“ยัย— แม—รี่—โกลด์—!!!!”
อูว~ เสียงของสหายรักช่างดังลั่นบ้านแตกดีแท้~
ว่าแล้วก็รีบบินหนีไปให้ห่าง ๆ จากโซนหอพัก ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ดีกว่า~
สภาพของผมในปัจจุบันที่เป็นอยู่ตอนนี้ คือเนื้อตัวเต็มไปด้วยของหิ้วพะรุงพะรัง
มือข้างซ้ายคือถุงผ้าใส่คริสตัลวิญญาณ มือข้างขวาคือถุงผ้าใส่อุปกรณ์ป้องกันการตรวจจับวิญญาณ บนหัวมีเชือกมัดกับกล่องบรรจุอุปกรณ์ทางโลกวิญญาณ ที่พวกเราเคยได้สร้างเก็บเอาไว้
พูดง่าย ๆ คือผมเล่นคว้าทุกอย่างที่เก็บอยู่บนชั้นวางในห้องนั้นออกมาหมดเลยละ~
อันไหนใช้ อันไหนไม่ใช่ ผมไม่รู้หรอก แค่หยิบออกมาเพื่อติดมือเอาไว้ก่อน~
“เออ… เสียงตะโกนนั้น มันจะไม่เป็นไรแน่หรือค่ะ เนี๊ยว? ”
“ไม่หรอก~ ไม่หรอก~ ต่อให้เดือดจนควันออกหูแค่ไหน ก็ไม่มีทางเจอพวกเราได้หรอก~”
“ฉันว่านั่นคือเรื่องที่ควรจะต้องเป็นกังวลไม่ใช่หรือค่ะ… เนี๊ยว…”
เสียงน้อย ๆ น่ารักอ่อนหวานเมื่อกี้คือโนอาร์คนที่มีบุคลิกอ่อนโยน
เธอน่ารักกว่าอีกคนชนิดราวฟ้ากับเหว
ทั้งเป็นคนว่าง่าย ยอมฟังที่คนอื่นพูดก่อน ใจเย็นมากกว่า ไม่ถือตัว แล้วยังหัวอ่อนนิด ๆ อีกด้วย
อย่างน้อยเธอไม่เหมือนอีกคน ที่แค่เจอหน้าก็จะง้างหมัดใส่ทันทีโดยไม่ยอมฟังอะไรก่อน
“แล้วตกลงของพวกนี้มันจะช่วยฉันยังไงมิทราบค่ะ เนี๊ยว? ”
“ไปให้ถึงจุดปลอดภัยก่อน เดียวค่อยอธิบายให้ฟัง”
ตอนนี้พวกเอโซ่คงเริ่มออกตามล่าผมอย่างจริงจัง
ถึงจะคอยกางม่านขีดขวางการรับรู้คลื่นวิญญาณตลอดเวลา แต่ยังไงถ้าใช้ดวงตามอง หรือใช้หลักการคลื่นเรด้าความถี่ตรวจจับวัตถุ มันก็ยังสามารถที่จะเจอพวกเราได้อยู่
เพราะร่างกายจริงไม่ได้หายไปไหนจากโลกใบนี้เสียหน่อย
ดังนั้น เพื่อป้องกันในกรณีเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น ผมเลยตัดสินใจที่จะซ่อนตัวในวิหารนี้แทน
เพราะมันมีคนอาศัยอยู่เยอะ มีห้องที่ไม่มีใครใช้งานอยู่เยอะ พูดง่าย ๆ คือมีจุดอับเพื่อซ่อนตัวเยอะมาก
อีกอย่าง เอโซคงคาดไม่ถึงหรอก ว่าผมจะเลือกมาซ่อนตัวในวิหารแห่งนี้ อยู่ตรงใต้จมูกของเธอเลย
“โอเค เอาตรงนี้แล้วกัน”
ผมบินเคียงคู่กับโนอาร์มาหยุดตรงยอดหนึ่งในหอคอยสั่นระฆังที่ตั้งอยู่ตามมุมทั้งสี่ของวิหาร
ตรงข้างบนระฆั่งเหล็กยักษ์นี้ จะมีห้องเครื่องกลตั้งเอาไว้อยู่ที่ใต้หลังคา
ปกติแล้วถ้าไม่ใช่ช่วงเวลาบำรุงรักษา คงไม่มีใครคิดที่จะปีนขึ้นมาดูถึงตรงตำแหน่งนี้กันหรอก
“ตอนนี้มาถึงจุดที่พักที่ว่าแล้ว รบกวนช่วยอธิบายให้ฉันได้หรือยังค่ะ ว่าจะช่วยตัวฉันอีกคนมาให้ฉันยังไง ในเมื่อลบเธอหายไปจากโลกนี้แล้ว เนี๊ยว? ”
“ก็บอกว่ายังไม่ได้ฆ่า แค่กินวิญญาณเข้าไปเอง~”
