ฉันมีนามว่า [ชี] อายุ 30 ปี
ฉันคือหัวหน้าแก๊ง [แวมไพร์ยักษ์] ผู้ปกครองถิ่นเสื่อมโทรมนี้มานานนับตั้งแต่ที่อายุได้แค่ 15
รวบรวมพวกคนต่างดาวที่ตกงาน และไม่อาจหาทางกลับดาวบ้านเกิด รวบรวมพวกมันนับร้อยคนมาตั้งเป็นแก๊งอันดับหนึ่งของเมือง
ด้วยพลังและความป่าเถื่อนของฉัน เลยทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะมาดูหมิ่นกับพวกเรา
พวกเราเองก็ถือคติที่จะไม่ล้ำเส้นใครก่อน เลยทำให้ไม่เคยถูกเพ่งเล็งจากทางการอย่างจริงจัง
พวกเราใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิใจในฐานะแก๊งนอกกฏหมายที่มีศีลธรรมเรื่อยมา จนกระทั้งถึงวันที่เจ้าภูติจากสามแสบปรากฏตัว
“ขอยึดพื้นที่ใช้ชั่วคราวน้า~”
อยู่ ๆ ก็มาพูดจาแบบนั้น แล้วท้าสู้กับฉันที่เป็นหัวหน้าแก๊งหน้าด้าน ๆ
เจ้าภูติหัวแดงที่มีผิวสีน้ำผึ้งคนนี้ ไม่มีใครในเมืองไม่รู้จักหรอก
[แมรี่ โกลด์] หนึ่งในสามแสบแห่งวิหารเทพทั้งสาม
ฉันเคยได้ยินวีรเวรของมันมาเยอะ ว่าทั้งชอบป่วนวิหาร ทำลายข้าวของ และไม่ค่อยเชื่อฟังใครหน้าไหน นอกจากหัวหน้านักบวชเทเรซ่า
เคยคิดว่าไม่อยากจะยุ่งกับคนบ้าแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ดันเกี่ยวข้องด้วยจนได้
ตอนแรกคิดว่าคนบ้าแบบนี้คงไม่เท่าไหร แม่จะตบหัวสั่งสอนให้ร้องไห้กลับบ้านไปซักหน่อย แต่กลายเป็นฝ่ายฉันที่ต้องพ่ายแพ้ไปเอง
ให้ตายเถอะ นักบวชบ้าอะไร เก่งยังกับปีศาจ!
หลังจากเอาชนะฉันได้ ยัยภูติบ้าก็เริ่มตั้งตัวออกคำสั่งบ้าบอให้กับพวกเรา
ตั้งแต่ให้ทุกคนหันไปดื่มกาแฟเข้มแทนน้ำ ให้เก็บเงินกู้นอกระบบด้วยกาแฟแทนเงินยูนิต หรือแม้กระทั้งให้ทุกคนเอาเนื้อกับแป้งที่พวกเราตุนเอาไว้กินช่วงหน้าหนาวไปขาย แล้วซื้อกลับมาเป็นเมล็ดกาแฟแทน
ว่าแต่ทำไมต้องเป็นกาแฟด้วยยะ?
เอาเป็นว่าตั้งแต่ที่ยัยนี่เข้ามาคุมแก๊ง พวกเราก็เจอแต่เรื่องแย่ ๆ มาตลอด
แถมวันนี้ดูท่าจะเจอเรื่องแย่เป็นพิเศษมากกว่าทุกวันอีกด้วย
“ชะ— ช่วยด้วยหัวหน้า ชี!”
เจ้าชางกำลังถูกศัตรูสามคนรุมทำร้ายด้วยกรงเล็บ
ถึงเผ่าลิซาร์ดแมนจะมีความภาคภูมิในเรื่องความแข็งของเกล็ด แต่ต่อหน้ากรงเล็บที่ถูกเสริมด้วยทักษะเวทมนตร์ แข็งแค่ไหน มันก็ไร้ค่า
พวกมันใช้เวทมนตร์สร้างเปลวไฟให้มาหุ้มกรงเล็บตัวเอง แล้วเผาผิวเกล็ดจนเนื้อหนังและเส้นเอ็นสุกเกรียม
เกล็ดที่ยึดติดกับผิวหนังที่สุกเกรียมเลยหลุดล่อนออกมาตามสภาพ เหมือนขนไก่ที่ถูกลวกน้ำร้อน
“เจ้า ชาง!”
