้งที่เขาอยู่นอกห้องโถง แต่กลับพุ่งตัวเข้ามาในนี้อย่างรวดเร็วดังภูตผีปีศาจ ซูฮู่ทิ้งตัวเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ร้องคร่ำครวญไม่หยุด เซิ่งฉินก้าวเข้าไปหมายจะสกัดจุดห้ามเลือดให้เขา กลับนึกไม่ถึงว่าเขาจะพลิกกายลุกขึ้นนั่ง ใช้มืออีกข้างสับลงกลางศีรษะอย่างแรง! ครั้นเสียงกะโหลกศีรษะแตกดัง ‘โพละ’ เลือดสีแดงสดไหลออกจากมุมปากซูฮู่ ก่อนจะล้มลงไป!
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน บรรดาผู้คนในจวนสกุลซูแทบไม่ทันตั้งตัว ซูฮู่ก็สิ้นลมไปแล้ว
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่! ขอท่านอ๋องโปรดลงโทษ!” เซิ่งฉินรีบคุกเข่าทันที
“เจ้าถอยออกไปก่อน” ตงฟางเจ๋อโบกมือเบาๆ เซิ่งฉินจึงค้อมกายถอยออกไปจากห้องโถง
“ซูฮูหยิน เห็นชัดว่ามีคนไม่อยากให้ท่านพูดความจริง นึกไม่ถึงว่าในจวนสกุลซูก็มีคนของนางอยู่ด้วย…” ตงฟางเจ๋อพึมพำเสียงเบา สายตามืดมน
ซูฮูหยินตกใจจนอึ้งงัน หน้าซีดขาวดั่งแผ่นกระดาษ นางหอบหายใจกระชั้นชิด คล้ายไม่อยากเชื่อ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน ตะโกนเสียงดังด้วยความโกรธขึ้ง “เป็นฮองเฮารับสั่งให้หม่อมฉันทำเช่นนี้!”
ทุกคนสีหน้าพลันเปลี่ยน ซูฮู่กลับเป็นคนของฮองเฮา?!
สายตาของตงฟางเจ๋อกลับเรียบเฉย สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับคำตอบนั้นอยู่ในใจเขาแต่แรกแล้ว ซูหลีได้ยินเช่นนั้นก็พลันขมวดคิ้ว ฮองเฮา? เหตุใดเรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องกับฮองเฮาได้เล่า?
ครั้นเห็นตงฟางเจ๋อไม่มีปฏิกิริยา ซูฮูหยินรีบกล่าวต่อด้วยอารามร้อนใจ “ช่วงก่อนที่ฮองเฮาทรงเรียกหม่อมฉันไปเข้าเฝ้า หม่อมฉันก็ไปเข้าเฝ้าด้วยความดีอกดีใจ ขณะพูดคุยกัน ฮองเฮารับสั่งถึงเรื่องที่ตนเองไม่มีบุตรสาว อิจฉาหม่อมฉันที่มีลูกสาวหน้าตาสะสวย ประพฤติตนดีงามเช่นนี้ถึงสองคน ต่อมา…ฮองเฮาได้ตรัสเป็นเชิงบอกใบ้ว่าพระนางหมายตาหลีเอ๋อร์ให้เป็นพระชายาในจิ้งอันอ๋อง ส่วนชิ่นเอ๋อร์นั้นมีใจให้เจิ้นหนิงอ๋อง หากสมหวังทั้งสองคู่ ก็ถือว่าเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือ? หากบุตรีสองคนของจวนสกุลซูได้แต่งงานกับท่านอ๋องทั้งสอง เช่นนั้นในอนาคตจวนสกุลซูก็จะมีตำแหน่งที่สูงส่ง ไม่มีผู้ใดเทียบได้!”
นางกล่าวยืดยาวในอึดใจเดียว เสียงสูดหายใจกระชั้นชิดขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าซีดขาว เห็นชัดว่าเริ่มกระจ่างในจุดประสงค์ที่แท้จริงของฮองเฮา
ซูเซียงหรูได้ยินเช่นนั้นก็พลันเอ่ยด้วยความตกใจ “เหตุใดเจ้าไม่บอกเรื่องนี้กับข้า?”
ซูฮูหยินก้มหน้า เอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “ท่านพี่มักคิดคำนวณผลได้ผลเสียให้ท่านอ๋องเสมอ ยามนี้หลีเอ๋อร์ถูกแต่งตั้งเป็นท่านหญิง ยังมีแก่ใจคิดถึงชิ่นเอ๋อร์เสียที่ไหน? ข้าเห็นชิ่นเอ๋อร์มีจิตใจเคลิบเคลิ้มหลงใหล กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะท่านอ๋อง จึงตัดสินใจทำเช่นนั้นลงไป”
ซูเซียงหรูหน้าเขียว กระทืบเท้าตึงตังอย่างโกรธขึ้ง “เลอะเลือนยิ่งนัก!”
ซูฮูหยินร่ำไห้ สะอึกสะอื้นจนพูดไม่เป็นคำ
ตงฟางเจ๋อหลุบแพขนตาลง ม่านตาสีน้ำหมึกพลันมีประกายเย็นเยียบลึกไปถึงกระดูกพาดผ่าน ครั้นเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็กลับมาเป็นปกติ
“ท่านอ๋อง” ซูเซียงหรูตั้งสติ ก้าวเข้ามาค้อมกาย กล่าวอ้อนวอนด้วยใบหน้านองน้ำตา “โทษที่กระหม่อมอบรมสั่งสอนนางไม่ดี จึงทำให้เกิดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ขึ้น เพียงแต่กระหม่อมร่วมชีวิตกับฮูหยินมานับสิบปี นางเป็นคนเช่นไรกระหม่อมรู้ดีแก่ใจ หากมิใช่ถูกคนหลอกใช้ อาศัยเพียงตัวนาง ไม่มีทางคิดวางแผนได้ถึงขั้นนี้แน่นอน! ขอท่านอ๋องโปรดเห็นแก่ผู้น้อย ยกโทษให้นางสักหน ภายหน้าหากท่านอ๋องต้องการผู้น้อยเมื่อใด ผู้น้อยไม่มีทางถอยหนีเป็นอันขาด ผู้น้อยจะอุทิศตนเพื่อท่านอ๋อง ทุ่มเทกายใจจนกว่าชีวิตจะหาไม่!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตงฟางเจ๋อผ่อนลมหายใจเบาๆ เดินเข้ามาประคองให้เขาลุกขึ้น พลันฉีกยิ้ม “ท่านอัครเสนาบดีซูกล่าวหนักเกินไปแล้ว เรื่องครานี้ ในเมื่อมีผู้อื่นบงการอยู่เบื้องหลัง หากข้ายังไม่ยอมความ มิใช่เป็นการไม่เห็นอกเห็นใจกันหรอกหรือ? ลุกขึ้นมาเถิด! ครั้งนี้ข้าจะปล่อยไป ครั้งหน้าหากทำผิดอีก ข้าจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ!”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง! กระหม่อมรับประกันด้วยชีวิต จะไม่ให้เกิดเรื่องเป็นครั้งที่สองอีกเป็นอันขาด!” ซูเซียงหรูปาดน้ำตาบนใบหน้าชรา กล่าวอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบพระทัยที่ท่านอ๋องทรงเมตตา! ยังไม่รีบเข้ามาขอบพระทัยท่านอ๋องอีก!” เขาหันไปถลึงตาจ้องซูฮูหยินและซูชิ่น ส่งสัญญาณให้พวกนางรีบเข้ามา
……………………………………………………….