***วันที่ 49 เรตนิว เวลา 26:00 น.***
“อดใจรอวันขึ้นปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึงไม่ไหวแล้ว ภายใต้การนำของคุณ การจัดงานทุกอย่างคงราบรื่น ปีนี้คงเป็นปีที่สนุกไม่แพ้ปีก่อน ๆ อย่างแน่นอน จริงไหมคะคุณเทเรซ่า? ”
“หุ หุ หุ ท่านก็ชมฉันเกินไปค่ะ ท่าน [ราชินีแวมไพร์ แวม แวม] ”
“ไม่หรอก ไม่หรอก ถ้าเทียบกับคนที่ไม่คิดออกมาจากบ้านนอกเลยอย่างฉันแล้ว พวกคุณที่มักออกมาดำเนินธุรการต่าง ๆ ข้างนอกนี้ ย่อมควรได้คำยกย่องมากกว่าฉันเป็นไหน ๆ ค่ะ”
บนถนนหลวงที่ทอดตัวยาวไปทางเมือง [คริสตัล] มียานเหาะโดยสารสีเงินคันหนึ่ง กำลังบินทะยานไปด้วยความเร็วสูง
ยานลำนั้นไม่มีคนขับ และบรรทุกผู้โดยสารมาด้วยกันทั้งสิ้น 3 ชีวิต
คนหนึ่งเป็นนักบวชหญิงชราเผ่ามนุษย์ที่ดูสูงศักดิ์และสง่างาม
อีกคนคือตัวฉัน ผู้ที่ถูกขานนามว่า
[ราชินีแวมไพร์ แวม แวม]
“ท่านราชินี รับไวท์สักแก้วก่อนเข้าเมืองไหมครับ? ”
ส่วนที่กำลังรินไวท์ส่งมาให้ฉัน คือเผ่าแวมไพร์หนุ่มอายุ 25 ปี ที่มีหน้าตาหล่อเหล่า ผมสีเงินยาว ใบหน้าคมคายระดับเพียงแค่เดินลงถนนสักสองสามก้าว ก็สามารถทำให้สาว ๆ ต่างพากันเป็นลมได้แล้ว
เขาคือผู้โดยสารคนที่สาม ชายผู้มีนามว่า
[แวนเจอร์ (vengeful) ]
“ขอบคุณ แต่ขอเป็นน้ำส้มดีกว่า คุณน่าจะรู้นะว่าฉันไม่ชอบเหล้า”
“แต่อายุท่าน—”
“ถึงจะอายุปาเข้าไปเป็นร้อยปี แต่เชื่อเถอะว่าหน้าตาอย่างฉันนะ มันไม่เหมาะกับเครื่องดื่มอย่างไวท์หรอก อีกอย่าง ฉันชอบน้ำที่มีรสหวานมากกว่าด้วย”
ฉันพูดจริง
พวกเราเผ่าแวมไพร์ หรือที่เผ่าอื่นชอบเรียกกันว่าเผ่า [ปีศาจ] ล้วนแต่มีอายุขัยยืนยาว
น่าจะยืนยาวถึง 300 ปี ได้
เพราะมีอายุยืนยาว เลยทำให้มีช่วงชีวิตวัยหนุ่มสาวมากกว่าเผ่าอื่น ๆ เป็นหลายเท่าตัว
“ท่าน แวม แวม พูดแบบนี้ มันทำเอาคุณยายคนนี้รู้สึกอิจฉาเลยค่ะ”
“… แต่การมีอายุยืนยาวมันก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิดสักเท่าไหรหรอกค่ะ คุณเทเรซ่า”
“ดิฉัน— ต้องขออภัยจริง ๆ ค่ะ…”
“อืม ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ฉันสามารถก้าวข้ามผ่านความตายของเขามาได้แล้วค่ะ”
นักบวชเทเรซ่าแสดงสีหน้าอึดอัดออกมาให้เห็นเล็กน้อย จนทำให้เกิดบรรยากาศที่ชวนน่ากังขาขึ้นมา
การมีอายุที่ยืนยาว…
การมีอายุยืนยาวมันไม่ได้ดีอย่างที่เผ่าอื่น ๆ คิดหรอก ถ้าคนที่ใช้ชีวิตร่วมกับเราไม่ได้ยืนยาวตามอย่างเราด้วย
[ฉัน] คือเผ่าแวมไพร์ดั้งเดิม และเป็นเผ่าแวมไพร์คนแรกของโลก เลยได้สมยานาม [ราชินีแวมไพร์] ผู้ที่เป็นดั่งเสมือนทั้งพระเจ้าผู้ให้กำเนิดเผ่า และเป็นมารดาของพวกเขา
ในโลกไดม่อนแห่งนี้ มีเผ่าดั้งเดิมอาศัยด้วยกันอยู่ 7 เผ่า มนุษย์, มนุษย์สัตว์, มนุษย์นก, มนุษย์มด, ยักษ์, ภูติ และ โพรแคริโอต
ชาวต่างดาวที่สื่อสารกับโลกไดม่อน มีอีก 4 เผ่า ลิซาร์ดแมน, เอลฟ์, คนแคระ, นิมป์ (นางไม้)
ไม่สิ— ถ้ารวมเผ่า [มนุษย์ต้นกำเนิด] ไปด้วย ก็จะได้ว่าเป็น 5 เผ่า
แล้วเผ่าแวมไพร์ของเราอยู่ไหนหรือ?
