การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 299 โลกกลม
บทที่ 299 โลกกลม
บทที่ 299 โลกกลม
ได้ยินคำพูดของตู้จ้งเหว่ย ถังซวงก็ไม่สนใจและนั่งเฉย ๆ
ตอนนี้ทุกคนเห็นว่าภาพตรงหน้าคือการแสดงที่สนุก จู้เจินเจินที่นั่งอยู่ด้านหน้าจึงกระซิบกับถังซวงว่า “นักเรียนใหม่ถังซวง ทำไมเธอไม่เปลี่ยนที่นั่งอีกล่ะ? ที่นั่งท้ายห้องเป็นของตู้จ้งเหว่ยนะ เขาไม่ชอบนั่งร่วมกับคนอื่น”
“อืม… งั้นให้ฉันนั่งตรงนั้นแทนไหม?”
ถังซวงเงยหน้าขึ้นมองจู้เจินเจินก่อนจะหันมองโต๊ะของอีกฝ่าย
จู้เจินเจินเม้มปากหลังได้ยินอย่างนั้น แววตาแดงก่ำพร้อมสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย “ถ้าถังซวงชอบโต๊ะของฉัน อย่างนั้น… ฉันให้ก็ได้”
เมิ่งซือเซี่ยที่อยู่ด้านข้างไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เธอมองถังซวงอย่างโกรธ ๆ ก่อนจะดึงจู้เจินเจินเอาไว้ “เจินเจิน เธอควรจะคิดใหม่นะ หล่อนไม่ได้ต้องการคำแนะนำจากเธอสักหน่อย อย่าไปสนใจเลย มันไม่มีประโยชน์หรอก”
ถังซวงแทบจะหัวเราะออกมาหลังจากได้ยินอย่างนั้น
ตอนที่เธออยู่ในโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่ง มีนักเรียนไม่กี่คนที่มีบุคลิกน่าสนใจ แต่เธอไม่เคยพบคนอย่างจู้เจินเจินกับเมิ่งซือเซี่ยมาก่อน ทั้งสองคนเหมือนกับดอกบัวสีขาวที่สวยแต่กลวงโบ๋ เวลาพูดคุยกับคนอย่างนี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดชะมัด
เวลานี้ถังซวงคือคนแปลกหน้าสำหรับชั้นเรียนนี้ ส่วนจู้เจินเจินกับเมิ่งซือเซี่ยคือเพื่อนร่วมชั้นของทุกคน ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับจู้เจินเจินและเมิ่งซือเซี่ย และเริ่มรุมต่อว่าถังซวง
“ไม่คิดเลยว่าเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่จะเป็นคนอย่างนี้ เธอดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่เลยนะ”
“ใช่ เพื่อนร่วมชั้นคนใหม่พูดจาแย่มาก เธอเกือบทำเจินเจินร้องไห้แล้วเห็นไหม”
“จริง ๆ ฉันไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะเป็นอย่างนี้ ภายนอกก็ดูสวยดี แต่ทำไมถึงนิสัยตรงกันข้ามซะอย่างนั้น”
หลังได้ยินการสนทนารอบตัว ถังซวงหันมองจู้เจินเจินอีกครั้ง
มันไม่ง่ายเลยที่เพื่อนร่วมชั้นทั้งหมดจะมองว่าสองคนนี้ปรารถนาดีกับเธอ ด้วยท่าทีทำเป็นอ่อนแอ และดวงตาที่ดูแดงก่ำนั้นเป็นกลอุบายที่ฉลาดจริง ๆ
เวลานี้ตู้จ้งเหว่ยได้ยินแล้วว่าทั้งห้องกำลังพูดถึงอะไร เขามองถังซวงรอรับชมการแสดงที่น่าสนใจ ไม่รีบผลักไสให้ถังซวงไปนั่งที่อื่น เขาเพียงอยากรู้ว่าถังซวงจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร
“พวกเธอกำลังทำอะไรกัน? พูดเรื่องอะไรกันอยู่?”
