กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 102 อีกด้านหนึ่งของเจิ้นหนิงอ๋อง (2)
ผู้ใดกันแน่ที่วางแผนเรื่องนี้? ซูชิ่นไม่มีความกล้าและความคิดที่ชาญฉลาดขนาดนั้น ตงฟางจั๋วเองก็เห็นชัดว่าไม่รู้เรื่องด้วย…ซูหลีนึกถึงซูฮูหยินที่อยู่ๆ ก็ป่วยก่อนออกเดินทาง…จะเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหรือไม่? แต่ในเมื่อเป้าหมายคือตงฟางเจ๋อและซูชิ่น เหตุใดร่างกายนางจึงเกิดปัญหาไปด้วยเล่า?
“เรื่องนี้…ท่านอ๋องคิดจะตรวจสอบเช่นไรเพคะ?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
“เริ่มตรวจสอบตั้งแต่อาหาร!”
ทั้งสองต่างคิดตรงกัน ตงฟางเจ๋อกล่าว “เมื่อกลับไป เรื่องนี้มอบหมายให้เจ้าไปตรวจสอบ ข้าจะให้เซิ่งฉินคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ จำไว้ ห้ามแหวกหญ้าให้งูตื่นเด็ดขาด เรื่องนี้บางทีอาจซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิดมาก!”
ซูหลีพยักหน้า ส่วนที่เขากล่าวว่าซับซ้อนกว่าที่คิดนั้นหมายถึงอะไร นางกลับไม่ได้ซักไซ้ เพียงแต่กังวลว่าหากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นฝีมือของซูฮูหยินจริง จะทำให้ทั้งจวนเดือดร้อนไปด้วยหรือไม่?
ราวกับมองเห็นความกังวลของนาง ตงฟางเจ๋อยิ้มบางก่อนเอ่ยว่า “วางใจเถิด ขอเพียงท่านอัครเสนาบดีไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้าจะไม่ทำให้เรื่องนี้เดือดร้อนไปทั้งจวน!”
ซูหลีนึกขึ้นได้ ซูเซียงหรูเป็นผู้สนับสนุนฝ่ายเขา หากเกิดเรื่องขึ้นกับจวน ย่อมไม่เป็นผลดีต่อเขา เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงวางใจได้ นางล้วงผ้าไหมสีขาวออกมาจากอกเสื้อ เอ่ยถามอย่างพิจารณา “ท่านอ๋องให้คนส่งสิ่งนี้มาให้หม่อมฉัน ไม่ทราบหมายความว่าเช่นไรเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อมองนางแวบหนึ่ง “ข้านึกว่าเจ้ารู้”
ซูหลีขมวดคิ้ว มองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ ตงฟางเจ๋อเอ่ยอย่างครุ่นคิด “หากเจ้าไม่รู้จักสิ่งนี้จริง ก็กลับไปถามสาวรับใช้ข้างกายเจ้า บางทีนางอาจรู้จัก”
ซูหลีสะดุ้ง เขาหมายความว่าอย่างไร? หรือเขาตรวจสอบฐานะของหวั่นซินได้แล้ว? หรือว่าตอนที่นางใช้วิชาตัวเบา และหาปุ่มควบคุมกลไกในเส้นทางลับเจออย่างง่ายดาย ทำให้เขาเกิดความสงสัย? หรือไม่นั่นก็เป็นการยืนยันการคาดเดาบางอย่างของเขา…
“เจ้าไม่ต้องตระหนกไป” ราวกับอ่านใจนางได้ ตงฟางเจ๋อกุมมือนาง ยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าสำนักเฉินเหมินตายไปแล้ว ยามนี้กองกำลังของเฉินเหมินก็ได้แตกพ่ายไปแล้ว คนที่เหลือเหล่านั้น ขอเพียงอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ข้าไม่คิดจะสืบสาวเอาความต่อไป”
ไม่สืบสาวเอาความ? ซูหลีก้มหน้ามองม้วนผ้าไหมในมือ…ในใจพลันตึงเครียดขึ้นหลายส่วน ของสิ่งนี้เป็นของเฉินเหมินอย่างเห็นได้ชัด เหตุใดจึงมาอยู่ในมือตงฟางเจ๋อได้?
“ของสิ่งนี้เป็นของเว่ยซู่ หนึ่งในสี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งเฉินเหมิน!” ตงฟางเจ๋อสายตาเย็นเยียบ
เว่ยซู่? ซูหลีชะงัก คนในเฉินเหมินที่แฝงตัวอยู่ข้างกายเขา? ที่แท้เขาก็คือเพลงกระบี่มือซ้ายนั่นเอง! เช่นนั้นเบาะแสนี้ก็ขาดหายไปอีกแล้วงั้นหรือ?