เผ่าแวมไพร์ของพวกเรานั้น แต่เดิมจริง ๆ คือเผ่า [เลือดกรด]
เผ่า [เลือดกรด] ดั้งเดิมไม่ได้มีหน้าตา มีมือ มีเท้า มีขา มีปีก มีเขา เหมือนอย่างฉันที่เห็นทุกวันนี้หรอกนะ
มันเป็นเผ่าประหลาดที่ลำตัวมีสีเงินยืดยาว หางยาวและคมกริบราวใบมีด
เป็นนักล่าแห่งท้องอวกาศอันกว้างใหญ่
พวกมันมีความสามารถประหลาดในการปรับตัวสูง สามารถเอายีนส์ของสัตว์ที่ตัวเองกินเข้าไป มาพัฒนาสายพันธุ์ของตัวเองให้แข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นได้
มาคิดย้อนดูแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมายาวนานมากทีเดียว
ในอดีตย้อนกลับไป 100 ปีที่แล้ว ในยุคที่ชาวไดม่อนเริ่มพบปะผู้มาเยือนจากดาวดวงอื่น
หนึ่งในเผ่าชาวต่างดาวนั้น มีเผ่าเลือดกรดรวมอยู่ด้วย
แต่เป็นเพราะบรรพบุรุษเผ่าของฉันมันกระหายเลือด ตั้งตัวเป็นศัตรูกับทุกเผ่า เลยถูกมองว่าเป็นแค่ [สัตว์] ก่อนจะถูกฆ่าล้างเผ่าจนเหี้ยนหายไปหมดไม่มีเหลือ
ซึ่งในท่ามกลางสงครามฆ่าล้างเผ่า ณ เวลานั้น ตัวฉันก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสายพันธุ์ที่เกิดจากการกินเผ่าอื่น ๆ ในสงครามของมารดาผู้ให้กำเนิด
ผลจากการกิน แล้วคัดเลือดสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งตามธรรมชาติ ตัวฉันก็ได้เกิดขึ้นมาในฐานะ [สายพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบ] ที่สุด
[เผ่าแวมไพร์]
ฉันผ่านอะไรมามาก ทั้งถูกจ้องเอาชีวิตเพราะมองว่าอันตราย ต้องฆ่าพี่สาวตัวเองที่กลายเป็นบ้า ได้พบกับคนรักเผ่ามนุษย์ต้นกำเนิดจากดาวที่ชื่อว่า [โลก] แต่งงาน แล้วขยายเผ่าพันธุ์ตัวเองจนมีจำนวนมากชนิดครอบครองได้ทั้งทวีปคริสตัลอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ทว่าสุดท้ายแล้ว… ต่อให้มีลูกหลานมากมาย มีอำนาจระดับปกครองทวีป แต่ของเหล่านั้นมันไม่ได้ช่วยให้คนรักของตัวเองเอาชนะอายุขัยของเผ่าพันธุ์ไปได้
คนรักของฉัน [เทร่า ชาร์สเซอร์] ที่เป็นเผ่ามนุษย์ต้นกำเนิด ได้ตายไปตั้งแต่ปีที่ 95 ด้วยอายุเพียง 77 ปี เท่านั้น
ฉันยังจำมันได้ราวกับพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ในเวลานั้น ฉันร้องไห้จนแทบเป็นบ้าเป็นหลัง พยายามมองหาและศึกษาวิธีคืนชีพคนตาย
แต่ยิ่งศึกษาลงไปลึกมากแค่ไหน ฉันกลับยิ่งได้ค้นพบสัจธรรมแห่งความเป็นไปของชีวิตทั้งมวล
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นเรื่องธรรมดา
วันใดวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว แม้แต่ฉันเองก็ต้องตาย
ต่อให้ชุบชีวิตเขาขึ้นมาได้ สักวันไม่ฉันก็เขา จักต้องพบชะตาแห่งความตายไม่ต่าง
สุดท้าย จะกลายเป็นก่อชะตากรรมแห่งความเศร้าที่ไม่มีวันสิ้นสุด เป็นความทุกข์อันไร้ซึ่งจุดจบแห่งการมีชีวิต
เขาไปสบายด้วยรอยยิ้ม ใยต้องฝืนนำเขากลับมาทนทุกข์ด้วยเล่า?