ก่อนถังซวงจะพูดอะไร อาจารย์ประจำชั้นเหมาจื้อหลางเดินเข้ามาพร้อมกับนักเรียนชายที่ไปช่วยถือหนังสือเรียนไว้เต็มมือ เมื่อเห็นว่าบรรยากาศในห้องผิดแปลกไป เขาขมวดคิ้วพร้อมกับถามว่า “ทำอะไรกัน เสียงดังออกไปถึงด้านนอก?”
หัวหน้าห้องคือชายร่างอ้วนชื่อโจวเจียเหอ เขารีบตอบคำถามของอาจารย์ประจำชั้นทันทีว่า “อาจารย์ครับ พวกเราไม่ได้ส่งเสียงดังอะไร แต่เราแค่อยากรู้จักเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ เลยถามคำถามเธอนิดหน่อยน่ะครับ”
ถังซวงขมวดคิ้วก่อนจะมองโจวเจียเหอ แต่เธอไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะสุดท้ายเดี๋ยวเธอจะได้กลับบ้านหลังได้หนังสือเรียน ดังนั้นปล่อยให้เรื่องราวมันจบลงตรงนี้ดีกว่า
เหมาจื้อหลางได้ยินหัวหน้าห้องตอบอย่างนั้น เขาไม่ได้ถามอะไรอีก เขาเริ่มแจกหนังสือเรียนทั้งหมดแล้วพูดต่อว่า “ทุกคนรับหนังสือเรียนแล้วก็กลับไปพักผ่อนนะ พรุ่งนี้เราจะเริ่มเรียนกัน ขอให้พักผ่อนให้เต็มที่ ถึงเวลาก็ตั้งใจเรียนกันด้วยล่ะ”
“ครับ/ค่า…”
ทั้งชั้นตอบกลับเสียงดัง
หลังจากถังซวงได้หนังสือเรียนแล้ว เธอลองเปิดมันดู ก่อนจะยัดมันลงในกระเป๋านักเรียนของตัวเอง ซึ่งกระเป๋าของเธอถูกเย็บขึ้นเป็นพิเศษโดยเฮ่อหลาน ถังเซวี่ยเองก็มีกระเป๋าแบบนี้เหมือนกันเพียงแต่คนละสี ส่วนอื่น ๆ ของกระเป๋าทั้งหมดเหมือนกัน ยิ่งทำให้มันดูสวยงามมากตอนสะพาย
“เอาล่ะ ทุกคนได้รับหนังสือเรียนแล้วก็รีบกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ”
ถังซวงยืนขึ้นและกำลังจะออกไป แต่ตู้จ้งเหว่ยรั้งเธอเอาไว้ “หึ… น่าเบื่อจริง ๆ ฉันล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าเธอจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง เอาเถอะ อย่าลืมสิ่งที่ฉันพูดก่อนหน้านี้ล่ะ โต๊ะนั้นเป็นของฉัน และพรุ่งนี้ฉันก็ไม่อยากเห็นว่าเธอนั่งอยู่” หลังพูดจบ เขาเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง อีกทั้งยังไม่สนใจที่จะหยิบหนังสือเรียนกลับไปด้วย
ถังซวงมองแผ่นหลังของตู้จ้งเหว่ยพร้อมส่ายหัวเบา ๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นคุณชายเอาแต่ใจซะจริง ๆ เขาคิดว่าทุกคนต้องฟังเขางั้นหรือ? น่าสนใจดีนี่
หลังจากทุกคนเห็นว่าถังซวงส่ายศีรษะ พวกเขาคิดว่าเธอกำลังทุกข์ใจ จนบางคนรู้สึกเห็นใจ สะใจ เฉยเมย แตกต่างกันออกไป จากนั้นทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกันกลับบ้าน
แต่เมิ่งซือเซี่ยยังคงนึกถึงชื่อของถังซวงซ้ำ ๆ ก่อนจะพึมพำออกมา “แปลกจัง… คุ้นหูมากเลย ฉันเคยได้ยินชื่อถังซวงมาจากไหนกันนะ”
จู้เจินเจินก็เริ่มสงสัยเหมือนกันหลังจากได้ยินคำพูดของเมิ่งซือเซี่ย
“ซือเซี่ย เธอเคยได้ยินชื่อถังซวงมาก่อนงั้นหรือ? จากที่ไหนล่ะ?”
