การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] - ตอนที่ 51
LS ตอนที่ ๕๑
เมื่อราตรีมาถึง ซูหลี่ก็พาพี่ชายกับน้องสาวเข้าไปในภัตตาคาร เถ้าเเก่อู่ผู้ร้อนใจรู้สึกโล่งออกและเอ่ยขึ้น “คุณหนู ในที่สุดท่านก็กลับมา ทำไมท่านออกไปเสียนานขนาดนี้ล่ะขอรับ?”
จากนั้นเถ้าแก่อู่ก็เบนสายตาผ่านคุณหนูสองมาที่ฟ่างหยวน เขาดูเคร่งเครียดและดุด่า “ฟ่างหยวน เจ้านำทางคุณหนูสองไปที่ถนนทิศใต้ทำไม? หากคุณหนูสองตกอยู่ในอันตราย เจ้าจะช่วยนางได้เรอะ?”
ดวงตาของฟ่างหยวนฉาบวูบ เผยให้เห็นอารมณ์ซับซ้อนภายใน แต่เขาไม่เอ่ยอะไรและมองที่ซูหลี่
ซูหลี่โบกมือและกระซิบ “อย่าตำหนิฟ่างหยวนเลยจ้ะ เป็นความผิดของข้าเอง น้องสาวของฟ่างหยวนเป็นไข้หวัด ข้าเลยพานางไปไป๋เฉ่าถัง มันเลยใช้เวลานานอยู่ เราไม่ได้เจออันตรายอะไรเลย”
“อย่างนี้นี่เอง” เถ้าแก่หันไปทางคุณหนูสองด้วยท่าทีอ่อนโยนและพลันยิ้มออกมา “ข้าไปเยี่ยมนายท่านเมื่อวันนี้ขอรับ เขาเอ่ยชมท่านว่าสรุปบัญชีได้อย่างยอดเยี่ยม ท่านเป็นอัจฉริยะโดยแท้”
ซูหลี่หัวเราะในลำคอและไม่เอ่ยอะไร หลังจากจัดที่พักใหม่ให้กับพี่ชายและน้องสาวแล้วนางก็นั่งรถม้ากลับไปที่บ้านตระกูลซู
“แม่บ้านหลี่ ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ขอนอนพักเร็วหน่อยนะจ๊ะ”
หลังอาหารมื้อเย็น ซูหลี่ก็ออกคำสั่ง แม่บ้านหลี่ตอบรับอย่างรวดเร็วและออกไปหลังจากรับใช้คุณหนูในห้องน้ำแล้ว ก่อนจะนอนลง
หลังจากที่ลมหายใจของแม่บ้านหลี่หายไปแล้ว ซูหลี่ก็ลุกขึ้นนั่ง
หลังจากได้เห็นการต่อสู้นองเลือดของฟ่างหยวนในวันนี้และมองย้อนกลับไปยังชีวิตเมื่อชาติที่แล้ว นางก็มีแรงบันดาลใจมากขึ้น การฝึกเสวียนกงในตอนนี้จะให้ผลครึ่งหนึ่งหากพยายามเป็นสองเท่า นางจึงบอกให้แม่บ้านหลี่ออกไปเพื่อที่นางจะได้มีเวลามากพอที่จะสังเคราะห์แรงบันดาลใจ…
ในเช้าตรู่ของวันถัดไป แสงยามอรุณรุ่งก็ได้ฉายลงมาที่ห้อง ควันสีม่วงลอยอวลรอบเตียงราวกับดินแดนเทพนิยาย เมื่อเสียงไก่ขันดังขึ้น ควันสีม่วงหนาแน่นก็ได้ลอยขึ้น เข้าไปในตัวซูหลี่ราวกับวาฬกำลังสูดน้ำ
“ฟู่…”
ซูหลี่พ่นอากาศที่หมุนตัวออกมาและขนตาของนางก็สั่นระริกเล็กน้อย ทันใดนั้นเองนางก็ลืมตาใสกระจ่างขึ้นช้า ๆ อากาศตรงหน้ากระจายหายไปกลับสู่สภาพปกติ
“ข้าไม่คิดเลยว่าจะไปถึงอุปสรรคขั้นที่เก้าของเสวียนกงในเวลาไม่ถึงครึ่งปีในชาตินี้ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าคงจะบรรลุฌานแล้ว…”