ฉันก็แค่เดินทางในโลกนี้ต่อไปอีกสัก 200-300 ปี แล้วค่อยตามเขาไปทีหลังก็ยังไม่สาย นั่นมันไม่จริงหรือ?
การรื้อฟื้นคนตายให้ลุกขึ้นมาเพื่อจมปลักในห้วงอดีต มันไม่ต่างอะไรกับการหยุดเลือกที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
มันเป็นได้เพียงแค่เทปเก่า ๆ ขึ้นสนิมที่ทำได้แค่เล่นข้อความเก่า ๆ ซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้น
เป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่งนัก
“ฉันก้าวข้ามผ่านความเศร้านั้นมาได้แล้วจริง ๆ ค่ะ คุณเทเรซ่าอย่าได้รู้สึกอึดอัดใจไปเลยค่ะ”
“ขอโทษ—”
“คุณเทเรซ่าคะ? ”
“… ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ งั้นมาคุยกันเรื่องแผนงานที่จะจัดในช่วงพิธีสิ้นปี รับวันปีใหม่นี้กันดีกว่าค่ะ”
ฉันนั่งฟังไปพลาง มองดูวิวนอกรถไปพลาง
งานสิ้นปีจะเริ่มด้วยการร่าวยาวของวิหารเทพทั้งสาม ถึงที่มาของพิธีกรรม
มีการรำลึกถึงวีรกรรมของยอดวีรบุรุษและวีรสตรีทั้ง 5 ที่ช่วยขับไล่เทพผู้สร้างซึ่งเห็นเราเป็นเพียงแค่ของเล่น
หลังจากนั้นจะเป็นพิธีนับเลขสิ้นปีเพื่อจุดพลุที่วิหาร ก่อนจะเข้าสู่ช่วงร้องรำทำเพลง ดื่มกินอาหารกันทั้งเมือง แล้วไปจบพิธีใหญ่ตอนช่วงดวงอาทิตย์ขึ้นฟ้า ด้วยงาน [เทศกาลระบำตูด]
ฉันนะชอบช่วงเทศกาลระบำตูดเป็นที่สุด
ถึงจะดูน่าอายไปบ้าง แต่มันทำให้รู้สึกได้ปลดปล่อยอะไรหลาย ๆ อย่างดี
“…ฮืม? ”
เหมือนจะเห็นหลุมอะไรสักอย่างวิ่งผ่านข้างตัวรถไปเมื่อกี้
หลุมอุกกาบาต… อย่างงั้นหรือ?
