การเดินทางของผมกับจอม(มาร)ปราชญ์ผู้อยากเที่ยวรอบโลก - ตอนที่ 10 ถิ่นที่นี้มีมังกร
“ไฟที่พวกเราเห็นกันอยู่นี่ มันไม่ใช่ไฟธรรมดา มันคือไฟมังกร…” เสียงทุ้มหนักแน่นของนายช่างบาลินน์ดังก้องในความเงียบ คำพูดนี้ ทำให้ลีโอและอาร์วินหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ลีโอตกใจ ส่วนอาร์วินน่าจะใช้คำว่าประหลาดใจ ดูจะถูกต้องกว่า
“ฟ… ไฟมังกรอย่างนั้นหรือ?” ลีโอถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย และความหวาดกลัว เหมือนเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน
มังกร ไม่ได้เป็นแค่สัตว์วิเศษธรรมดา แต่มันเป็นสัญลักษณ์ ของความน่าสะพรึงกลัว ตำนานเกี่ยวกับมังกรถูกเล่าขานไปทั่วทุกอาณาจักร ตั้งแต่กลางลานหมู่บ้านเล็กๆ จนถึงโถงท้องพระโรงในปราสาทราชวังขนาดใหญ่ ความเชื่อในพลังทำลายล้างของมังกรเป็นที่รู้กันในหมู่มนุษย์ทุกคน ตั้งแต่ชาวนาที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไปจนถึงเหล่าทหาร และผู้ปกครองแห่งอาณาจักร
มังกร นั้นมีพลังที่สามารถทำลายเมืองทั้งเมือง ได้ในเวลาเพียงคืนเดียว ด้วยเปลวไฟที่พ่นออกมาจากปากมัน เปลวไฟที่มีอานุภาพเผาผลาญทุกสิ่งที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นไม้ หิน หรือแม้แต่โลหะ ไม่มีสิ่งใดสามารถทนทานต่อพลังของมันได้ นอกจากพลังที่แข็งแกร่งแล้ว มังกรยังมีขนาดตัวที่มหึมา ปีกที่กว้างใหญ่พอจะบดบังท้องฟ้า ทำให้ทุกครั้งที่มันปรากฏตัว ผู้คนในระยะไกลก็จะสัมผัสได้ถึงเงามืดของหายนะ
“ใช่” บาลินน์ตอบขณะวางอาวุธลงบนทั่ง “ไฟมังกร เป็นพลังงานที่รุนแรงมาก แต่มันไม่ได้อยู่คงทนถาวรไปตลอด เช่นในกรณีนี้ พลังงานในโลหะ จะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงในเวลาไม่กี่วัน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มันถูกตีขึ้นมา ถ้าหูข้าไม่เพี้ยนไป ข้าว่าพวกก๊อบลินคงเพิ่งตีอาวุธเหล่านี้ไม่เกินสัปดาห์นี้เอง…”
“ฟังดูน่าสนใจนะ แล้วทำไมมันถึงไม่ถูกใช้ในสงครามกันล่ะ?” อาร์วินพยักหน้า “ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีเผ่าพันธุ์ไหน เอาอาวุธที่มีไฟมังกรไปใช้ในกองทัพ น่าจะทรงพลังมิใช่น้อย…”
บาลินน์หัวเราะเบาๆ พลางส่ายหัว “เจ้ารู้ไหม ทำไม? เพราะพวกมัน จะเก็บรักษายากสุดๆ ไฟมังกรอันตรายมาก ถ้ามันถูกเก็บในคลังแสง หรือสถานที่ใดที่มีสิ่งที่ติดไฟได้ง่าย คลังแสงทั้งคลัง ก็อาจจะกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา”
“ ไม่มีใครอยากเสี่ยงใช้มัน ในสงครามขนาดใหญ่หรอก มันเป็นของอันตรายเกินไป เพิ่มกลับพลังทำลายล้างที่จริงๆ แล้วก็ดีกว่าไฟธรรมดาเพียงนิดเดียว” บาลินน์อธิบายต่อ “ไฟที่มังกรพ่นออกมา อาจจะทรงพลังก็จริง แต่ไฟที่หลอมและติดกับโลหะแบบนี้? ไม่เท่าไหร่…”
“ดูมือข้าก็ได้ แค่ไหม้ธรรมดาๆ” บาลินน์พูดติดตลกกับบาดแผลของตน
ลีโอนิ่งคิด ก่อนจะถามคำถามสำคัญขึ้น “แล้ว… พวกก๊อบลิน มันได้ไฟมังกร เอามาใช้ตีอาวุธของพวกมันเองได้ยังไง”
“คำถามไม่ใช่มันทำได้ยังไงหรอก ไอ้หนุ่ม…” บาลินน์หันมามองลีโอ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าคิดเองสิ ถ้าพวกมันมีไฟมังกร และอาวุธเพิ่งถูกตีไม่เกินในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มันหมายความว่าอะไร?”
ลีโอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เข้าใจความหมาย “แปลว่า… มังกรต้องอยู่ใกล้ๆ กับที่นี่”
“ใช่แล้ว เจ้าเข้าใจข้าสินะ” บาลินน์พยักหน้า “มังกรต้องอยู่ไม่ไกล จากเขตแดนนี้ ไม่งั้นไฟมังกรนี้จะหมดพิษสงระหว่างทางไปนานแล้ว”
ลีโอเริ่มรู้สึกหนักใจ ความคิดที่ว่ามังกรอยู่ใกล้เมืองแบบนี้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างมาก มันเป็นสัตว์ที่มีพลังอันน่ากลัว และถ้าหากมังกรตัวนี้เข้าไปโจมตีเมือง มันจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ได้ง่ายๆ
มีเรื่องเล่าว่ามังกรบางตน มีสติปัญญาสูงเท่ากับ หรืออาจมากกว่ามนุษย์ มันสามารถวางแผน และหลอกลวงผู้คนได้ ตำนานเหล่านี้เป็นที่เล่าขานไปทั่ว แต่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า สิ่งใดเป็นความจริง หรือส่วนใดเพียงเรื่องแต่ง เพื่อเพิ่มความกลัวให้กับผู้คน
สำหรับลีโอ ความเชื่อเกี่ยวกับมังกรเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เขาเติบโตมาพร้อมกับมัน แม้ว่าเขาไม่เคยพบเจอมังกรตัวเป็นๆ แต่ทุกครั้งที่เขาได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ หัวใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเต้นแรงขึ้น มันเป็นความกลัวที่ฝังลึก อยู่ในจิตใจของผู้คน มังกรถูกมองว่าเป็นสัตว์ในตำนาน ที่ควรจะอยู่ห่างไกลจากมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะมาใกล้เมืองแบบนี้
แม้ในแผนที่ที่ยังสำรวจไม่ครบ ยังใช้คำว่ามังกร มาเตือนผุ้คน ให้ตระหนักถึงอันตราย คำว่า ถิ่นที่นี้มีมังกร.. ไม่ใช่การเขียนลงแผนที่ ให้มันดูมีศิลปะ แต่เป็นสัญลักษณ์ของเตือนให้พวกพ้องมนุษย์ด้วยกันระวังตัว เป็นสัญญาณให้ผู้คนรู้ว่า พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ดินแดนที่เต็มไปด้วยอันตราย ที่ไม่อาจคาดเดาได้
อะไรบางอย่างที่เย็นเฉียบ มาแต่เข้าที่ไหล่ข้างซ้ายของเขา ลีโอสะดุ้งโหยง และหลุดจากพะวังของความกังวล ก่อนจะหันไปยังทิศนั้นตามสัญชาติญาณ
“ข้าว่า เรากังวลเรื่องนี้ไปก่อนก็ไม่มีประโยชน์หรอก” มือของอาร์วินจับที่ไหล่เขาแน่น ขณะที่เขากำลังหันหน้าไปพูดกับบาลินน์ แต่คำพูดของเขาเหมือนจะไม่ได้ต้องการจะส่งให้คนแคระ ไม่เลย… อาร์วินหันกลับมาหาลีโอด้วยร้อยยิ้มที่ไร้กังวล “จริงไหม?”
