การเดินทางของผมกับจอม(มาร)ปราชญ์ผู้อยากเที่ยวรอบโลก - ตอนที่ 7 ดั่งตาของเหยี่ยว
ในตรอกแคบๆ หลังโรงเก็บของเก่า ลีโอและอาร์วินยืนเฝ้ามองพวกโจร ที่พวกเขาเพิ่งจับได้ พื้นดินรอบตัวเต็มไปด้วยกองดินโคลนที่ทับถมกันมานาน ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอับ และความมืดสลัว โจรทั้งสองถูกจับมัดมือไพล่หลัง และนั่งพิงกำแพงอย่างสิ้นหวัง ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยเหงื่อ ที่ไหลซึมออกมาจากความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“หลังจากที่เราหนีจากพวกท่านทั้งสอง เราคิดว่าคงจะปลอดภัยแล้ว” โจรคนนั้นหันไปมองเพื่อนของเขาเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ และเริ่มเล่าเรื่องราว “แต่ตอนที่เรากำลังหลบเข้าไปในป่า เราก็ถูกซุ่มโจมตี…”
“ซุ่มโจมตี?” ลีโอกล่าวด้วยความแปลกใจ “จากใคร?”
“เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร…หรือใคร…” โจรคนนั้นกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสั่น “แต่เรารู้เพียงว่า… พวกมันไม่ได้เป็นคนธรรมดา พวกมันใช้อาวุธที่เรืองแสงในความมืด และมีเปลวไฟลุกไหม้ ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน มันน่ากลัวมาก”
ลีโอกับอาร์วินสบตากันอย่างสงสัย ก่อนลีโอถามต่อ “จำได้ไหมว่าพวกมัน หน้าตาเป็นอย่างไร? มีจำนวนเท่าไหร่?”
“ข้าไม่เห็นชัด… พวกมันโจมตีพวกเราเร็วมาก แต่น่าจะมีเกินสิบ ถ้านับจากจำนวนอาวุธเรื่องแสงที่ข้าเห็น” โจรกล่าวอย่างหวาดกลัว “พวกมันทำร้ายคนของเราหลายคน เราวิ่งกระจัดกระจายกันไป จนตอนนี้ ยังมีอีกหลายคนในหมู่พวกเราไม่กลับมารวมตัวที่จุดนัดพบ…”
“แล้วเจ้าคิดว่าพวกนั้นเป็นอะไร?” อาร์วินถามด้วยความสงสัย บางทีคนที่อยู่ในเหตุการณ์ อาจจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้
“ข้าไม่รู้… ข้าไม่อยากเดา” โจรคนนั้นส่ายหัว “ตอนแรกพวกเรานึกว่าเป็นผี หรือปีศาจ ที่พวกท่านส่งมาไล่ฆ่าพวกเราด้วยซ้ำ!”
“อืม… ถ้าอยากจะทำแบบนั้น ข้าก็อาจจะทำได้นะ” อาร์วินพูดติดตลก ซึ่งสำหรับพวกโจรคงไม่ตลกด้วยสักนิด ลีโอยิ้มแหยๆ เพราะไม่แน่ใจว่าเขาพูดจริง หรือล้อเล่นกันแน่
“มีอะไรอีกหรือเปล่า เอาที่พอจะจำได้ก็ได้” ลีโอพยายามถามอย่างใจเย็น
“ไม่น่าจะมีแล้ว เราไม่เห็นอะไรอีก… แต่ข้าบอกได้เลยว่า พวกมันอันตรายมาก” โจรพูดอย่างตื่นตระหนก “ข้าไม่อยากเจอพวกมันอีก ถ้าเป็นไปได้”
“พวกเจ้าต้องเชื่อเขา พวกเราไม่ได้โกหกนะ” โจรอีกคนย้ำขึ้นมา ท่าทางจะกลัวว่าทั้งสองจะไม่เชื่อคำพูดของเพื่อนอีกคนมากๆ
หลังจากฟังเรื่องราวที่น่าตกใจจากพวกโจร อาร์วินก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาพยายามรวบรวมข้อมูลทั้งหมดในหัว พยายามเชื่อมโยงสิ่งที่ได้ยินกับเบาะแสอื่นๆ ที่พวกเขาเจอมาก่อนหน้านี้
“อาวุธเรืองแสง… และพวกที่โจมตีพวกเจ้า ถ้ามีนับสิบก็ถือว่า ไม่ใช่แค่โจรธรรมดา” อาร์วินพึมพำกับตัวเอง “ยังมีเรื่องน่าสงสัยอยู่ดี ทำไมถึงต้องโจมตีพวกเจ้าด้วย…”
อาร์วินขมวดคิ้ว เขายืนพิงกำแพงและนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ราวกับกำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง “มีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล…”
ลีโอพยักหน้า “แล้วอาวุธเรืองแสงที่พวกเขาพูดถึง… ท่านเคยได้ยิน เรื่องนี้มาก่อนหรือไม่?”
