กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - ตอนที่ 100 ผู้ใดหลงรักผู้ใด? (3)
ตงฟางเจ๋อพยักหน้ารับคำว่า “อืม” แล้วเกาะแขนนางลุกขึ้นยืน ถึงแม้กะโผลกกะเผลก แต่ก็ยังพอฝืนเดินได้
ในอุโมงค์ร้างมีทางแยกมากมาย เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็พบว่าที่นี่เหมือนเขาวงกตขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และลักษณะของเขาวงกตนี้ ยิ่งเดินไปซูหลีก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย นางพลันนึกขึ้นได้ หุบเขาจู๋หลีอยู่ติดกับภูเขาซูหมี และเขาวงกตใต้ดินที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนเช่นนี้บนภูเขาซูหมี ไม่มีทางเป็นที่อื่นไปได้แน่!
เส้นทางลับของเฉินเหมิน!
ทันใดนั้น ทั้งสองต่างชะงักฝีเท้า
“ที่แท้พวกเราก็ตกลงมาที่นี่เอง!” ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเบาๆ ซูหลีสะดุ้ง ทางลับเส้นนี้ถูกทำลายจนมีสภาพอย่างนี้ไปแล้ว แต่เขากลับจดจำได้รวดเร็วถึงขนาดนี้!
“ที่ใดเพคะ?” ซูหลีแสร้งทำเป็นไม่รู้ และเอ่ยถาม
ตงฟางเจ๋อเพียงยิ้มไม่ตอบ จูงมือนางเดินไปตามทิศทางหนึ่ง เดิมทีจุดหมายปลายทางของทิศนี้ก็คือทางออกที่อยู่ใกล้หุบเขาจู๋หลีมากที่สุด แต่อุโมงค์ถล่มจนเส้นทางปิด ไม่อาจเดินหน้าต่อ ทั้งสองทำได้เพียงย้อนกลับมาทางเดิม ในเส้นทางลับที่ถูกทำลายจนไม่เหลือเค้าเดิม พวกเขาเดินวนไปวนมาอยู่ในนั้นนานกว่าหนึ่งชั่วยาม แม้แต่ซูหลีที่เคยศึกษาเส้นทางลับอย่างละเอียด ก็ยังแยกทิศเหนือใต้ออกตกไม่ออกแล้ว
“ระวัง!”
เสียง ‘แกร๊ก’ พลันดังขึ้น
ไม่รู้เหยียบสิ่งใดเข้า ส่งผลให้กลไกทำงาน ธนูดอกหนึ่งพุ่งเฉียดหน้าซูหลีไป หากตงฟางเจ๋อไม่ดึงตัวนางเข้าไปกอดทันเวลา เกรงว่ายามนี้ศีรษะของนางคงถูกเจาะทะลุไปแล้ว นางตกใจจนเหงื่อซึมไปทั้งตัว
ทว่าไม่มีเวลามากพอให้นางรู้สึกหวาดกลัว กลไกที่ถูกทำลายเมื่อถูกกระตุ้นให้ทำงานก็อยู่นอกเหนือการควบคุม บริเวณสี่แยกที่ไม่ได้มีพื้นที่กว้างมากแห่งนี้ ลูกศรพุ่งตัวเข้ามาหาพวกเขาจากทุกทิศทาง
ทั้งสองสีหน้าพลันเปลี่ยน ซูหลีไม่อาจห่วงเรื่องที่ตนเองเป็นวิทยายุทธ์จะถูกผู้ใดล่วงรู้เข้าหรือไม่อีกแล้ว นางใช้วิชาตัวเบาหลบธนูแหลมคมที่พุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ส่วนตงฟางเจ๋อนั้นบาดเจ็บภายใน ฝีมือไม่ร้ายกาจเท่ายามปกติ ฉะนั้นจึงเผชิญหน้ากับอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า
ซูหลีจำได้ว่าปุ่มควบคุมกลไกที่ถูกทำเครื่องหมายไว้บนแผนภาพน่าจะอยู่ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง นางจึงใช้มือลูบคลำไปยังตำแหน่งเหล่านั้นทีละอันๆ กระทั่งสุดท้าย นางจึงลูบคลำไปเจอก้อนศิลาที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็นก้อนหนึ่ง
ในใจพลันยินดี นางกำลังจะยื่นมือกดลงไป ทันใดนั้น ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา พลันมีลูกธนูสองดอกพุ่งเข้ามาหานางพร้อมกัน รวดเร็วจนไม่เหลือเวลาให้คนตั้งตัว