เมื่อซูหลี่มองมือขาวเรียวทั้งคู่ นางก็มีอาการนิ่งสงบ
นางยังจำได้อยู่ว่าในชีวิตชาติที่แล้ว เนื่องจากการฝึกที่ไม่เหมาะสม ศักยภาพของนางจึงอ่อนกำลัง นางจึงฝึกได้เพียงขั้นอุปสรรคที่แปด ในที่สุดนางก็ตัดมือสองข้าเพื่อใช้ฝึกอุปสรรคขั้นที่เก้าโดยวิธีต้องห้ามในตำราแห่งพิษ แต่นางก็ถูกคนที่ฝึกถูกทางเจอตัวเข้า และถูกไล่ล่าอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้นางมีอายุเพียงสิบห้าปีและฝึกวรยุทธ์วิปัสสนาหุบผาภูติได้ถึงระดับอุปสรรคขั้นที่ห้าซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับอาจารย์ของนาง แต่การฝึกเสวียนกงของนางด้อยกว่าเขาเล็กน้อย
แน่นอนว่าในการรักษาอาการเจ็บป่วยและช่วยชีวิต อาจารย์ของนางสมกับเป็นท่านหมอมากทักษะชั้นสูง ทักษะในการชุบชีวิตของเขาอยู่ห่างไกลจากนางมากนัก ในชีวิตชาติที่แล้ว อุปสรรคในการฝึกวรยุทธ์วิปัสสนาหุบผาภูติยังไม่กระจ่าง นางตีความพวกมันผิดว่าเป็นวิธีการสังหาร ในชีวิตชาตินี้นางได้บรรลุอุปสรรคห้าขั้นแรกมาแล้ว ตอนนี้นางรู้จักทักษะการสู้พิษโดยใช้พิษแล้ว
“หญ้าและสมุนไพรพิษยังไม่เพียงพอ ต่อหน้าศัตรูพลังแข็งแกร่งข้าคงไม่ชนะ แต่ในเมื่อพี่ชายใหญ่ยังไม่กลับมา ข้าก็ยังมีเวลาเตรียมตัวเพียงพอ”
ดวงตาของซูหลี่เป็นประกายด้วยความคิดหลากหลาย ตอนนี้นางคุมกิจการของตึกไป๋เว่ยแล้ว แผนของนางก็ได้เริ่มต้นแล้วในที่สุด
หลังอาหารเช้า พ่อบ้านมองหาคุณหนูสองอย่างรีบร้อนก่อนที่นางจะเข้าเรียนในเรือนตะวันออก พ่อบ้านได้เอ่ยขึ้น “คุณหนู ส่วนผสมเครื่องปรุงในภูเขาใกล้เคียงถูกเก็บมาแปรรูปแล้วขอรับ ข้าบอกให้เหล่าคนใช้ปลูกพวกมันอยู่ แต่มันก็โตไม่ดีเลย ท่านมีวิธีอะไรไหมขอรับ?”
ดวงตาของซูหลี่เป็นประกายและนางก็เอ่ยเสียงนุ่ม “พ่อบ้าน เครื่องปรุงที่มีอยู่ในตระกูลซูเหลือใช้อยู่อีกนานเท่าใด?”
หลี่หยินหัวเราะและเอ่ยขึ้น “วางใจเถิดขอรับ นานตราบเท่าที่ธุรกิจยังไม่ขยายสาขา เครื่องปรุงพวกนั้นสามารถใช้ได้อีกปีหนึ่งเลยขอรับ”
“ถ้างั้นข้าก็วางใจ การปลูกต้นไม้ไม่สำเร็จส่วนมากเกิดจากฤดูกาลที่ไม่สัมพันธ์กัน เวลาหนึ่งปีก็เพียงพอแล้วที่จะหาฤดูปลูกที่เหมาะสม”
หลี่หยินอึ้งไปและรีบเอ่ยชม “ข้าหัวช้านัก ไม่ทันได้คิดในเรื่องนี้ คุณหนูช่างฉลาดจริง ๆ นะขอรับ!”