อาร์วินส่ายหัวเล็กน้อย “ยังกว้างไป อาวุธเวทมนตร์หลายชนิด มีคุณสมบัติการเรืองแสงในความมืด และเปลวไฟลุกไหม้นี่อีก ฟังดูไม่ใช่ของทั่วๆ ไป ที่จะเอามาใช้ในการปล้นชิงทรัพย์ธรรมดาเลย”
“มีอย่างอื่นที่สะดุดตาอีกไหม พวกมันใส่เกราะ หรือว่าขี่พาหนะ อะไรหรือเปล่า?” อาร์วินถามพวกโจร ซึ่งก็ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ ดูเหมือนว่านอกจากอาวุธเรื่องแสงติดไฟ จะไม่มีใครจำอะไรได้มากกว่านั้น
“แล้วทีนี้…” ลีโอกล่าวพร้อมหันไปมองพวกโจร “เราจะทำยังไงกับพวกเขาดี?”
อาร์วินมองพวกโจรที่ยังคงนั่งตัวสั่นอยู่ตรงหน้า “พวกเจ้าอยากจะหนีไปไหม?” เขาถามพวกโจรด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น โจรทั้งคู่พยักหน้าตอบรับอย่างร้อนรน “เราจะให้โอกาสเจ้าไป… แต่ข้าขอเตือนว่า ถ้าข้าเห็นพวกเจ้าในเมืองนี้อีก พวกเจ้าจะไม่โชคดีแบบนี้”
โจรทั้งสองพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “พวกเราจะไป… พวกเราจะไม่กลับมาที่นี่อีก ข้าสัญญา!”
อาร์วินพยักหน้าให้กับลีโอ ก่อนที่ลีโอจะปลดเงื่อนเชือก ออกจากข้อมือของโจรทั้งสองคน
“ไปซะ ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ” อาร์วินปัดมือไล่พวกเขาออกไป
พวกโจรรีบเก็บของและวิ่งหนีกลับลงไปในท่อระบายน้ำทันที ราวกับว่าพวกเขากำลังหนีจากปีศาจที่มองไม่เห็น ลีโอยืนมองตามหลัง พวกโจรเหล่านั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาหาอาร์วิน
“ท่านคิดว่าพวกเขาพูดความจริงหรือเปล่า?”
อาร์วินพยักหน้าเบาๆ “ข้าว่าพวกมันพูดความจริง… อย่างน้อย ก็ส่วนที่พวกมันเห็น ส่วนที่ว่าจะกลับมาเมืองนี้ไหม ข้าก็ไม่แน่ใจ”
ลีโอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “งั้นเราต้องสืบหาต่อ อาวุธเรืองแสงที่ติดไฟ… ซึ่งผู้ที่ใช้มันก็น่าจะอยู่ในป่าทางใต้ของเมืองนี้”
“งมเข็มในมหาสมุทรสินะ… แต่ก็ยังดี อย่างน้อยก็ยังรู้ว่าเรากำลังหาเข็มกันอยู่” อาร์วินยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินตรงออกไปจากตรอกแคบๆ ตรงนี้
หลังจากที่พวกเขาออกมาจากตรอก อาร์วินและลีโอกำลังเดินทาง กลับไปที่ที่พักเพื่อวางแผนสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเบาะแสที่พวกเขาได้มา ในขณะที่พวกเขาเดินตามถนนที่เงียบสงบ ลีโอก็สังเกตเห็นกลุ่มอัศวิน ในชุดเกราะสีขาวเงาวับเดินสวนทางมา ซึ่งก็รู้ทันทีว่า นั่นคืออัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่นำโดย รองหัวหน้ากองเซเรน่า ซึ่งพวกเขาได้เคยพบกับเธอมาแล้วเมื่อวานนี้
ลีโอรู้สึกถึงความตื่นเต้นและหวาดกลัวเล็กน้อยในใจ เขาเหลือบมองอาร์วิน ซึ่งยังคงมีท่าทีสงบและดูเหมือนไม่มีความกังวลใดๆ
“ท่านอาร์วิน…” ลีโอกระซิบเบาๆ “พยายามเดินผ่านไปเงียบๆ นะ ข้าไม่อยากให้มีเรื่องกับพวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์น่ะ”
อาร์วินยิ้มเล็กน้อย “เจ้ากลัวว่าเรื่องของข้าจะหลุดไปหรือ?”
