กำเนิดดาบปีศาจ - ตอนที่ 48 - พินิจพิเคราะห์
กําเนิดดาบปีศาจ กําเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 48 – พินิจพิเคราะห์
กําเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 48 – พินิจพิเคราะห์
ภายในชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ลานเซย์ มีชายคนหนึ่งในวัยห้าสิบปีผมหยิกสีทองกําลังดูแผนที่ที่มีเบี้ยวางอยู่ตามตําแหน่งต่างๆ ขณะนั้นเองก็มีทหารคนหนึ่งปรากฏตัวข้างหลังเขาและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“ท่านโทเบียส สายสืบการคุ้มกันเบซิลส่งรายงานมาแล้วขอรับ ไม่มีทหารคนใดของเควินที่ออกมาต่อสู้เลยขอรับ มีเพียงแค่เด็กคนหนึ่งที่เข้ามาต่อสู้และกําจัดชาวบ้านของเราจนสิ้น ตอนนี้พวกนั้นกําลังมุ่งหน้ากลับมายังที่นี่ขอรับ”
โทเบียสพยักหน้าโดยไม่ได้หันกลับไปมองทหาร จากนั้นก็ขยับเบี้ยหนึ่งตัวบนแผนที่ “รู้หรือยังว่าเบซิลอยู่รถคันใด?”
“ขอรับ สายสืบรายงานมาว่าเขาออกมาอาเจียนนอกรถหลังจากความรุนแรงในการต่อสู้จบลง”
โทเบียสส่ายหน้า “เจ้าเด็กนั่นช่างอ่อนแอ สายเลือดของอัครบิดรคงจางเกินไป ไม่แปลกที่เราถึงอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้” เขาถอนหายใจจากนั้นก็ชี้ไปบนแผนที่ “ส่งจอมเวทย์ไปสกัดกั้นพวกนั้นที่ผาทวิลโบเรีย และไปปลุกหลานข้าด้วย”
ในขณะเดียวกันนั้น ในกองขบวน โนอาห์กําลังนอนอยู่บนหลังคารถม้ารวบรวมพลังงานจิตเป็นสมาธิเพื่อตรวจสอบแวดล้อมโดยรอบ
พวกเขากําลังถึงสถานที่ที่เรียกว่ายาทวิลโบเรียซึ่งในความคิดของเควิน สถานที่แห่งนี้เหมาะแก่การถูกดักซุ่มโจมตีอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังทุกอย่างที่ผิดปกติที่จับได้ด้วยการรับรู้ของเขา
หากมองจากจุดสูงสุดของเมืองมอสโกรฟจะพบว่าคฤหาสน์ลานเซย์อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับคฤหาสน์บัลวัน ดังนั้นโนอาห์จึงไม่รู้จักสภานแวดล้อมในแถบบริเวณนี้มากเท่าไหร่นัก
ขณะนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่ามีใครบางคนเข้ามาใกล้ทางด้านข้าง เขาหันไปทิศทางดังกล่าวและพบเบซิลกําลังปืนขึ้นมาบนหลังคารถม้าที่เขาอยู่
โนอาห์รอดูขุนนางปีนป่ายขึ้นมาจนสําเร็จอย่างอดทนและยิ้มให้เล็กน้อยเมื่อเขามานั่งลงข้างๆ
“มีอะไรให้ข้าช่วยงั้นหรือ ท่านทายาท?”
เบซิลพยักหน้าและตอบกลับ “ข้าอยากให้เจ้าตอบคําถามของข้า”
โนอาห์เกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย “ว่ามาสิ ข้ากําลังว่างอยู่พอดี” เนื่องจากเขายังไม่ได้รับอักษรรูนคีเซอร์ที่สองดังนั้นการฝึกฝนของเขาจึงต้องพักเอาไว้ชั่วคราว
“เจ้าฆ่าคนพวกนั้นทั้งหมดได้ยังไง?”
โนอาห์เกิดความสับสนไปชั่วครู่และชี้ไปยังดาบข้างหลังพร้อมกับสีหน้าเชิงตั้งคําถาม
“ไม่ใช่ ขาหมายถึง ทําไมเจ้าถึงทําได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนั้น?” เบซิลแก้ไขคําถามและในที่สุดโนอาห์ก็เข้าใจถึงความหมายของคําถาม
“อืม ข้าเชื่อว่าท่านคงไม่รู้สึกผิดใดๆ หากท่านฆ่าสัตว์สักตัวเพื่อเป็นอาหาร เช่นเดียวกันกับมนุษย์ที่อยู่บนเส้นทางแห่งพลัง พวกเขาเข้ามาขวางทางข้าฉะนั้นข้าจึงต้องกําจัดพวกเขา”
เบซิลรู้สึกสับสนเมื่อได้ฟังชายคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเขากล่าวถึงชีวิตมนุษย์ในรูปแบบเช่นนี้
“ตะ แต่ว่า มันไม่เหมือนกันหรอกนะ หากเจ้าไร้ซึ่งพลัง เจ้าก็ไม่ตายหรอก! พวกเขาเป็นเพียงแค่สามัญชนธรรมดาที่หิวโดยและต่อสู้เพื่ออาหาร!”
โนอาห์มองเขาด้วยท่าที่เหยียดหยัน “ท่านเองไม่ใช่รึ ที่เป็นผู้ที่ต้องการอวดซากศพของข้าแก่สัตว์ทั้งหมายที่คอยปกป้องท่าน?”