“เรื่องการตรวจสอบ เราคงรบกวนท่านแค่นี้” อาร์วินกลับไปคุยกับบาลินน์ “อีกอย่าง ข้าคิดว่าพ่อหนุ่มคนนี้ น่าจะมีธุระอย่างอื่น ที่เราต้องมาหาท่าน”
“หืม?” นายช่างคนแคระเลิกคิ้วสงสัย ก่อนจะมองมาที่ลีโอย่างคาดหวัง
“อ๊ะ… จริงด้วยสิ” ลีโอพูด ก่อนจะดึงดาบที่บิ่นและพังของเขา ออกมาจากกระเป๋าสะพาน เนื่องจากมันไม่สามารถเก็บในฝักได้อีกแล้ว
“ข้าอยากให้ท่านช่วยซ่อมดาบให้ข้าด้วย” ลีโอพูดขึ้น ขณะที่เขายื่นดาบเล่มนั้น ให้บาลินน์ดู ดาบเล่มนี้คือดาบที่เขาใช้ ในการปะทะกับก๊อบลินก่อนหน้านี้ ซึ่งตอนนี้มีรอยแตก และใบดาบที่บิ่น จากการสู้กับอาวุธติดไฟของพวกก๊อบลิน
บาลินน์รับดาบขึ้นมาดูอย่างละเอียด เขากวาดสายตามองรอยแตก และความเสียหายบนดาบ ก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อย “ข้าคิดว่าดาบเล่มนี้ คงซ่อมไม่ได้แล้ว มันเสียหายมากเกินไป แกนกระดูกงอไปแบบนี้ มีผลเสียตั้งแต่ใบตรงนี้ จนถึงด้ามจับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าจะซ่อมมีสองทาง คือซ่อมให้รูปลักษณ์เหมือนเดิม แต่หลังจากนี้คือใช้ประดับ กับหลอมตีใหม่เท่านั้น”
ลีโอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาชอบดาบเล่มนี้และใช้มันมานาน ตั้งแต่เริ่มออกจากบ้านมาใหม่ๆ “ถ้างั้น… ข้าคงต้องหาดาบใหม่ จะดีกว่าสินะ”
“ใช่แล้ว เจ้าควรเลือกดาบเล่มใหม่” บาลินน์กล่าวพร้อมผายมือ ไปที่ชั้นวางอาวุธหลายเล่มที่แขวนอยู่ “ลองเลือกดูในร้านของข้าเถอะ มีดาบที่ข้าวางไว้หลายเล่ม เจ้าลองดูได้ รับรองมีที่เหมาะกับเจ้าแน่นอน”
ลีโอเดินตามที่นายช่างผายมือเข้าไปมองดาบหลายเล่มที่จัดเรียงไว้อย่างประณีต เขาใช้มือสัมผัสพื้นผิวของดาบที่เรียบเนียนและเงางาม บางเล่มมีลวดลายสลักประณีต บางเล่มเน้นความเรียบง่าย แต่ดูมั่นคงและทรงพลัง บางเล่มเพียงยกขึ้นมาจับ ก็รู้สึกว่าตนเองเป็นนักรบที่องอาจ ทั้งหมดที่ตั้งแสดงไว้ ล้วนเป็นอาวุธชั้นเลิศ ที่แม้จะมีความรู้น้อยนิด ก็ดูออกทันทีว่าเป็นงานฝีมือของช่างมือดี