ซูหลีไม่มีกระทั่งเวลาตกใจ เบี่ยงหลบลูกธนูที่พุ่งเข้ามาจากด้านซ้ายโดยสัญชาตญาณ ในขณะเดียวกับที่ปลายนิ้วกดลงไปบนก้อนศิลาดัง ‘แกร๊ก’ ธนูแหลมคมอีกดอกหนึ่งก็พุ่งแทงร่างกายคนดัง ‘ฉึก’…
ไม่รู้สึกเจ็บปวดสักนิด
แขนกำยำคู่หนึ่งโอบกอดนางไว้ และพานางล้มกลิ้งไปกับพื้น
วินาทีนั้นซูหลีแทบจะลืมหายใจ ตื่นตกใจจนพูดไม่ออก นางรีบยกมือ ลูบไปที่แผ่นหลังของชายหนุ่ม นอกจากผิวหนังที่มีแผลเหวอะหวะ ยังคลำเจอลูกธนูที่ปักลึกเข้ากลางแผ่นหลังของเขาด้วย
ลูกธนูปักลึกเข้าไปในร่างกายเขา บุรุษบนกายนางไม่ร้องครวญครางสักเสียง สิ้นสติไปทันที แต่แขนทั้งสองข้างของเขายังคงกอดนางไว้แน่น ราวกับกลัวว่าจะสูญเสียนางไป
ซูหลีใจเต้นรุนแรง รีบเขย่าร่างเขา ร้องเรียกเสียงดัง “ตงฟางเจ๋อ…ตงฟางเจ๋อ ท่านฟื้นสิ!”
บุรุษบนร่างนางไม่ขยับเขยื้อน ราวกับได้ตายไปแล้ว
เสียงของซูหลีค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นลนลาน ความหวาดกลัวในใจค่อยๆ พรั่งพรูออกมา จนแทบจะกลืนกินนางจนสิ้น นางรีบหยิบขวดยาตรงถุงคาดเอวของเขา เทยาลูกกลอนออกมาหนึ่งเม็ดและป้อนใส่ปากเขา แต่เขากลับไม่สามารถกลืนลงไปได้ ซูหลีแตกตื่นทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงใช้วิธีกึ่งลากกึ่งแบก พาชายหนุ่มที่ไม่ได้สติเดินหาทางออกต่อไป
ช่วงเวลาอันมืดมิดนี้ยาวนานจนเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด เป็นครั้งแรกที่นางเกลียดความซับซ้อนของเส้นทางลับนี้ เพราะเหมือนว่าหาเท่าไรก็หาทางออกไม่เจอ ในที่สุดก็เดินมาถึงอุโมงค์เส้นสุดท้าย หากทางนี้ยังถูกปิดอีก เช่นนั้นพวกเขาคงต้องถูกฝังอยู่ในนี้ไปตลอดกาลแล้ว
โอบอุ้มความคาดหวังเล็กๆ นางลากชายหนุ่มที่บาดเจ็บสาหัสมาจนถึงปลายอุโมงค์ ยื่นมือไปกดกลไก ประตูหินพลันเปิดออก แสงจันทร์สีเงินเข้ามาแทนที่ความมืดมิดตรงหน้า คล้ายหนทางสว่างในชีวิตของนางก็ถูกเปิดออกด้วยเช่นกัน
นอกประตูศิลา พื้นหญ้าเขียวชอุ่มที่มีดอกไม้สีเหลืองเล็กๆ บานอยู่ทั่วถูกรายล้อมไปด้วยแมกไม้มากมาย ในพื้นที่ว่างร้างไร้ผู้คนผืนนี้ ด้านบนคือดวงดาราระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ราวกับดินแดนแห่งจินตนาการนอกโลก ต่างจากพื้นที่รกร้างวังเวงด้านนอกทางเข้าหลักของเฉินเหมินอย่างสิ้นเชิง
ซูหลีไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด เพียงมองเห็นที่ปลายทางของพื้นหญ้า มีลำธารใสๆ สายหนึ่ง จึงรีบพาตงฟางเจ๋อไปริมลำธาร ฉีกแขนเสื้อออกมา และทำแผลให้เขา
ชายหนุ่มที่อยู่ในห้วงหลับใหลยังคงไม่ได้สติ ซูหลีมองดูลูกธนูที่ปักลึกเข้าไปในตัวเขา ไม่รู้ควรทำเช่นไรดี
อากาศเช่นนี้ หากไม่ดึงออกให้ทันเวลา กลัวแต่ว่าบาดแผลจะยิ่งเลวร้ายลง แต่หากดึงออก ไม่มียาห้ามเลือด ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นอีก