เบซิลพูดไม่ออกจากคําตําหนิของโนอาห์และเกิดความละอาย เผยให้เห็นบนใบหน้า
“ขะ ข้าเพียงเลียนแบบวิธีที่ผู้คนในตระกูลโชสติเขาทํากันก็เท่านั้น ข้าไม่เคยเห็นศพมาก่อน”
โนอาห์ส่ายหน้า เด็กน้อยก็ยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่วันยันค่ำ มีแค่ฉันนี่แหละที่แปลกเพราะรูปร่างหน้าตาไม่สะท้อนอายุที่แท้จริงออกมาให้เห็นเลย”
เขาคิดเล็กน้อยจากนั้นก็ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “หากตอนนี้มีมังกรสักตัวบินผ่านมาและโจมตีเรา เราจะตายกันหมด ความดีความชั่ว และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจะกลายเป็นเถ้าถ่านด้วยเหตุการณ์ต่างๆ หากท่านกล่าวว่า ไม่มีพลังก็ไม่ตายหรอก นั่นผิดมหันต์ ชาวบ้านพวกนั้นอ่อนแอ เช่นนั้นพวกเขาจึงถูกเอารัดเอาเปรียบจนพวกเขาเลือกที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านกลุ่มผู้ฝึกตน จุดจบของพวกเขาถูกกําหนดไว้แล้วตั้งแต่ที่พวกเขาเลือกที่จะยอบรับข้อตกลงจากท่านลุงของท่าน ท่านอ่อนแอ เช่นนั้นตระกูลของท่านจึงตามล่าท่านเนื่องจากสถานะที่ติดตัวมาพร้อมกับตอนที่ท่านเกิด และทั้งหมดที่ท่านทําได้ก็มีแค่หลบอยู่ในรถม้าโดยหวังว่าท่านเควินจะแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องท่านได้”
สายตาเบซิลมองต่ำขณะฟังคําพูดของโนอาห์ที่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น
“หากท่านสนใจใส่ใจบางสิ่ง ท่านจะแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องมัน หากท่านต้องการบางสิ่ง ท่านก็ต้องแข็งแกร่งพอที่จะคว้ามันมาครองได้ หากท่านอ่อนแอ ท่านก็ต้องพัฒนาเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น หากท่านต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น ท่านก็ต้องมีความแน่วแน่ที่จะปีนข้ามซากศพกองเท่าภูเขานั่นไปให้ได้ ท่านควรเข้าใจได้แล้วว่าโลกแห่งการฝึกตนนั้นไม่ใช่โลกที่สวยงามอย่างที่ท่านคิด”
เบซิลพยักหน้าและเอ่ยคําถามสุดท้ายในใจออกมา “ฆ่าคนบริสุทธิ์ถึงห้าสิบคนเพื่อปกป้องคนคนเดียวเพื่อพลังที่เพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย เจ้าไม่กลัวว่าโลกจะตัดสินว่าเจ้าเป็นปีศาจหรือ?”
คําถามนี้ทําให้โนอาห์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาพยายามดึงทุกประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดในชีวิตออกมาใช้ การต่อสู้กับสัตว์เวทมนตร์ การฝึกฝนการต่อสู้กับอาจารย์ รอยยิ้มของแม่ ภารกิจทั้งหมดจนกระทั่งมีหนึ่งภาพที่ปรากฏชัดในจิตใจของเขา
ชายแก่คนนั้นที่เหาะได้ เขายกมือขึ้นมาข้างหนึ่งเพื่อขวางหอกไฟที่มังกรพ่นออกมา ในสายตาของทารกคนหนึ่ง เขาดูเหมือนกับพระเจ้าที่ปลดแอกทุกข้อจํากัด แม้แต่มนุษย์ธรรมดาก็เอื้อมไม่ถึง
“จะต้องผ่านอุปสรรคอีกสักเท่าไหร่กว่าจะไปถึงขั้นนั้นได้”
โนอาห์มองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว เขาจ้องมองไปยังจุดหนึ่งด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ความปรารถนาอันบริสุทธิ์และไร้ขอบเขตสําหรับพลังเกิดความชัดเจนขึ้นภายในใจของเขาจากนั้นเขาก็ตอบกลับ
“แล้วไง?”
เบซิลกําลังจะถามต่อแต่จู่ๆ ก็สัมผัสถึงความเย็บวาบที่ห่อหุ้มร่างกายเขาไว้ โนอาห์ยังคงแหงนหน้ามองท้องฟ้าแต่ดวงตาของเขากลับดํามืดและเย็นชา ราวกับสัตว์ร้ายที่กําลังจ้องมองเหยื่อของมัน เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของโนอาห์ เบซิลจึงหยุดที่จะถามต่อและปืนลงไปเพื่อที่จะกลับไปอยู่ในรถม้าดังเดิม
โนอาห์มองท้องฟ้านานระยะหนึ่งก่อนจะเคลื่อนสายตาไปยังเทือกเขาเล็กๆ ที่อยู่ถักไปจากหน้าผาในระยะไกล
“ถ้าโลกจะเรียกฉันว่า ปีศาจ ก็ให้เรียกไปสิ หากมันมอบพลังให้ฉันเพื่อปกป้องแม่และช่วยให้มุ่งไปบนเส้นทางแห่งการฝึกตนต่อได้โดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น ฉันก็ยินดีและพร้อมที่จะละทิ้งความเป็นมนุษย์ไป”
ขบวนยังคงมุ่งหน้าไปยังผาทวิลโบเรียโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีหนอนบ่อนไส้อยู่ในกลุ่มหรืออันตรายที่กําลังรออยู่ข้างหน้าเลย