ลีโอไม่ได้ตอบอะไร แต่สีหน้าของเขาก็บอกชัดเจนว่าเขากังวลเรื่องนี้มาก
“เฮ้! ท่านอัศวินสาวสุดสวย!” อาร์วินโบกมือเรียกกลุ่มอัศวินที่ลาดตระเวนอยู่
“แล้วจะไปเรียกเธอมาทำไมเล่า!” ลีโอโวยวาย ก่อนจะพยายาม คว้ามือของอาร์วินที่โบกเรียกอยู่ลง “เพิ่งบอกไปอยู่หยกๆ ให้ผ่านไปเงียบๆ น่ะ!”
ก่อนที่ทั้งสองคนจะได้เถียงกันต่อ อัศวินหญิง เซเรน่า ก็เดินเข้ามา และหยุดตรงหน้าพวกเขา “นี่เจ้าสองคนอีกแล้วหรือ… พวกเจ้ายังไม่ได้ เดินทางต่อสินะ?” น้ำเสียงของเธอแฝงด้วยความสงสัย “มีอะไร เรียกพวกข้าทำไม?”
ลีโอรู้สึกถึงแรงกดดันจากสายตาของเซเรน่า เขาอึกอักเล็กน้อย พยายามจะตอบอย่างสุภาพ แต่ก่อนที่เขาจะพูด อาร์วินกลับตอบด้วยน้ำเสียงเบาๆ แต่เจือความขบขัน “โอ้… ข้าอยากถามว่า เจอปีศาจกันแล้วหรือยังน่ะท่าน?”
เซเรน่าขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน “ยังหรอก… แต่ไม่ต้องกังวลไป ยังไม่มีข่าวว่ามีใคร เป็นเหยื่อของปีศาจเช่นกัน สงสัยว่ามันจะกลัวกองกำลังอัศวินศักดิ์สิทธิ์ล่ะนะ”
ลีโอพยายามส่งสัญญาณให้อาร์วินหยุดล้อเลียนเซเรน่า แต่ก็ไม่สำเร็จ “แหม… ยังไม่เจอมันอีกเหรอ?” อาร์วินกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ปีศาจที่หาอยู่ ก็น่าจะตัวใหญ่พอดูนะ ทำไมถึงยังไม่เจอกันล่ะ?”
เซเรน่ามีท่าทีโมโหขึ้นมาอย่างชัดเจน แต่เธอพยายามเก้บอาการสำรวมไว้ การที่จะโวยวายใส่สามัญชน ไม่ใช่กิริยาที่น่าดูนัก สำหรับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้กระทั่งในฐานะสตรีสูงศักดิ์อย่างเธอเอง
ลีโอเริ่มกระสับกระส่าย กลัวว่าเซเรน่าจะสงสัยอะไรเพิ่มเติม เขารีบพูดขึ้น “พ- พวกเราก็แค่เป็นห่วงน่ะขอรับ มีปีศาจเพ่นพ่านแบบนี้ ข้ากับท่านอาร์วิน ที่ไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ น่าจะรับมือกับมันลำบาก ถ้าหากไปเจอเข้าน่ะ”
“อาร์วิน… นั่นชื่อของท่านเหรอ? ท่านนักปราชญ์” เซเรน่ามองอาร์วิน ด้วยสายตาที่สงสัยเล็กน้อย อาร์วินแค่พยักหน้าตอบรับ ก่อนที่เธอจะหันมาทางลีโอ แล้วเอ่ยถามขึ้น “แล้วเจ้าล่ะ? ชื่ออะไร”
“อ่ะ… อ่า ลีโอฟริก วาเลมอนต์ ขอรับ” ลีโอตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“วาเลมอนต์เหรอ? ฟังดูคุ้นจังนะ” อัศวินสาวทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะรีบสลัดความคิดนั้นออกจากหัว “ช่างเถอะ แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้ามีความรู้สึกได้ว่า เราจะกำหราบเจ้าปีศาจนี่ได้ในเร็วๆ นี้ล่ะนะ”