ฉันรีบตวัดหางของตัวเองเขาไปแทรกกลาง
ปลายแหลมเรียวที่เหมือนดาบเรเปียร์ถูกรัวกระหน่ำแทงใส่พวกมันตัวหนึ่ง จนปีกของมันพรุนเป็นรังผึ้ง
ส่วนอีกสองตัวถูกฉันวาดขาแตะก้านคอจากด้านข้าง จนกระเด็นลอยกลิ้งออกไปพร้อมกัน
“ขอบคุณ—”
“คำขอบคุณเอาไว้ทีหลัง! เจ้า ชาง! ช่วยถ่วงเวลาให้สัก 3-5 นาที เดียวจะใช้เวทอัญเชิญ [รามูห์] มากวาดพวกแม่งไปทีเดียวให้เหี้ยนเลย!”
“รับทราบ! พวกแกได้ยินเจ๊สั่งแล้วใช่ไหม! เตรียมตั้งแนวตั้งรับ!”
“โอ๊ส!”
ชางโยนระเบิดประทัดขึ้นไปในอากาศ
เกิดเสียงระเบิดประทัดเบา ๆ ดังขึ้น พร้อมกับแสงสีแดงที่กระจายตัวออกคล้ายฝูงหิงห้อย
ไม่นานนัก บรรดาลูกน้องที่กระจัดกระจายจับกลุ่มสู้กับศัตรูก็เริ่มวิ่งมารวมตัวกันแถวลานกว้าง ที่ใจกลางรังของพวกเรา
อืม…กลับมาครบทุกคน เห็นแบบนี้แล้วค่อยโล่งอกหน่อย ที่ยังไม่มีใครตาย
แต่มีคนบาดเจ็บหนักถึงครึ่งหนึ่งเลยอย่างงั้นเรอะ?
“จะเริ่มทำพิธีกรรมแล้ว! ฝากเรื่องการป้องกันด้วย!”
“รับทราบ!”
ว่าแล้วเสียงแห่งบทเพลงเวทมนตร์ของเผ่าเอลฟ์ก็เริ่มถูกร่ายบรรเลงออกมาจากริมฝีปากของฉัน
เวทมนตร์ของเอลฟ์—
เพราะเผ่าแวมไพร์อย่างพวกเรามียีนต์ของเผ่าภูติกับเผ่าเอลฟ์ไหลอยู่ภายในร่างกาย เลยทำให้สามารถใช้เวทมนตร์ได้จากทั้งสองเผ่า
หากว่าเผ่าภูติคือเวทมนตร์ที่เกิดจากการใช้พลังงานภายในร่างกายตัวเอง เวทมนตร์ของเอลฟ์ก็คือการใช้พลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในธรรมชาติภายนอก
คำร่ายหรือบทเพลง คือตัวแทนแห่งวงจรสมองกลธรรมชาติ ที่พลักดันให้พลังงานนั้นไหลเวียนไปในทิศทางที่เราต้องการ
***
~Ho hci nov ned arusA~
~ (โอ้ข้าแห่งเทพอสูร) ~
~ettiB eröh eniem emmitS~
~ (ได้โปรดสดับรับเสียงของข้า) ~
~Ereinrakni tim menied bats, nenied neffaw ni eid tlew~
~ (จุติลงบน ณ โลกาด้วยคฑา ศาสตราวุธของท่าน) ~
~tfartseB esöb ednieF tim nednelhefeb neztilB~
~ (ลงทัณฑ์ อริศัตรูร้ายด้วยอัสนีบาตบัญชา) ~
~ebräf eid edrE ni nie alil poksodielaK~
~ (ย้อมผืนปฐพีให้เป็นสีม่วงลานตา) ~
~ettiB eröh eniem emmitS~