“วิญญาณมีจริงหรือไม่ มันยังไม่ใช่เรื่องที่พิสูจน์ได้เลยค่ะ… เนี๊ยว…”
“ก็ตัวเธอนี่ไงคือหลักฐานของวิญญาณ คิดว่าหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมขึ้นมา มันจะมีอัตตาตัวตนคิดได้เอง เหมือนกับสิ่งมีชีวิตได้หรือเปล่าละ? ไม่เคยคิดสงสัยเลยหรือยังไงว่าตัวเธอเองมีตรรกะความคิดค่อนไปทางสิ่งมีชีวิต มากกว่าตรรกะความคิดของหุ่นยนต์ทั่วไปนะ? ”
“เรื่องนั้นมันก็…”
“ถ้ายังไม่เชื่อ เดียวผมจะทำให้เธอเห็นเองกับตา ว่าวิญญาณมันมีอยู่จริง”
สิบปากว่าไม่เท่าดวงตาเห็น
สำหรับคนที่ไม่สามารถมองเห็นวิญญาณได้ ฝึกให้ตายยังไงก็ไม่มีทางมองเห็น นอกจากรับรู้ผ่านทางจิตสัมผัส
แต่กรณีที่สร้างปรากฏารณ์เชื่อมพื้นที่มิติคนเป็นกับคนตายเข้าด้วยกัน คลื่นความถี่วิญญาณมันจะก่อตัวจนมีความเข้มข้นสูง เป็นผลทำให้แสงสว่างสามารถสะท้อนร่างวิญญาณเข้าสู่นัยตาของสิ่งมีชีวิตกายหยาบได้
สิ่งที่ผมจะทำต่อจากนี้ คือการนำคริสตัลวิญญาณมาบดเป็นผง แล้วหลอมใหม่เพื่อทำเป็นเลนส์แว่นตาสำหรับที่ใช้ส่องดูวิญญาณ ด้วยหลักการหักเหคลื่นวิญญาณผ่านเลนส์ในคลื่นความถี่ที่แสงสว่างสามารถรับสะท้อนเข้าสู่นัยตาของสิ่งมีชีวิต
เริ่มจากบดผงคริสตัลออกมาเล็กน้อยด้วยครกหิน
ใช้พลังภูติสร้างไอความร้อนหลอมมันให้กลายเป็นของเหลว แล้วนำไปแผ่ให้เป็นแผ่นบาง ๆ บนพื้นหิน
ขั้นตอนต่อมาคือการทำความเย็นเพื่อให้มันคืนรูป
หลังจากที่ได้แผ่นใสสีรุ้งขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือเด็ก ก็นำมาตัดขอบออกให้เป็นทรงกลมด้วยเลเซอร์ที่สร้างจากพลังภูติ ก่อนจะนำไปติดกับกรอบไม้อย่างง่ายเพื่อทำเป็นแว่นตาแบบใช้มือถือชนิดข้างเดียว
รู้สึกดีชะมัดที่เกิดมาเป็นเผ่าภูติ เพราะพลังภูตินี่ช่างสะดวกดีแท้ ใช้ทำได้ตั้งแต่ต่อสู้ไปจนถึงงานฝีมือเลยละ~
“นี่คือ? ”
“แต๊น~ แต่น~ แต๊น~ แต้น~ แต่น~ แต็น~!!! กระผมขอนำเสนอ [แว่นคนเห็นผี] !”
ผมนำแว่นตาทรงกลมกรอบไม้ชนิดมือถือ โยนใส่ลงในมือของเธอ
“เหวอ!? เดียวก็แตกกันพอดีค่ะ เนี๊ยว— นี่มัน!?!”
เธอกำลังนำแว่นตานั้นมาส่องดูที่ร่างกายของผม
ตอนนี้เธอคงเห็นแล้วว่าผมไม่ได้พูดโกหก
“ว่ายังไง เธอเห็นอะไรบ้าง? ”
“เห็นแสง— สีขาว? กำลังหุ้มรอบตัวคุณอยู่— แล้วก็ตรงตำแหน่งใจกลางของกลุ่มแสง มีแสงสว่างเล็ก ๆ ส่องเป็นจุดที่กำลังจางลงไปทุกขณะ…”
“ดีมาก ไอแสงที่สว่างรอบ ๆ ร่างกายคือวิญญาณของผม ส่วนแสงสว่างที่เป็นจุดเล็ก ๆ ใจกลาง คือวิญญาณของโนอาร์ที่ผมเผลอกินไปเมื่อวานก่อนยังไงละ”
ผมบอกเธอด้วยการยืดอกอย่างโอ้อวด
เป็นยังไงละ เริ่มรู้สึกศรัทธาในตัวผมแล้วใช่ไหมล่า~
“…”
ทำไมเงียบแบบนี้ละ?