“ปีนี้จะต่างจากทุกปี ตรงที่ฉันคิดว่าจะเอารูปปั้นเทพทั้งสามขนาด 50 เมตร มาระเบิดให้แหลกเป็นชิ้น ๆ พร้อมกับเวลาที่จุดพลุค่ะ”
“อันนี้น่าสนใจไม่เลวครับ~”
แวนเจอร์กำลังตรบมือให้กับแนวคิดของคุณเทเรซ่า
หนุ่มแวมไพร์คนนี้ คือคนที่ฉันรู้สึกสนิทด้วยมากที่สุดในยุคนี้
ไม่ใช่ว่ารู้สึกรักใคร่แบบเชิงชู้สาว แต่เป็นความรู้สึกเคารพและคุ้นเคยมากกว่า
จะว่ายังไงดี— คือเขาให้กลิ่นอายคล้ายกับพี่สาวของฉัน ที่ถูกฉันฆ่าไปเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว…
เขาคือเด็กที่ถูกทิ้ง แล้วฉันไปบังเอิญเจอที่หน้าบ้านของตัวเองเมื่อ 25 ปีก่อน เลยส่งไปสถานดูแลเด็กกำพร้า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคชะตาหรือยังไง แต่ทุกครั้งที่ไปเยือนสถานเด็กกำพร้า เขามักจะเป็นคนที่ออกมาต้อนรับฉันเสมอ
พอได้คุยด้วย เลยรู้สึกว่าเขามีส่วนที่คล้ายกับพี่สาวของฉันมาก
แวนเจอร์ คือชายที่เก่งกาจ
เขามีอาชีพหลักคือ [นักบุกเบิกอิสระ] ที่ไม่ขึ้นตรงกับใคร
นอกจากต่อสู้เก่งแล้ว เขายังมีความสามารถในการบริหารองค์กรที่สูงด้วย
เขาคือหนึ่งในผู้ก่อตั้ง [ชมรมคนกินเนื้อสัตว์ – คาร์นิวอย]
แต่เป็นเพราะคดีอื้อฉาวที่ผ่านมา เขาเลยยุติบทบาทของชมรมชั่วคราว เพื่อควานหาผู้กระทำผิดและทำความสะอาดองค์กรใหม่
ดังนั้นช่วงนี้เขาเลยว่างงาน ฉันเลยถือโอกาสชวนมาช่วยงานชั่วคราวในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้
“นี่ครับ ท่านราชินี”
“ขอบคุณมากค่ะ”
แวนเจอร์ปัดนิ้วของตัวเองบนหน้าจอสีฟ้าที่ฉายอยู่ตรงหน้าของเขา
ในเวลาเดียวกัน เสียงข้อความเข้าก็ได้ดังขึ้นที่มือถือของฉัน
อืม— สรุปตารางงานและกำหนดการได้ดีเรียบร้อยดีอย่างเคยไม่มีเปลี่ยน
สมกับที่เป็น แวนเจอร์ อยากดึงตัวมาทำงานให้กับภาครัฐบาลจริง ๆ
แต่คงได้แค่ฝัน
เพราะเขามีนิสัยเป็นนายตัวเอง รักอิสระ ไม่ยอมให้ใครควบคุม ยึดอุดมการณ์ตัวเองเป็นหลัก
นิสัยเหมือนพี่สาวของฉันไม่มีผิดเพี้ยนเลยให้ตายสิ
ที่แตกต่างจากพี่สาว คงมีแค่ไอเรื่องที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ที่เคร่งครัดในศาสนาเทพทั้งสามเป็นอย่างมาก
เคร่งในระดับที่ฉันเคยไปเห็นในห้องของเขา ตอนที่เขายังเด็กและอยู่ในสถานเด็กกำพร้าแล้ว ถึงกับตกใจเลยทีเดียวค่ะ…
“อีกเดียวใกล้จะถึงวิหารแล้วค่ะ”
“โอ๊? ถึงเร็วกว่าที่คิดเสียอีกค่ะ”
ฉันพูดด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้น
เพราะวิหารของเทพทั้งสามมันสวยงามมาก
ถึงจะเห็นซ้ำ ๆ มาตลอด 100 ปี ก็ยังไม่เคยรู้สึกเบื่อ
อาคารสร้างด้วยหินอ่อนสีครีมทั้งหลังตามสไตล์กรีกโบราณ แซมโครงไม้สีน้ำตาลเข้มอย่างวิจิตรสวยงาม ปูหลังคาด้วยกระเบื้องเผาธรรมชาติที่เงางาม และประดับด้วยรูปปั้นสำริดเป็นระยะ
เสียงระฆังที่ดังลั่นตามหอคอยทุกเวลาหนึ่งชั่วโมง ช่างไพเราะเสนาะหูแก่ผู้มาเยือน
มันคือสถานที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังและความศักดิ์สิทธิ์
เพียงหลับตาจินตนาการ ก็เสมือนว่าได้ไปยืนอยู่ใจกลางดินแดนสวรรค์แล้ว
“ถึงแล้วค่ะท่าน—”
อยู่ ๆ เสียงของคุณเทเรซ่าก็เงียบหายไป
เธอที่ลงจากยานเหาะไปยืนอยู่ข้างนอก กำลังอ้าปากค้างอยู่
มีอะไรเกิดขึ้นที่ข้างนอก—
“!!!”