ซูหลี่หน้าแดงและยิ้มขื่นเล็กน้อยพลางเอ่ยต่อ “ข้ามั่นใจว่าท่านมีความคิดเช่นกันได้โดยที่ข้าไม่ต้องเตือนเลย”
หลังจากที่หลี่หยินจากไปด้วยอารมณ์ขัน ซูหลี่ก็หยุดยิ้มและเข้าเรียนในเรือนตะวันออก ฉีเซี่ยนชิงรอนางเป็นเวลานาน หลังจากเลิกเรียนและซูชิงฮ่าวออกไปแล้ว ฉีเซี่ยนชิงก็ขยับตัวมาใกล้ซูหลี่และเอ่ยอย่างดีใจ
“ดีมาก เจ้าบรรลุจุดวิกฤตของ ไม่มีอะไรประหลาด มาได้แล้ว งั้นก็อย่าเสียเวลากับมันมากเลย คงสภาพรูปลักษณ์ก่อนการเปลี่ยนแปลงไว้เถอะ ให้ข้าดูการพัฒนาในเรื่องเสวียนกงของเจ้า”
“เจ้าค่ะท่านอาจารย์”
ซูหลี่พยักหน้า นางรีบรุดเข้าไปหาอาจารย์ทันที ทำให้เกิดลมพัดวูบทั่วทั้งห้องเรียน
ดวงตาของฉีเซี่ยนชิงเบิกกว้าง พลังยุทธ์ของเด็กสาวอยู่ในระดับจุดวิกฤตของอุปสรรคขั้นที่สามในวรยุทธ์วิปัสสนาหุบผาภูติแล้ว นางใกล้จะถึงอุปสรรคขั้นที่สามนักขณะที่นางสามารถเรียนรู้ความหมายที่แท้จริงของวรยุทธ์อันน่าอัศจรรย์นี้
“ยอดเยี่ยม!” ฉีเซี่ยนชิงเอ่ยชมนางและลุกขึ้นฝึกฝีมือกับนาง…
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ซูหลี่ก็แกล้งทำเป็นหายใจหอบและหยุดมือ
เมื่อฉีเซี่ยนชิงมองผู้เป็นศิษย์ เขาก็อดยิ้มไม่ได้ พื้นฐานวรยุทธ์ของซูหลี่มั่นคงกว่าเขานักเทียบกับตอนที่เขาอายุเท่านาง เขาไม่เคยเห็นใครที่มีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ยอดเยี่ยมเหมือนนางเลย หากนางเข้าร่วมการประลองวรยุทธ์ในจังหวัดชิงเหอ นางอาจเป็นผู้ชนะก็ได้
ฉีเซี่ยนชิงจากไปด้วยใบหน้ากลายเป็นสีแดง ซูหลี่ปาดเหงื่อบนหน้าผากพลางย่นคิ้ว ตอนที่นางบรรลุอุปสรรคขั้นที่ห้า นางพลันรู้สึกว่านอกจากพลังยุทธ์แล้ว มันมีอะไรบางอย่างผสมอยู่ในเสวียนชี่ของอาจารย์นางด้วย
“เป็นเพราะวรยุทธ์วิปัสสนาหุบผาภูติ..”