“งั้นเหรอ? ดีจังเลยนะขอรับ” อาร์วินส่งยิ้มให้เธออย่างยียวน แต่โชคดี ที่เธอไม่ทันได้สังเกตเห็นมัน
“แน่นอน ข้าจะจับตามองความเคลื่อนไหวของพวกปีศาจ เหมือนนกเหยี่ยว ที่จ้องกระต่ายจากบนฟ้า พวกมันไม่มีทางรอดจากสายตาของข้า เซเรน่า แห่งกองกำลังอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ไปได้หรอก” เธอใช้กำปั้นทุบไปที่แผ่นเกราะ ที่หน้าอกของเธออย่างมั่นใจ “ไม่ต้องเป็นห่วง เชื่อใจข้าได้เลย”
อาร์วินยิ้มเล็กน้อยและตอบ “หวังว่าเจ้าจะพบสิ่งที่เจ้ากำลังตามหาได้เร็วๆ นี้นะ” เขาพูดอย่างไม่แสดงความกลัวแม้แต่น้อย
หลังจากที่เซเรน่าเดินจากไปพร้อมกับกลุ่มอัศวินของเธอ ลีโอก็หันมามองอาร์วิน ด้วยความกังวล “ท่านไม่ควรล้อเล่นกับพวกเขา…ถ้าเธอสงสัยอะไรขึ้นมา เราจะมีปัญหาใหญ่แน่”
อาร์วินหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่ต้องกังวลขนาดนั้น ข้าแค่จะพิสูจน์ ให้เจ้าได้สบายใจ ว่าร่างของข้าในตอนนี้ มันไม่ถูกจับได้ดายง่ายขนาดนั้น”
“ก็จริงของท่าน ถ้าพูดคุยระยะประชิดขนาดนั้น แต่อัศวินศักดิ์สิทธิ์ยังจับไม่ได้ ก็คงจะหายห่วงได้เรื่องความจะแตกหรือเปล่า?” ลีโอถอนหายใจเหนื่อยๆ เมื่อครู่นี้ทำเอาเขาแกร็งไปหมดเหมือนกัน “วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ”
แต่ในขณะที่ลีโอพูดเตือนอยู่ อาร์วินก็ดูเหมือนจะครุ่นคิดบางอย่าง “เหมือนเหยี่ยว… ที่จ้องจากบนฟ้า…”
ลีโอขมวดคิ้ว “นั่นมันที่ท่านเซเรน่าพูดเมื่อกี๊นี้นี่? ทำไมงั้นเหรอ?”
“ข้าอาจจะได้ไอเดียแล้ว ว่าจะตามหาอาวุธเรืองแสงพวกนั้นได้ยังไง…” อาร์วินตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ตามมา… เจ้าต้องช่วยข้าหาอะไรบางอย่าง”
ในช่วงเย็นเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ลีโอและอาร์วินเดินลึกเข้าไปในป่า เพื่อหาสถานที่ตั้งค่ายสำหรับคืนนี้ ในยามเย็น ป่าที่เงียบสงบนี้ มีเพียงเสียงนกการ้อง กำลังจะกลับรัง และลมพัดเบาๆ ผ่านต้นไม้หนาแน่น ลีโอมองหาจุดที่เหมาะสม ก่อนจะวางสัมภาระลงข้างต้นไม้ใหญ่
“ตรงนี้น่าจะดี” ลีโอกล่าวพร้อมถอนหายใจเบาๆ หลังจากเดินทางมาทั้งวัน “ไม่น่าจะมีใครเห็นเราได้ง่ายๆ”
อาร์วินพยักหน้าเบาๆ ขณะที่เขาหยิบกล่องไม้ขนาดเล็ก ออกจากกระเป๋าของลีโอ ลีโอมองกล่องนั้น ก่อนจะถามขึ้น “ท่านบอกให้ข้าไปซื้อมันมา แต่ข้ายังไม่เข้าใจเลยว่าท่านต้องการมันไปทำอะไร? มันไม่ใช่สินค้าที่คนทั่วๆ ไปจะหาซื้อกันนะ”