~ (ได้โปรดสดับรับเสียงของข้า) ~
~ [Ramuh] ~
~ ( [รามูห์] ) ~
***
*!!!*
หมู่เมฆาบดบังแสงจันทรา
ท้องฟ้าอันมืดมัว ฉับพลันถูกถมไปด้วยแสงไฟสีม่วง
แสงไฟนั้นคำรามอย่างบ้าคลั่ง สั่นสะเทือนอาคาร มิติ เวลา และที่ว่าง
ดวงตาสีขาว ใหญ่เท่าผืนนภา จักก้มมองลงควานหาผู้เรียกร้อง
“มันผู้ใดที่บังอาจเรียกเราผู้นี้”
วาจานั้นที่คำรามเป็นภาษาเทพ เป็นเสียงคำรามของอัสนีบาต
“ข้ามองเห็น ข้ารู้ ข้าจักตอบสนองคำขอ”
วาจาแห่งรามูห์สั่นสะเทือนลั่นไปทั่วแผ่นดิน
ดวงตาสีขาวจักเลือนหาย แล้วทดแทนด้วยหมู่เมฆาสีดำ
แสงสว่างมีม่วงเริ่มคำรามตาม เสมือนหนึ่งเป็นสตรีที่พิโรธคลั่งเพราะรอบวันของเดือน
สายฟ้าขนาดมหึมา จักฟาดฟันลงสู่แผ่นดิน
“ระวัง! พลังของเจ๊ใหญ่ลงมาแล้ว!”
“เหวอ!?!”
เหล่านักรบตัวจ๊อยที่วุ่นวายเหนือแผ่นดินระหว่างเสาค้ำถนนสูง ล้วนต่างถูกแยกออกเป็นสองฝั่งด้วยเสาแห่งสายฟ้านั้น
แสงม่วงที่ฟาดฟันลงมาได้หยุดลงเหนือพื้นดิน แล้วรวมตัวเป็นแท่งที่ดูคล้ายคฑาไม้ขนาดยักษ์
ทุกสิ่งทุกอย่างบนสนามรบได้หยุดชะงัก แล้วมองดูวัตถุที่ฟาดฟันลงมาจากเบื้องบนเป็นสายตาเดียวกัน
“อัสนีลงทัณฑ์”
หลังสิ้นเสียงคำรามสุดท้ายแห่งฟากฟ้า คฑาสายฟ้ายักษ์จักแตกออกเป็นมหาคำรามฟ้าคะนอง
ก้อนพลังงานสีม่วงแตกแขนงออกไปทั่วทิศทางดั่งกิ่งก้านรากของต้นไม้ใหญ่
พวกมันวิ่งกระจายไปทั่วสนามรบ มุ่งหน้าไล่ตามใส่อริศัตรูของผู้อัญเชิญ แผดเผาพวกมันด้วยความร้อนแห่งอัสนี ฉาบทั้งร่างกายให้ดาวดิ้นด้วยอำนาจที่มิอาจเทียบเคียง
“สมกับเป็นเจ๊ของพวกเรา กวาดทีเดียวเรียบยกชุด!”
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
ฉันยิ้มกว้างให้กับเจ้า ชาง ด้วยความภาคภูมิใจ
หึ! นี่ละ คือพลังของหัวหน้าแก๊ง [แวมไพร์ยักษ์]
จริงอยู่ว่าถึงจะแพ้การสู้ตัวต่อตัวกับเจ้าภูติหัวแดง แต่คิดว่ามีสักกี่คน ที่สามารถร่ายเวทมนตร์ชุดใหญ่ได้ด้วยตัวคนเดียวภายใน 3 นาที แบบนี้ไหมละ? (ความจริงคือ 5 นาที)
ถ้าได้สู้กับเจ้าภูติบ้านั่นกันอีกสักรอบ คราวนี้ละ ไม่มีทางแพ้อย่างแน่นอน!
“ฝันหวานไปหรือเปล่า? ”
“อั๊ก!!”