ซูหลี่คิด จากนั้นนางก็ควบคุมความคิดของนาง เนื่องจากมีสิ่งสำคัญที่ต้องจัดการในคืนนี้ นางไม่ควรคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในตอนบ่าย ซูหลี่นั่งอยู่ในห้องด้านหลังตึกไป๋เว่ยเพื่อพักผ่อน ฟ่างหยวนกลับมาจากด้านนอกด้วยเหงื่อท่วมตัว เหอชี่ตบบ่าฟ่างหยวนและกระซิบ
“คุณหนูสองจะให้เจ้าเป็นคนไปส่งไก่ขอทาน นี่คืองานรายได้ดี เจ้าน่าจะคว้าโอกาสนี้ไว้ บางทีตำแหน่งเถ้าแก่ก็จะเป็นของเจ้า”
ดวงตาของฟ่างหยวนฉายแววใคร่ครวญจริงจัง เขาแกล้งทำเป็นตื่นเต้นและเอ่ยขึ้น “ท่านพี่เหอ ข้าจะพยายามอย่างดีที่สุดขอรับ”
“ดีแล้วไอ้หนุ่ม คุณหนูอยากถามคำถามบางอย่างกับเจ้า รีบไปหาเร็ว” เหอชี่ที่ดูซื่อตรงทำตัวเหมือนพี่ชายใหญ่โดยแท้จริง
หลังฟ่างหยวนปาดเหงื่อที่ผุดพรายออก เขาก็เดินไปด้านหลังตึกและยืนอยู่ตรงหน้าซูหลี่ เถ้าแก่อู่เหลือบมองพวกเขาที่ประตูและรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย “คุณหนูช่างเห็นค่าเจ้าหนุ่มโง่นั่นเหลือเกิน ข้าไม่รู้ว่าท่านโจวให้รางวัลกับเขามากแค่ไหน เมื่อไหร่ที่เขากลับมาข้าจะส่งจดหมายข่มขู่เขาล่ะ…”
ซูหลี่ดื่มชาอึกหนึ่งอย่างสงบ หลังจากเถ้าแก่อู่จากไปแล้วนางก็ถามเสียงนุ่ม “เป็นอย่างไรบ้าง?”
ฟ่างหยวนสะดุ้งและมองไปรอบ ๆ เขาหยิบเงินที่เหลือวางบนโต๊ะและเอ่ยตอบ “เรียบร้อย ข้านำรถม้ามาจากตลาดมืด ไม่มีใครรู้แน่”
ซูหลี่คว้าเงินและวางบนมือของฟ่างหยวนพลางเอ่ยขึ้น “ซื้อเสื้อผ้าสักชุดซะ ตั้งแต่ยามอู่ถึงยามจื่อวันนี้ ให้รอข้าอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวาทางด้านหลังภูเขาของบ้านตระกูลซู”
ฟ่างหยวนรู้ว่าานางกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอย่างที่คิดไว้ แต่เขาก็ทำตัวเป็นปกติและหยิบเงินจากไป.
ที่ตึกไป๋เว่ยในตอนเที่ยงคืน
หลังยืนยันว่าน้องสาวหลับสนิทดีแล้ว ฟ่างหยวนก็สวมชุดดำออกราตรี เขาเดินไปบนชายคาราวกับเหยี่ยวและหายไปกับความมืด หลังจากวิ่งมาห้านาที ต้นกุ้ยฮวาบนภูเขาด้านหลังบ้านตระกูลซูก็อยู่ในสายตา เงาร่างระหงสีดำยืนอยู่ใต้ต้นไม้
“เจ้าอยู่ที่นี่หรือเปล่า? ไม่ใช่เวลาที่นัดไว้นี่”
ฟ่างหยวนงุนงงและเดินเข้าไปทางด้านหลังของซูหลี่อย่างเงียบ ๆ โดยไร้เสียงใด ๆ
“ขอรับ ข้าเองคุณหนู”
“คำว่าคุณหนูฟังดูเหินห่างไปนะ” ซูหลี่ในชุดดำมองมาทางด้านหลังและยิ้มบาง “เป็นเวลาดีที่จะทำเรื่องชั่วในคืนมืดมิดและลมแรงแบบนี้ มากับข้า”
ซูหลี่ย่างก้าวเบา ๆ โดยไร้เสียง
ฟ่างหยวนรู้สึกงุนงงและมีความสงสัยหลายอย่างอยู่ในใจ แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะมาถามและตามซูหลี่ไป
คืนมืดมิดนี้อำพรางพวกเขาอย่างสมบูรณ์แบบ หลังฟ่างหยวนกับซูหลี่ปีนเนินเขาเล็ก ๆ ขึ้นมาแล้ว ฟ่างหยวนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นภาพตรงเชิงเขา
“นี่มัน…โกดังลับของตระกูลซูนี่?”