ราคาก็มีหลากหลายเช่นกัน ตั้งแต่ชิ้นที่ราคาจับต้องได้ ทั้งที่เป็น ราคาระดับพ่อค้ารายเล็กๆ จะควักเงินซื้อเป็นของขวัญวันเกิด ให้กับบุตรชายได้อย่างไม่เสียดาย ไม่จนถึงชิ้นที่ลีโอไม่กล้าแม่แต่จะหยิบมาลอง แม้บาลินน์จะย้ำนักหนาให้ลองเช่นกัน แต่ราคาที่เขาดู มันเกินงบเขาไปหลายสิบเท่าอยู่ ราคาแบบชิ้นนั้น คงจะมีแค่ขุนนางของเมืองนี้เท่านั้น ที่จะกล้าจ่าย และถึงอย่างนั้น ก็คงจะเหงื่อตกเม็ดโตอยู่เช่นกัน
ในบรรดาดาบทั้งหมด มีเล่มหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขา มันไม่ใช่ดาบที่ดูโดดเด่นจากภายนอก และราคาก็ไม่ได้เตะตามากนัก อาจจะสูงกว่าดาบทั่วไปก็เพียงไม่กี่เหรียญทอง แต่เมื่อลีโอลองจับดาบเล่มนั้น ความรู้สึกแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น ดาบเล่มนี้เบาอย่างน่าทึ่ง ไม่สิ… ต้องบอกว่ามันยังคงมีน้ำหนักของมันอยู่ มากพอที่จะทำให้กับตัดและเฉือนทรงพลัง แต่ว่ามันกลับรู้สึกเบาในมือ ราวกับว่ากำลังถือกิ่งไม้กิ่งหนึ่งเท่านั้น นอกจากนั้น ดูแล้วยังคงมีความความแข็งแรง และสมดุลในทุกจุด ด้ามจับรัดจากเส้นหนังอย่างดี พอดีกับมือ ลีโอรู้สึกถึงความคุ้นเคยราวกับว่าดาบนี้ถูกสร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
“ดาบเล่มนี้…” ลีโอพูดเบาๆ พลางยกดาบขึ้น ตวัดไปมาในอากาศ “มันเบาและสมดุลอย่างมาก ข้าไม่เคยจับดาบที่มีลักษณะเช่นนี้มาก่อน มันดูเรียบง่าย แต่ทุกอย่างของมันดูลงตัวอย่างประหลาด”
บาลินน์ยิ้มเล็กน้อยขณะที่ลีโอถือดาบ “เจ้านี่ มีสายตาที่เฉียบคม แน่นอนว่าดาบทุกล่ม ที่ข้าตั้งเอาไว้นี่ ล้วนเป็นยอดผลงาน แต่ว่าดาบเล่มนั้น เป็นหนึ่งในดาบที่มีความสมดุลที่สุดในร้านข้า”
ลีโอรู้สึกประทับใจกับความรู้สึกของดาบในมือ “ข้าจะเอาเล่มนี้ล่ะ นายช่าง มันเหมาะกับข้ามาก”
“ฮ่ะ ฮ่าๆๆๆ” บาลินน์หัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนเขาจะป้องมือ และหันไปหลังร้าน “อบิเกล! ข้าจะขายดาบที่เจ้าตีแล้วนะเห้ย!”