“เจ้าจะรู้เอง” อาร์วินตอบพร้อมรอยยิ้มลึกลับ
“ข้าซื้อหนูพวกนี้ มาจากนักจับหนูในตลาด” ลีโอพูดต่อ “ท่านเคยได้ยิน เกี่ยวกับอาชีพนี้ไหม? เป็นงานที่น่าประหลาดใจทีเดียว คนพวกนั้นใช้เวลาทั้งวัน วิ่งไล่จับหนูตามบ้านเรือนและโกดังของเมือง บ้างก็ใช้กับดัก หรือไม่ก็สัตว์เล็กอื่นๆ ช่วย เช่นแมว หรือตัวพังพอน”
“พวกเขาเป็นคนที่ใครๆ ก็เรียกหาเมื่อเมืองมีปัญหากับหนู…” ลีโอนำเอาฟืนที่ซื้อมาด้วยมาต่อกองกันเพื่อที่จะจุดกองไฟ
อาร์วินยังคงเงียบ และไม่อธิบายอะไรมากนัก เขาเปิดกล่องหนูออก และมองดูลีโอที่ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาร์วินถึงต้องใช้หนูพวกนี้ “งั้นเหรอ เมืองของพวกเจ้านี่ มีอะไรสะดวกครบครันดีจัง…”
“เอาจริงๆ เขาก็ตกใจอยู่ ที่ข้าเข้าไปขอซื้อหนูกับเขา ปกติคนทั่วไป ไม่น่าจะซื้อมันกัน” ลีโอกล่าว “ข้าคิดว่าท่านกำลังจะใช้มันเป็นเหยื่ออะไรสักอย่าง ในแผนของท่าน ปกติคนที่ซื้อหนู ก็จะใช้มันไปเป็นเหยื่อของกับดักสัตว์”
ก่อนที่อาร์วินจะได้อธิบายอะไรต่อ เขากลับอ้าปากและ เปล่งเสียงประหลาดออกมา ลีโอไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาทำเสียงแบบนั้น ออกมาจากปากได้อย่างไร เสียงนั้นก้องกังวานไปในป่า ไม่นานนัก หลังจากอาร์วินส่งเสียงออกไป นกฮูกตัวใหญ่ก็บินโฉบลงมาจากต้นไม้ข้างบน มันยืนมองอาร์วินด้วยความสงสัย และร้องขานตอบเสียงของอาร์วิน
ลีโอสะดุ้งถอยหลัง “ท่านเรียกนกฮูกได้ยังไงกัน?”
อาร์วินเพียงแค่ยิ้ม ก่อนจะหยิบหนูตัวหนึ่งจากกล่องแล้วโยนให้กับนกฮูก มันรับหนูไปด้วยกรงเล็บของมัน ก่อนจะฉีกเจ้าหนูผู้โชคร้ายไปอย่างเงียบๆ
“ท่านควบคุมสัตว์ได้ด้วยเหรอ?” ลีโอกระซิบอย่างทึ่ง มองดูเจ้านก สวาปามมื้ออาหารเย็นของมัน
“ไม่ใช่การควบคุม” อาร์วินตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่ต่อรองกับมัน ข้าให้สิ่งที่มันต้องการ แล้วข้าก็จะขอให้มันช่วยทำอะไรบางอย่างให้ข้า”
“แล้วท่านต้องการให้มันทำอะไร?” ลีโอถามพร้อมกับมองนกฮูก ที่ดูจะเชื่องกับอาร์วินอย่างเหลือเชื่อ
“ข้าจะขอให้มันบินวนรอบๆ ป่าในคืนนี้ มองหาอะไรให้พวกเรา” อาร์วินกล่าวพลางปิดกล่องหนู “และเมื่อมันกลับมา ข้าจะให้มันกินหนูที่เหลือในกล่องนี้ เป็นค่าตอบแทน”
ลีโอพยักหน้าพลางนึกทบทวน “ท่านคิดว่ามันจะเข้าใจที่ท่านขอ?”