“เจ้า ชาง!”
มีสายฟ้าเส้นหนึ่งวิ่งย้อนศรมาถูกฝั่งของพวกเรา
แถมไม่ได้ย้อนศรแค่เส้นเดียว แต่มันถูกสะท้อนกลับมาแทบทั้งหมด
พลังสายฟ้าของ รามูห์ ที่ควรทำร้ายอริ กลับกลายเป็นทำร้ายพวกพ้องของฉัน…
“สมกับเป็นท่าน [บาร์-ธา-ซ่าร์] สุดยอดอย่างเคย รอบคอบไปถึงขนาดสร้างของแบบนี้มาให้พวกเราพกติดมาด้วย”
ฉันหันไปมองทางฝั่งศัตรู
ที่ด้านหลังของพวกมัน มีเครื่องจักรประหลาดถูกตั้งวางเอาไว้
เจ้าเครื่องจักรนั้นมีรูปทรงกระบอก พร้อมกับขายึดแมงมุมแปดขาเกาะแน่นบนพื้น
ที่แท่งตรงใจกลางของมัน มีส่วนโปร่งใส เผยให้เห็นเปลือกไม้สีน้ำตาลที่กำลังส่องแสงสีเหลืองขาวออกมา
ถึงจะไม่รู้ว่ามันคือเครื่องจักรอะไร แต่เจ้าสิ่งนั้นมันคือตัวการที่ทำให้การโจมตีของฉันไม่ได้ผล
“อ๊ากกก!”
“เกรียม! ข้ากำลังไหม้เกรียมมม!”
“ร้อนนนนน!”
“ไม่!”
เจ้า ชาง! ทุกคน!
ละ– ลูกน้องของฉันกำลังจะตาย!!
ได้โปรดเถอะท่านรามูห์ ได้โปรดหยุดความพิโรธของท่านก่อน!
แต่สิ่งมีชีวิตอัญเชิญของเอลฟ์นั้น หากว่าได้สั่งการไปแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหยุดได้
อัสนีบาตแห่งการลงทัณฑ์จะไม่มีวันหยุด จนกว่าอริศัตรูจะดาวดิ้น หรือสิ้นพลังเวทมนตร์ที่ได้มอบไปให้แก่เขา…
ไม่จริง…
“ได้โปรด! หยุดเถอะท่าน รามูห์!”
————– – – – – – –
“ลุงรามูห์ ว่าง ๆ หัดไปทำความสะอาดใบหูบ้างก็ดีเหมือนกันนะ”
เสียงนี้มัน?
ยัยภูติหัวแดงกำลังบินมาจากทางด้านหลังของกลุ่มอย่างช้า ๆ
เธอชูมือสองข้างขึ้นสูง แล้วเปล่งแสงสีแดงออกมาจากปีกภูติของเธอ
พริบตาเดียวที่เธอยกมือขึ้น ได้บังเกิดสายฟ้าสีแดงคำรามลั่นสวนกลับสายฟ้าสีม่วง
เส้นที่ลากผ่านความมืดยามราตรี ได้ขจัดปัดเป่าหายนะแห่งการทำลายล้างของอัสนีสีม่วงจนหมดสิ้น
ราวกับเป็นยางลบ ที่เพียงแค่ลากถูกผ่าน ก็นำสิ่งไม่พึงประสงค์ออกไปจากหน้ากระดาษของเราได้
เพียงหนึ่งกะพริบตาเดียว เสาแห่งอัสนีรามูห์จักถูกลบหายไป มอบราตรีอันเงียบสงบคืนสู่โลกเช่นเดิม
ไม่เพียงแค่เสาสายฟ้า
เธอมองไปทางเครื่องจักรของศัตรูที่อยู่ด้านหลัง แล้วยกมือซ้าย ชี้นิ้วขึ้นฟ้า
เพียงพริบตาเดียว เจ้าเครื่องจักรนั้นก็เริ่มกลายเป็นสีแดงเพราะความร้อน ก่อนจะหลอมละลาย ทำลายตัวเองไปในเวลาต่อมา
“เครื่องกางบาเรียของท่าน [บาร์-ธา-ซ่าร์] มัน —!!!”