ลีโอประหลาดใจเล็กน้อย “เป็นของลูกมือท่านอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่” บาลินน์พยักหน้า “เจ้าจะไม่ผิดหวังกับดาบเล่มนี้แน่นอน”
ลีโอมองไปข้างหลังร้าย ก่อนจะเห้นหญิงสาวผมสั้นสีแดง ที่ดูเหมือนจะแอบมองอยู่จากข้างหลังประตู หลังจากถูกเรียกออกมา เขายิ้มให้กับเธอเล็กน้อย และเมื่อเธอเห็นอย่างนั้น เธอก็โค้งให้กับเขา ก่อนจะวิ่งกลับไปหลังร้าน
“ฮ่าๆๆ นางคงเขินน่ะ มาๆๆ เดี๋ยวข้าเลือกฝักสวยๆ ที่เข้ากับเล่มนี้ให้” บาลินน์รับดาบไปจากมือของเขา ก่อนจะไปเลือกฝักจากที่แขวนไว้กับเสา
หลังจากที่ลีโอเลือกดาบใหม่ และจ่ายเงินเรียบร้อย เขาและอาร์วินเตรียมตัวจะออกเดินทางต่อ บรรยากาศในร้านเริ่มกลับสู่ความสงบ แต่ลีโอยังรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับดาบเล่มใหม่ในมือ เขาหันไปมองบาลินน์ และอบิเกลอีกครั้ง
“ข้าขอขอบคุณท่านทั้งสองมาก” ลีโอกล่าวพลางโค้งศีรษะเล็กน้อย “ดาบเล่มนี้ที่ได้รับมา ข้าจะดูแลมันให้ดี”
อบิเกลที่กำลังทำความสะอาดเครื่องมือในร้านหันมายิ้มตอบเล็กน้อย
“ฝีมือของอบิเกลไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย” บาลินน์พยักหน้า “วันหนึ่งเธอจะกลายเป็นช่างตีเหล็กที่ยอดเยี่ยม และเจ้าก็เป็นคนแรก ที่ได้รับงานจากเธอ”
ลีโอประหลาดใจและยิ้มเล็กน้อย “งั้นข้ายิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ ข้าจะใช้ดาบนี้ให้คุ้มค่าแน่นอน”
หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จสิ้น ลีโอและอาร์วินก็กล่าวลาบาลินน์และอบิเกล พวกเขาเดินออกจากร้านตีเหล็กมาเจอกับอากาศที่เย็นสบายของบ่ายวันนั้น ลีโอเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วถอนหายใจยาว เขายังรู้สึกถึงความกังวล ที่ค้างคาอยู่ในใจเกี่ยวกับมังกรและเรื่องที่พวกเขาจะต้องเจอต่อไป
“เราควรทำอย่างไรต่อดี?” ลีโอถามอาร์วินขณะเดินไปด้วยกัน
“ข้าว่าเจ้ายังมีเวลาที่จะตัดสินใจอยู่” อาร์วินตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสงบนิ่ง “แต่ข้าว่าเราควรเตรียมตัวไว้ให้พร้อม ไม่ว่าทางไหนก็อาจมีความเสี่ยง”
ลีโอพยักหน้าเห็นด้วย แม้ในใจของเขาจะเต็มไปด้วยความสงสัยและกังวล เขารู้ว่าพวกเขากำลังจะต้องเผชิญกับบางสิ่งที่ใหญ่กว่าเขาเคยเจอมาก่อน
“ข้าคิดว่าเราคงไม่ควรไปเผชิญหน้ากับมันด้วยตัวเอง” ลีโอพูดด้วยน้ำเสียง ที่เริ่มสั่นเล็กน้อย “มังกรไม่ใช่สัตว์ที่เราจะจัดการได้ง่ายๆ ขนาดนั้น มันเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าเราผิดพลาด เราอาจจะไม่รอดกลับมา”
“แม้ว่าข้าจะเป็นจอมมาร เจ้าก็ไม่เชื่อใจหรือ?” อาร์วินหัวเราะในลำคอ
“มันก็… ไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียว” ลีโอพูดไม่ถูก บางจังหวะเขาก็ลืมไป ว่าเขากำลังอยู่กับใคร “ท่านมั่นใจแค่ไหน ถ้าจะต้องสู้กับมังกร”