อาร์วินหัวเราะเบาๆ “สัตว์พวกนี้ฉลาดกว่าที่เจ้าคิด เพียงแค่มันมีสติปัญญา ในรูปแบบที่ต่างไปจากพวกเรา ถ้าเรารู้จักวิธีพูดกับพวกมัน เราก็สื่อสารกันได้”
หลังจากนั้น อาร์วินเปล่งเสียงเบาๆ อีกครั้ง นกฮูกบินขึ้นสู่ท้องฟ้า หายลับไปในความมืดของป่า ลีโอเงยหน้ามองตามมันด้วยความประหลาดใจ
“ข้าคงไม่เคยชินกับการใช้เวทมนตร์ของท่านเลย” ลีโอพูด
“ข้าไม่ได้ใช้เวทมนตร์ทุกครั้งหรอก” อาร์วินตอบ “บางครั้ง แค่การ เจรจาพูดคุยก็เพียงพอแล้ว”
หลังจากที่นกฮูกบินขึ้นฟ้าและหายลับไปในความมืดของป่าได้หลายชั่วโมงแล้ว ลีโอและอาร์วินก็เฝ้าที่แคมป์เพื่อรอการกลับมาของมัน ทั้งคู่จุดกองไฟเล็กๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ แสงจากกองไฟสาดส่องไปรอบบริเวณ แต่ท้องฟ้ายังคงมืดมิดในคืนนี้
“ท่านแน่ใจไหม ว่านกฮูกนั่นจะกลับมา?” ลีโอถามอย่างสงสัย ขณะที่เขานั่งพิงต้นไม้ มองแสงไฟสะท้อนเป็นประกาย
“ข้าทำข้อตกลงกับมันไป” อาร์วินพยักหน้า “มันจะกลับมา เพื่อรับหนูที่เหลือในกล่อง ข้าเชื่อว่ามันจะทำตามนั้น พวกมันจะไม่โกหก เพราะนั่นเป็นความสามารถ ที่ต้องใช้สติปัญญาที่คล้ายกับของมนุษย์”
ลีโอพยักหน้าเล็กน้อย แม้เขายังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็ตัดสินใจจะเชื่อใจอาร์วิน ขณะที่เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ทั้งคู่ก็รอคอยเงียบๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงปีกนกที่ค่อยๆ ดังขึ้นในความมืด
นกฮูกตัวเดิมบินกลับมาที่ค่ายและเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ๆ กับพวกเขา มันมองตรงมาที่อาร์วิน อาร์วินยิ้มบางๆ แล้วลุกขึ้นไปหามัน เขาร้องกลับ เหมือนเป็นคำถามเบาๆ ด้วยเสียงนุ่มนวล
นกฮูกส่งเสียงตอบกลับมาเบาๆ และโผลงมาที่พื้นใกล้กับกองไฟ มันส่ายปีกเล็กน้อยราวกับจะบอกใบ้สื่อสารบางอย่าง อาร์วินพยักหน้าช้าๆ “เข้าใจแล้ว… มีที่ข้าบอกไปจริงๆ”
ลีโอยืนขึ้น “แสดงว่ามีอะไรบางอย่างที่เราควรไปดู?”
“ใช่ เจ้านี่บินไปเจอแสงประหลาด… มันบอกว่ามีกลุ่มดาว เล็กๆ กระจุก อยู่ในป่า” อาร์วินยิ้มเล็กน้อย “จากการตีความ นั่นก็คงเป็นสิ่งที่เราตามหา”
เขาหยิบหนูสองตัวสุดท้ายจากกล่องแล้วยื่นให้นกฮูก “นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรได้”
นกฮูกรับหนูไว้ในกรงเล็บอย่างเงียบๆ ก่อนจะบินขึ้นฟ้า และหายไปในความมืดอีกครั้ง
“ตอนนี้เราเหลือแค่ตามไปดู ว่าว่าแสงกระจุกดาวที่มันเห็นคืออะไรกันแน่” อาร์วินกล่าวพลางหันไปหาลีโอ “เจ้าพร้อมไหม?”
ลีโอพยักหน้าตอบรับ “ข้าพร้อมแล้ว… เราไปกันเถอะ”
ทั้งคู่เตรียมตัวและเริ่มออกเดินทาง มุ่งหน้าไปยังจุดที่นกฮูกพบแสงประหลาด ในป่าลึก แม้ว่าจะไม่รู้แน่ชัดว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้าก็ตาม…