ฟ่างหยวนหันกลับไปมองซูหลี่ที่มีอาการสงบ เขากระซิบ “ทำไมเจ้าถึงพาข้ามาที่นี่? หรือบางที…”
เขาจำได้ว่าซูหลี่ขอให้เขาจอดรถม้าในสถานที่ที่ไม่ไกลจากภูเขาด้านหลังมากนัก
ซูหลี่หยิบธูปออกมาจากที่ไหนไม่อาจทราบและวางบนมืดของฟ่างหยวน นางเอ่ยเสียงนุ่ม “คืนนี้ลมตะวันออกกำลังพัด กลิ่นธูปนี้จะมีฤทธิ์อยู่สามชั่วยาม ลงมือซะ”
ฟ่างหยวนรู้สึกชาวาบ ที่แท้นางก็จะขโมยของบางอย่างจากโกดังนี่เอง แต่นางเป็นสมาชิกตระกูซูนะ ทำไมนางถึงจะขโมยของของตระกูลตัวเองกัน?
ด้วยคำถามนั้นในใจ ฟ่างหยวนก็หยิบไม้ขีดออกมาจุดธูป เขาปิดจมูกและโรยตัวลงมาจากภูเขาราวกับภูติผี
กลิ่นธูปไร้สีไร้รส มันถูกพัดไปที่โกดังด้วยลมตะวันออก หลังจากนั้นครู่หนึ่งฟ่างหยวนก็ได้ยินเสียงกระทบพื้นหนัก ๆ ทั่วทั้งโกดังลับตอนนี้เงียบสงัด
ซูหลี่เดินลงมาจากถนนบนภูเขาอย่างสงบและยืนตรงหน้าฟ่างหยวน “นำรถม้ามาที่นี่ เรามีเวลาไม่มากแล้ว”
ฟ่างหยวนหันหลังจากไปอย่างเก้กัง หลังเดินไปที่เรือนแล้วซูหลี่ก็มองบรรดาผู้คุ้มกันที่อยู่บนพื้นและเงี่ยหูฟังอย่างระมัดระวังให้แน่ใจว่าไม่มีเสียงลมหายใจเพิ่มเติม จากนั้นนางก็หยิบกุญแจจากเอวของผู้คุมเปิดประตูโกดังทีละดอก
ฟ่างหยวนหยุดรถม้าไว้และเดินเข้าไป เห็นของต่าง ๆ ในโกดังแล้วฟ่างหยวนก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “เจ้าต้องการอะไร? ของพวกนี้ทั้งหมดล้วนเป็นของจุกจิกหรือไม่ก็วัตถุดิบอาหาร หากเจ้าอยากจะเอามันไปแลกกับเงิน เจ้าขโมยเงินในหอบัญชีจะดีกว่า”
ซูหลี่ส่ายหน้าเบา ๆ และรีบหาเครื่องปรุงในโกดังหลังหนึ่งโดยตามกลิ่นของมันไป ฟ่างหยวนเดินตามไปและเห็นพวกมัน เขาตะลึงและโพล่งออกมา “เจ้าจะย้ายวัตถุดิบอาหารพวกนี้ออกมาและปล่อยให้ตึกไป๋เว่ยล้มละลายงั้นหรือ?”
“ตึกไป๋เว่ยขายมันเป็นเครื่องมือทำเงิน ข้าจะปล่อยให้มันล้มละลายได้อย่างไรกันล่ะ? ข้าแค่หยิบของที่เป็นของข้า เหลือไว้แค่เครื่องปรุงที่เพียงพอในการทำอาหารวันหนึ่งก็พอ”
เราจะขนย้ายวัตถุดิบออกมาเก้าส่วนเชียวหรือ?
ฟ่างหยวนประหลาดใจ ซูหลี่ยิ้มนุ่มนวลและชี้ไปที่กระสอบส่วนผสมที่กองสูงถึงเพดาน “อีกสามชั่วยามจะเช้าแล้ว เร็วเข้า!”
“ให้ข้าขนคนเดียวเหรอ?” ฟ่างหยวนอดไม่ได้ที่จะถาม หลังมองกลับไปเขาก็เห็นซูหลี่ยิ้มยิงฟันขาว นางเอ่ยขึ้น “เจ้าอยากให้ข้าขนมันเหรอ?”
เห็นซูหลี่อยู่ในชุดกระโปรง ฟ่างหยวนก็จิ๊ปากหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้แย้งนางอีก เห็นดังนี้ซูหลี่ก็ยิ้มดีใจมากกว่าเดิม