ซูหลีกล่าวอย่างประหลาดใจ “ได้ยินว่าฐานะของคนในเฉินเหมินนั้นล้วนเป็นความลับ แม้แต่สี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังไม่รู้จักกัน แล้วท่านอ๋องรู้ได้อย่างไรเพคะว่าเขาเป็นหนึ่งในสี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่?”
“เขาแฝงตัวมาอยู่กับข้าสามปี ข้ารู้นานแล้วว่าฐานะของเขาไม่ธรรมดา จึงระแวดระวังอยู่เสมอ หลายเดือนก่อนข้าถูกคนลอบสังหาร ก็เป็นฝีมือเขาวางแผนอย่างแยบคาย” ตงฟางเจ๋อเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หลังจากที่ตกอยู่ในอันตรายในครั้งนั้น ข้าก็ยิ่งระวังเขามากขึ้น พบว่าคนผู้นี้เชี่ยวชาญเพลงกระบี่มือซ้ายมากกว่ามือขวามาก และรู้ด้วยว่าเขาตั้งใจปิดบัง ครึ่งปีต่อมา ขณะที่เขาติดต่อกับเจ้าสำนักเฉินเหมิน ก็ถูกข้าจับได้ในที่สุด ต่อมาข้าจึงวางแผนล่อให้เขาลงมือ แล้วค่อยตลบหลังดักจับพวกเขาทั้งหมด”
ซูหลีชะงัก ในเมื่อเขาสงสัยเว่ยซู่ ย่อมต้องตรวจสอบอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าเขาจะตรวจสอบได้ราบรื่นถึงเพียงนี้ นึกดูแล้วเว่ยซู่ก็ติดตามเขามาไม่นานนัก อาจประเมินเขาต่ำไป จึงถูกเขาหลอกใช้ เป็นเหตุให้เฉินเหมินล่มสลาย นึกถึงเหตุการณ์อันตรายที่ทะเลสาบวั่งเยวี่ย ซูหลีก็พลันหนาวเหน็บไปทั้งตัว
ครั้นเห็นนางเงียบไม่พูดไม่จา ตงฟางเจ๋อคล้ายอ่านความคิดนางออก เอ่ยเสียงเบาว่า “เหตุการณ์ที่ทะเลสาบวั่งเยวี่ย เป็นแผนการที่ข้าวางไว้จริงๆ ข้าพาเจ้าไปขึ้นเรือคนเดียว พวกเขาย่อมต้องคิดว่าสบโอกาส เพียงแต่…นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอพี่รองเช่นนั้น”
ซูหลีหันมองเขา “ท่านอ๋องคิดว่า…เขาเป็นผู้บงการมือสังหารหรือเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อกระดกคิ้ว ไอสังหารเย็นเยียบพาดผ่านดวงตา ซูหลีอดสั่นสะท้านไปทั้งตัวไม่ได้
เขาหลุบตาต่ำ ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ผู้ใดคือผู้บงการมือสังหาร ตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้ ได้ยินมาว่าในห้องลับของเฉินเหมินมีบันทึกอยู่เล่มหนึ่ง ในนั้นบันทึกภารกิจที่เฉินเหมินเคยรับทำมาทั้งหมดไว้ เดิมทีข้าอยากได้ของสิ่งนั้น คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนชิงไปก่อน ยามข้าไปถึงห้องลับนั้น สมบัติของเฉินเหมินล้วนถูกคนเอาไปหมดแล้ว!” ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วแน่น สายตาเข้มขรึมและคมปลาบ
บันทึก? หมายถึงบันทึกที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์แปลกๆ นั่นน่ะหรือ? ยามนี้ของสิ่งนั้นอยู่ในมือซูหลี น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดอ่านออก
“หากเจอบันทึกนั่น ก็จะสามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ใดคิดสังหารท่าน?” ซูหลีขมวดคิ้วเอ่ยถาม “ถ้าหาก…”
“ถ้าหากอะไร?” ตงฟางเจ๋อยังคงคลี่ยิ้ม ทว่าสายตากลับเย็นชา
ซูหลีถอนหายใจ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่เอ่ยคำใด การแย่งชิงบัลลังก์มีมาแต่สมัยโบราณ สงครามนองเลือดในราชวงศ์ และการวางแผนลอบสังหารกันอย่างโหดเหี้ยมมิใช่ว่าเคยเกิดขึ้นเพียงครั้งสองครั้งเสียที่ไหน ยามนี้องค์รัชทายาทยังมิได้ถูกแต่งตั้ง สงครามชิงบัลลังก์ระหว่างตงฟางเจ๋อและตงฟางจั๋ว แม้ไม่ป่าวประกาศคนในราชสำนักก็ล้วนรู้กันทั่ว
ตงฟางจั๋วแม้เป็นโอรสของฮองเฮา แต่กลับไม่ได้รับความโปรดปรานมากนัก ทว่าตงฟางเจ๋อนั้นยามที่มารดายังมีชีวิตอยู่ได้รับความโปรดปรานอย่างยิ่ง และด้วยความสามารถอันโดดเด่นของเขา ถึงแม้เป็นโอรสของสนมแต่กลับได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้มากกว่าตงฟางจั๋ว หากตงฟางจั๋วคิดลอบสังหารตงฟางเจ๋อด้วยเหตุนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสักนิด เพียงแต่วันนั้นยามอยู่บนเรือ สองพี่น้องร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ กลับไม่คล้ายแสดงละครแม้แต่น้อย
ตงฟางเจ๋อเอ่ยอย่างเย็นชา “การแข่งขันของข้ากับพี่รองชาวโลกต่างรับรู้ ถึงแม้ข้าจะสงสัยเขา ก็ไม่มีเรื่องใดแปลก ก่อนหน้านี้ที่การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจวนเซ่อเจิ้งอ๋องกับจวนจิ้งอันอ๋องเกิดปัญหา ท่านหญิงหมิงอวี้ตายอย่างน่าอนาถ ก็มีคนไม่น้อยที่สงสัยว่าเป็นฝีมือข้า เหอะ! ข้าเองก็อยากรู้ ว่าผู้ใดกันแน่ที่ถึงขั้นกล้าซื้อตัวนักฆ่าเพื่อลอบสังหารชายาของตงฟางจั๋ว!”