ถ้าให้เดา ยัยภูติคงใช้พลังภูติสร้างกระแสพลังงานต่างขั้ว แล้วทำการเข้าสลายหักล้างพลังงานสายฟ้า คืนสมดุลกลับสู่ธรรมชาติ
ส่วนเจ้าเครื่องจักรนั้น ฉันเดาไม่ถูกว่าเธอใช้วิธีการอะไร ถึงทำให้มันทำงานหนักในระดับหลอมละลายตัวเองไปได้
แต่การจะใช้พลังภูติทำเรื่องแบบนี้ได้โดยไม่ต้องเสียเวลารวมพลังงานแม้แต่นาทีเดียวนี่มัน—
ปะ— เป็นไม่ได้…
“บาดเจ็บกันน่าดู เดียวจะรักษาให้เอง”
ยัยภูติมันพูดอะไรออกมา
การจะรักษาคนหมู่มากต่อหน้าศัตรู ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย—
*พรึบ!*
ราวกับเป็นภาพของเทพแห่งสวรรค์ลงมาโปรด
ร่างของภูติสีแดงได้ถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงสีขาวที่เจิดจ้าเฉกเช่นพระสุริยะ
แสงที่เรืองจากปีกภูติโปร่งแสง ช่างไม่ต่างอะไรไปจากปีกแห่งเทพธิดาตามภาพวาดที่มักเห็นจากหนังสือภาพ
มันช่าง สง่า สวยงาม อ่อนโยน และอบอุ่น
แสงที่อบอุ่นนั้นได้แผ่ขยายออก แล้วโอบอุ้มพวกเราที่มีร่วมกว่า 100 คน ให้เป็นหนึ่งเดียว
อึ๊ก…!?
รู้สึกได้เลยว่ากระบวนการสร้างเนื้อเยื่อและเซลล์ภายในร่างกายตัวเองกำลังถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง
บาดแผลตามร่างกายกำลังเชื่อมปิดสนิทด้วยตัวเอง
แม้แต่เจ้าชางที่ถูกเผาเกล็ดไปเกือบครึ่ง ยังถึงกับสามารถเริ่มงอกผิวหนังกลับมาใหม่ได้ราวกับกำลังกรอเทปย้อนกลับ
ปะ ปะ ปะ— เป็นไปไม่ได้!!!
แค่เสี้ยววินาทีจะสามารถรักษาบาดแผลร้ายแรงของฝูงชนได้ขนาดนี้!?!
“ทะ— เทพธิดา? ”
“เทพเจ้าลงมาจุติ? ”
“ช่าง— งดงามยิ่งนัก…”
พวกเราทุกคนล้วนต่างตกตะลึงให้ความสามารถราวปาฏิหาริย์ที่ยัยนี่แสดงให้เห็น
เพราะไม่เคยมีภูติตัวไหน ที่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์พลังภูติได้มากถึงขนาดนี้มาก่อน
แม้แต่นักปราชญ์ผู้กล้าในอดีต [เอสเทอ] หรือยอดนักบุกเบิก [ลิลลี่ออฟซิเดี้ยน] ที่มีบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ ก็ยังไม่น่าจะทำได้ถึงขนาดนี้
“ส่วนพวกเจ้า พวกชายในชุดดำ บังอาจนักที่มาหาเรื่องถึงถิ่นของผม”
“แกเป็น—”
“ไม่จำเป็นต้องเอยนามต่อคนที่กำลังจะตาย”
ยัยภูติหัวแดงพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยต่อหน้าศัตรูที่มีจำนวนมากกว่า 200 คน
“Omae wa mō shindeiru (เจ้าน่ะ ได้ตายไปแล้ว) ”
*พรึบ!*
ปีกภูติของเธอได้ส่องแสงสว่างเป็นครั้งที่สามของวัน
คราวนี้มันเป็นแสงสีฟ้า
แสงสีฟ้านั้นพุ่งกระจายออกมาจากปีกเป็นหนึ่งเส้น
จากหนึ่ง ได้แตกกระจายเป็นวิธีโค้งเป็นสอง
จากสอง แตกออกเป็นสี่
สี่ เป็นสิบหก
สิบหก เป็น สองร้อยห้าสิบหก
แสงที่แตกกระจายอย่างทวีคูณนั้นได้พุ่งออกไปเป็นแสงเลเซอร์สีฟ้า
พวกมันมีขนาดหน้าตัดเล็กเท่าตัวมด แต่ทว่ามีจำนวนมากนับล้าน…
แสงนับล้าน ที่สร้างขึ้นมาภายในเพียงสี่วินาทีเท่านั้น
“เฮ้ย!?!”
“นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย!?!”
“อ๊ากกกก! แสงพวกนี้มันบ้าอะไรกัน!? ”
ตอนแรกฉันไม่คิดว่าแสงเลเซอร์ธรรมดาจะสามารถแทงทะลุผิวหนังของเผ่าแวมไพร์ได้
แต่ฉันคิดผิด
พวกศัตรูที่เป็นเผ่าแวมไพร์ล้วนต่างกำลังดิ้นรนทรมานทันที ที่ถูกแสงพวกนั้นอาบลงบนร่างกาย
เริ่มจากที่ผิวแตกระแหง แห้งกรัง แล้วก่อตัวนูนจนดูคล้ายกับเป็นหนังมะเร็ง ก่อนจะแตกสลายกลายเป็นผง จนเห็นเนื้อ กระดูก และเลือดที่ไหลเวียนใต้ผิวหนังของพวกมัน
พวกมันไม่มีใครคิดที่จะป้องกันตัวเองสักคน เพราะมีความทรงนงสูงเกินไป ว่าผิวหนังของเผ่าเรามันหนังเหนียว
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!! แสบบบบบบบบบบ!!”
“หนังข้า! หนังของพวกข้า!!”
“นี่มันแสงรังสีประเภทไหนกันฟะ!? ร้อนนนนนน!”
มันคือภาพของคนนับร้อยที่ถูกถลกหนังสด ๆ แล้วปล่อยให้มีชีวิตรอด
แค่นึกภาพว่าต้องทนทรมานจากการที่ถูกสายลมหนาว ๆ กรีดแทงลงบนเนื้อเยื่อประสาทโดยตรง
ถูกเชื้อโรคนับร้อยนับพันที่ลอยอยู่ทั่วไปในอากาศ แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายโดยไร้ผิวหนังป้องกัน
“…โหด”
คงเป็นความเจ็บปวดชนิดที่ฆ่าทิ้งไปเลย ยังจะดีเสียกว่า
“ปล่อยพวกมันไปแบบนี้แหละ พวกเรารีบหนีกันก่อนที่ตำรวจจะมากันดีกว่า ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหม? มีใครอยากให้ผมรักษาอะไรก่อนไหม? ”
ยัยภูติ— เธอหันกลับมามองพวกเรา
นี่เธอ…
ตลอดมาที่เธอยึดตำแหน่งไปจากฉัน เธอก็ไม่เคยทำอะไรเลย นอกจากออกคำสั่งแปลก ๆ เหมือนเด็กที่พึ่งได้ของเล่นชิ้นใหม่
ตอนแรกฉันคิดว่ายัยนี่คงไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังกับพวกเรา
แต่ฉันคิดผิด
ยัยนี่มีสำนึกของคนที่เป็นหัวหน้าแก๊งอยู่
“นะ— นักบุญ”
“ท่านนักบุญ”
“เจ้าพวกโง่ อย่าเรียกเธอว่าท่านนักบุญสิ!”
คำแบบนั้นมันไม่เหมาะสมกับตำแหน่งของหัวหน้าแก๊งที่องอาจและชั่วร้ายหรอก
คำที่เราควรจะใช้เรียกเธอนะ ควรจะเป็น—
“ต้องเรียกว่า [ลูกพี่หญิง แมรี่] ต่างหาก!”
MANGA DISCUSSION