วะ– วิหาร…?
ทำไมวิหารถึงหายไปครึ่งหลังแบบนี้กันได้ละ…!?
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของฉัน ไม่ใช่วิหารอันสง่างามที่เคยเห็นในทุก ๆ ปี
หากแต่เป็นวิหารที่พังพินาศสิ้นราวกับมีพายุใหญ่พัดเข้าถล่ม
หอระฆังที่คอยส่งเสียงอันไพเราะตรงปีกเหนือขาดครึ่ง
หลังคาถูกยกตัวสูง กระเบื้องหลุดร่อนแตกหักไปครึ่งหนึ่ง
รูปปั้นสำริดที่เคยเรียงรายอย่างเป็นระเบียบบนหลังคา ล้วนต่างหายวับเสมือนหนึ่งไม่เคยมีมาก่อน
ตัวอาคารฝั่งตะวันตก มีรูโหว่กว้างขนาดยักษ์ปรากฏ ราวกับมีใครสักคนเอาปืนใหญ่มายิงถล่มใส่มัน
ฉันหันไปมองทางคุณเทเรซ่า
หญิงชราผู้นี้อยู่ในสภาพถอดวิญญาณเป็นที่เรียบร้อย…
“เออ… คุณเทเรซ่าคะ? ไม่ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าคะ? ”
“อ๊ะ? อยู่ค่ะ… ยังอยู่ตรงนี้ค่ะ…”
“พี่สาวเอโซ คุณเทเรซ่ากลับมาแล้วค่ะ!”
“ซวยแล้วไง! พอไม่มียัยแมรี่แล้ว พวกเราซ่อมกันเองไม่ทันจริง ๆ ด้วย!”
“เอาจริง ข้าน้อยไม่คิดว่าจะซ่อมได้ภายในวันเดียวมาตั้งแต่แรกแล้วเจ้าค่ะท่านอาจารย์”
[ขอตัวเผ่นก่อนละค่า~ //x_x//]
ฉันหันไปมองตามเสียงที่ดังขึ้นมา
ตรงหลังคาในจุดที่พัง มีคนสี่คนกำลังถืออุปกรณ์ก่อสร้างส่งเสียงโครมครามกันอยู่
พวกเธอสวมชุดหนังโทรม ๆ ที่ดูสกปรก เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยฝุ่นกับแป้งหิน
สองคนเป็นเผ่ามนุษย์สัตว์ หนึ่งคนเป็นมนุษย์นก และอีกคนเป็นเผ่าคนแคระ
“เอโซ… ลาพิส…”
“เออ… คุณป้าเทเรซ่า เรื่องนี้… พวกเราอธิบายได้—”
“ลงมาข้างล่างเดียวนี้เลยนะ!”
“แว๊กกกก!!! คุณป้าโกรธแล้ว! เผ่นเร็วทุกคน!”
“เอ๊? เดียว!? ข้าน้อยด้วยหรือเจ้าค่ะ? ”
“หนูไม่เกี่ยวสักนิด— กรี๊ดดดด! คุณเทเรซ่าหน้าตาน่ากลัว! รอฉันด้วยค่ะพี่สาวเอโซ พี่สาวลาพิส!”
ทั้งสี่สาวที่กำลังซ่อมหลังคา ต่างกระโดดหนีหายวับไปกับสายลมแทบจะในทันที
ส่วนคุณเทเรซ่าเอง ได้หันมาขอตัวสักครู่กับฉัน ก่อนจะวิ่งหายตามไปอีกคน
วุ่นวายดีแท้…
ว่าแต่วิหารดันเป็นแบบนี้ไปแล้ว งั้นงานเทศกาลสิ้นปีจะไปจัดที่ไหนกันดีละคะเนี่ย?
MANGA DISCUSSION