ซูหลีเจ็บปวด ในสงครามแย่งชิงบัลลังก์ ทุกรายละเอียดล้วนสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงตามมาได้ มิน่าเล่าวันนั้นเขาจึงไปเซ่นไหว้นางที่จวนเซ่อเจิ้งอ๋อง เขาคงไปตรวจสอบว่าหลีซูฆ่าตัวตายหรือถูกฆ่ากระมัง? แม้แต่ตงฟางเจ๋อยังตั้งข้อสงสัยต่อการตายของนาง ทำไมตงฟางจั๋วและเสด็จพ่อของนางจึงไม่สงสัยบ้างเล่า? ครั้นนึกถึงเสด็จพ่อ ในใจนางพลันปวดร้าวทรมาน อดไม่ได้ที่จะหลุบตาต่ำเอ่ยถาม “อำนาจ ดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? เพื่อให้ได้มันมา แม้แต่ครอบครัวก็ละทิ้งได้เชียวหรือเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อหัวเราะหยัน ก่อนเอ่ยเสียงแช่มช้า “ครอบครัว? หากเป็นสามัญชน อาจมีคำว่าครอบครัว เพียงแต่ในราชวงศ์ มันไม่ใช่สิ่งสำคัญมานานแล้ว สำหรับองค์ชาย อำนาจสูงสุด มีเพียงต้องได้มันมาครอบครอง และควบคุมมันไว้ จึงจะมีสิทธิ์มีชีวิตอยู่ต่อไป”
ทั้งโหดร้าย จนใจ และเจ็บปวด
ซูหลีชะงัก หันหน้าไปมองเขา ค้นพบว่าสีหน้าของเขาก็เหมือนกับน้ำเสียงของเขา เรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
“มารดาของข้า…ที่จริงเป็นคนเรียบง่ายและรักความสงบ” บางทีอาจเป็นเพราะประโยคเมื่อครู่สะเทือนใจเขา จู่ๆ ตงฟางเจ๋อจึงพูดถึงเรื่องชาติกำเนิดของตนเองขึ้นมา
“เพราะความโปรดปรานของเสด็จพ่อ ทำให้ข้ากลายเป็นขวากหนามในสายตาของคนบางกลุ่มตั้งแต่แรกเกิด สิ่งที่สตรีในวังหลังชำนาญที่สุด คือสังหารคนไม่เห็นเลือด แผนการร้ายที่อยู่รอบตัวพวกข้า มีมากมายจนไม่อาจป้องกันได้หมด! เพื่อข้า เสด็จแม่ยอมกล้ำกลืนครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกือบต้องไปอยู่ในตำหนักเย็น ถึงแม้…นางจะรักเสด็จพ่อของข้ามาก และนางก็คิดเสมอว่าเสด็จพ่อรักนางด้วยใจจริง แต่กลับไม่รู้ว่าคำว่าครอบครัวสำหรับเสด็จพ่อนั้นเปราะบางดั่งแผ่นกระดาษ แทบไร้ความหมาย…
วังหลังไม่เคยขาดแคลนสตรี ไม่นานเสด็จพ่อก็ทรงโปรดปรานสนมนางใหม่ ฮองเฮาฉวยโอกาสถอนรากถอนโคนครอบครัวของเสด็จแม่ เพียงหนึ่งเดือน เสด็จแม่ต้องประสบเหตุการณ์ครอบครัวแตกสลาย แบกรับความโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียพ่อและพี่ชาย ส่วนข้า ก็ถูกคนผลักตกลงไปในทะเลสาบลึกที่แข็งตัวเป็นแผ่นน้ำแข็งบางๆ! ยามนั้น ข้าเพียงห้าขวบ”
……………………………………………………….