ซูหลีสองจิตสองใจ คิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดหนึ่งรอบ สุดท้ายก็ประคองเขาลุกขึ้นนั่ง
นิ้วมือบอบบางกำลูกธนูแน่น เพราะกำแน่นเกินไปมือจึงสั่นเบาๆ นางหลับตา รวบรวมแรงทั้งหมด ดึงลูกธนูออกมาในครั้งเดียว
ชายหนุ่มที่อยู่ในห้วงหลับใหลพลันตัวสั่นสะท้าน เลือดสดๆ ไหลอาบแผ่นหลัง ทะลักท่วมบาดแผลที่นางใช้ฝ่ามือกดทับไว้อย่างรวดเร็ว ซูหลีอดไม่ได้ที่จะกอดร่างเขาไว้แรงๆ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและลนลาน
หลังจากที่นางเกิดใหม่ เขาเป็นคนแรกที่ยอมตายแทนนางได้โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าเขาจะทำไปเพราะเหตุผลหรือจุดประสงค์ใด และไม่ว่านางจะเคยผ่านเรื่องใดมาบ้าง ยามนี้ ไม่มีทางที่นางจะไม่รู้สึกซาบซึ้งและหวาดกลัว และความซาบซึ้งหวาดกลัวเช่นนี้ ก็ไม่เกี่ยวข้องกับฐานะ ไม่เกี่ยวข้องกับแผนการและผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น นางเพียงหวาดกลัว หวาดกลัวว่าชายหนุ่มผู้ที่ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูผู้นี้ จะตายในอ้อมอกของนางไปทั้งอย่างนี้ เหมือนเสด็จแม่ของนาง!
นางคิดมาโดยตลอดว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุด ไม่ว่าเมื่อใดล้วนเห็นเรื่องความเป็นความตายและผลประโยชน์ของตนเองมาอันดับหนึ่งเสมอ แต่วันนี้การกระทำของเขาอยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางไปมากจริงๆ
ตงฟางเจ๋อฟื้นขึ้นมาท่ามกลางอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา อาการปวดแสบปวดร้อนทำให้เขาขมวดคิ้ว ทว่าในใจกลับอดไม่ได้ที่จะบังเกิดอารมณ์สับสนระคนความยินดี
ยิ่งเป็นสตรีที่หลั่งน้ำตายากเพียงใด น้ำตาของนางก็ยิ่งล้ำค่ามากเพียงนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกห่วงใย สูดหายใจ ยกมือขึ้นอย่างยากลำบาก ตบไหล่หญิงสาวที่อยู่ข้างหลังตนเองเบาๆ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “อย่าห่วงเลย ข้าชะตาแข็ง ไม่ตายง่ายๆ หรอก” เอ่ยจบก็เทยาออกมาหลายเม็ด ให้นางช่วยบดละเอียดและทาบนแผลเบาๆ ไม่นานเลือดก็หยุดไหล
ซูหลีอดประหลาดใจไม่ได้ ในขวดนี้ใส่ยาอะไรไว้กันแน่? ทั้งสามารถแก้พิษ รักษาบาดแผล แล้วยังห้ามเลือดได้อีกด้วย นี่มันยาวิเศษชัดๆ! มองดูใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดของเขา จู่ๆ นางก็ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ควรเผชิญหน้ากับเขาด้วยท่าทีอย่างไรดี
“ท่าน…” นางอ้าปาก ไม่รู้ควรกล่าวอะไร สุดท้ายกลับถามคำถามโง่เขลา “ท่านเจ็บหรือไม่?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
ตงฟางเจ๋อเอียงหน้าเล็กน้อย หญิงสาวขอบตาแดงก่ำ ในแววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หัวใจเขาพลันสั่นไหว อดไม่ได้ที่จะโน้มศีรษะเข้ามา ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ? คงไม่ใช่หลงรักข้าเข้าแล้วกระมัง?”
……………………………………………………….