“ในดินแดนอาณาจักรมาร มังกรก็ไม่ได้ถูกควบคุมได้ง่ายสักเท่าไหร่” อาร์วินเริ่มอธิบาย “ส่วนมาก มังกรที่อยู่ในอาณัติพวกข้าเมื่อก่อน ก็แค่เห้นว่ากินอยู่ และทำงานให้กับข้าสบายกว่าเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในสถานะที่ต่ำกว่ากันสักเท่าไหร่”
“ถ้าพวกตัวใหญ่ๆ ที่มีอายุมาก ขนาดจอมมารอย่างข้า ก็ยังต้องยำเกรง” เขาเล่าต่อ “และแม้จะพวกตัวที่ยังเยาว์วัย เป็นไปได้ข้าก็ยังต้องหลีกเลี่ยง การปะทะโดยตรง… เพราะฉะนั้นความกังวลของเจ้า ก็ไม่ได้ผิดสักเท่าไหร่”
“แบบนั้นคงต้องแจ้งเจ้าเมือง หรือไม่ก็พวกขุนนางให้ หาวิธีจัดการกับมังกร” ลีโอกล่าวขึ้นมา “คนพวกนั้นมีกองทัพ เขาน่าจะมีทรัพยากรมากพอ สำหรับการขับไล่มังกรออกไป”
อาร์วินฟังลีโอพูดพลางพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าอาจจะพูดถูก” เขาตอบ “การเผชิญหน้ากับมังกรไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และข้าก็ไม่ได้อยากจะโยนชีวิตเรา ไปกับความโง่เขลา”
ลีโอถอนหายใจออกมาเล็กน้อย รู้สึกโล่งใจที่อาร์วินเห็นด้วยกับความคิดของเขา แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อ อาร์วินก็เสริมขึ้นมา
“แต่เจ้าอย่าลืมสิ” อาร์วินพูดต่อ “ทางการน่าจะยุ่งอยู่กับเรื่องข่าวลือของปีศาจ พวกเขาอาจจะไม่มีเวลามาสนใจเรื่องของมังกรในทันทีหรอก”
“แต่…” ลีโอพูดแทรกขึ้น “นี่มันเรื่องใหญ่นะ มังกรอยู่ใกล้เขตแดนมนุษย์แบบนี้ มันเป็นภัยร้ายแรงอย่างมาก”
“ก็ยังไม่ใช่ภัยเร่งด่วน จนกว่ามันจะบินมาบนหัวพวกเขานั่นแหละ” อาร์วินพูดอย่างเฉยชา “นี่ข้าพูดในฐานะคนที่เคยเป็นผู้ปกครองมาก่อนนะ คนที่พอมีมันสมอง ก็ต้องจัดการสิ่งที่ดูเร่งด่วนกว่าอยู่แล้วเป็นธรรมดา”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าว่า… เราควรจะหาทางแจ้งกิลด์นักผจญภัยระดับสูงๆ หรือไม่ก็ทหารรับจ้างที่เก่งๆ ให้พวกเขาจัดการเรื่องนี้แทน” ลีโอเสนอแนวทางอีกแบบหนึ่ง “หรือไม่ เราก็อาจจะไปรวมกลุ่ม กับพวกนั้น เพื่อทำงานร่วมกัน”
อาร์วินพยักหน้าอีกครั้ง แต่ในใจของเขาเอง เขารู้ว่าความช่วยเหลือจากมนุษย์ อาจจะคาดเดา และมีความเสี่ยงอื่นเข้ามาอีก “ข้าเข้าใจดี แต่ถ้าเจ้ารู้สึก ว่าต้องทำอะไรบางอย่าง เราก็อาจจะลองติดต่อ กิลด์นักผจญภัยดูก่อน ถ้าพวกเขามีเบาะแสแล้วก็ดี หรือถ้าไม่มี เราจะได้แจ้งข่าวเอาไว้”
“เรื่องการไปรวมคนกับพวกเขา ไว้ข้าค่อยคิดอีกที…” อาร์วินพยายาม แสดงออกอ้อมๆ ว่าเขาไม่อยากจะรวมกลุ่มเพิ่ม แต่ก็ไม่แน่ใจว่าลีโอ จะเข้าใจหรือสังเกตท่าทีนี้ไหม
ลีโอคิดตามคำพูดของอาร์วิน และถึงแม้จะรู้สึกกังวล แต่ก็พยักหน้าเห็นด้วย “งั้นก็เริ่มที่กิลด์ของพวกนักผจญภัยก่อน”
อาร์วินยิ้มเล็กน้อย “งั้นเราค่อยตัดสินใจอีกที ว่าจะทำอะไรต่อ หลังจากที่เจ้าไปคุยกับพวกเขาแล้วกัน”