เมิ่งซือเซี่ยส่ายหัวอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะตอบกลับว่า “ฉันจำไม่ได้ แต่ฉันรู้สึกว่าฉันเคยได้ยินชื่อของถังซวงมาก่อน เฮ้อ… อึดอัดจริง ๆ แต่ฉันนึกยังไงก็ไม่ออก”
จู้เจินเจินยกยิ้มแล้วจับมือของเมิ่งซือเซี่ย “ไม่เป็นไรหรอกซือเซี่ย ถ้านึกไม่ออกก็ช่างมันเถอะ เรากลับบ้านกันดีกว่า”
“อื้ม”
ทั้งสองเก็บกระเป๋าก่อนจะเดินไปหน้าประตูโรงเรียน และได้พบกับถังซวงอีกครั้ง
“เจินเจิน นั่นเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ของพวกเราไม่ใช่หรือ? อุ้ย ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน… เขาหล่อมากเลย ทำไมเขาถึงหล่อขนาดนั้นกันนะ? อ่า… แต่หน้าของเขาก็คุ้น ๆ เหมือนกัน ฉันรู้สึกว่าเคยเห็นเขามาก่อนอีกแล้ว”
จู้เจินเจินมองตามทิศทางที่เมิ่งซือเซี่ยชี้ไป และเมื่อเห็นชายหนุ่มที่เมิ่งซือเซี่ยพูดถึง แววตาของเธอก็เป็นประกาย “นั่น… ไม่ใช่โม่เจ๋อหยวนหรือ?”
“อ้ะ… อะไรนะ…โม่เจ๋อหยวน? โม่เจ๋อหยวนจากตระกูลโม่คนนั้นน่ะหรือ? เขาดังมากนะ” เมิ่งซือเซี่ยพูดต่อว่า “เพื่อนร่วมชั้นคนใหม่รู้จักเขาด้วยหรือ? โม่เจ๋อหยวน… อ่า เธอมาจากมณฑลเจียงนี่ เธอ… อ่า… ฉันจำได้แล้ว”
เมิ่งซือเซี่ยพูดออกมาอย่างประหลาดใจ
“ถึงว่าฉันถึงคุ้นชื่อของเธอ เธอเป็นลูกติดของสะใภ้คนใหม่ของตระกูลจิงนี่เอง ฉันได้ยินจากป้าของฉันน่ะ”
“อะไรนะ…”
จู้เจินเจินอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อถือก่อนจะมีสายตาเหยียดหยาม นี่ถังซวงคือลูกสาวของสะใภ้ตระกูลจิงงั้นหรือ แต่ถึงจะบอกว่าเพื่อนของเธอเกี่ยวข้องกับคุณนายจิง แต่ทั้งสองก็ยังไม่มีสัมพันธ์ทางสายเลือดเลยนะ
ทว่าเธอเก็บสีหน้าไว้อย่างดี หลังจากหันหน้ากลับมา ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาเช่นเคย
อีกด้าน ถังซวงเห็นว่าโม่เจ๋อหยวนมารับตน เลยยิ้มออกมาก่อนจะถามอย่างอดไม่ได้ว่า “พี่โม่ทำอะไรคะ? พี่หายดีแล้วหรือ?”
“ฉันหายดีนานแล้วแหละ ฉันว่าจะไปหาเธอตอนเช้า แต่ได้ยินว่าลุงจิงจะมาส่งเธอด้วยตัวเอง ฉันเลยไม่ได้มาน่ะ เปลี่ยนเป็นมารับแทน เราไปรับเสี่ยวเซวี่ยกันเถอะ”
“อื้ม”
—————————————————-