ละ— แล้วทำไมต้องทำหน้าตาน่ากลัวแบบนั้นด้วย?
เออ… มือขวา… มือขวาของเธอเริ่มส่องแสงสีแดงออกมาแล้ว!
“งั้นสรุปว่า ถ้าฉันผ่าท้องของแกออกมาตรง ๆ ก็จะสามารถช่วยตัวฉันอีกคนออกมาได้สินะคะ? เนี๊ยว”
“เดียว— ทำไมวิธีพูดของเธอถึง— เดี่ยวก่อน! ใจเย็นก่อนนนนนนนน! อย่าพึ่งสับมือมาใส่ฉ้านนนนน! ฟังให้จบก่อนนนนน!”
ผมรีบเอียงตัวหลบฝ่ามือสังหารของเธอที่สับลงมาตรง ๆ
ฝ่ามือสีแดงที่พลาดเป้าหมาย ได้กระแทกใส่พื้นหินอ่อนจนเกิดเป็นรอยแยกทะลุลงไปข้างล่าง
แร่งสับของเธอนั้น ถึงกับทำให้ระฆังด้านล่างส่งเสียงดังลั้นไปทั่ววิหาร
ผมขอกลับคำพูดที่บอกว่าโนอาร์คนนี้มีนิสัยอ่อนโยน!
ไม่ว่าจะโนอาร์คนไหน แม่มก็ดุพอ ๆ กันเลย!
“อย่างแรก ผมไม่ใช่ศัตรูของเธอ! อย่างที่สอง ผมไม่ได้ตั้งใจจะกินโนอาร์เข้าไป ถ้าฝ่ายเธอไม่โจมตีมาก่อน ผมก็ไม่สู้กลับตอนนั้นหรอก! และอย่างที่สาม ต่อให้ฆ่าผมไป ใช่ว่าวิญญาณของโนอาร์จะพุ่งกลับคืนร่างได้นะเออ มันต้องมีวิธีการบางอย่างก่อน!”
“ไม่สนค่ะ คนที่ฆ่าตัวฉันอีกคนก็คือแก! การแสดงของฉันมันจบแล้ว จงพูดมาออกมาให้หมด! เนี๊ยว!”
ฝ่ามือที่ส่องเป็นแสงสีแดงของเธอกำลังจ่อคอของผมเอาไว้อยู่
สายตาของเธอที่จ้องมองมาทางผม มันบอกให้ผมรู้ว่าถ้าโกหก เอ็งตาย!
การแสดง? จะบอกว่าไอความนุ่มนิ่มก่อนหน้านี้ของเธอมันคือการแสดงอย่างงั้นเรอะ!?
นี่จงใจแสดงด้านอ่อนแอเพื่อทำให้ผมตายใจสินะ? สินะ!
ร้ายไม่เบาเหมือนกันนะยัยนี่~
“วิธีการช่วยโนอาร์ออกมา คือการทำให้ผมสำรอกออก— โอ๊กกกก! อย่าอยู่ ๆ ก็ชกใส่ท้องกันแบบนี้สิยะ!”
“อ่าว? ก็เห็นพูดว่าทำให้สำรอกออกมา? ”
“แค่เปรียบเปรย! คือแบบนี้ ปกติการกินวิญญาณมันไม่เหมือนกินเนื้อหรืออาหารหรอก สิ่งที่กินเข้าไป มันจะถูกสำรอกออกมาเองเมื่อเวลาผ่านไป หรือไม่ก็ถ้าอยากบังคับให้ออกมาตอนนี้ ก็มีแต่จะต้องหาวิญญาณกินเพิ่มเข้าจนร่างกายมันอัดเข้าไปไม่ไหวอีก แล้วดันมันออกมาเท่านั้น!”
“ดันออกมา? ”
“ก็คืออ๊วกนั่นละ! ให้กินเข้าไปเยอะ ๆ จนอ๊วกออกมาเองยังละ!”
โนอาร์กำลังส่งสายตารังเกียจมาทางผม
โอ๊ย! ผมเองใช่ว่าอยากจะใช้วิธีนี้สักหน่อย!
“สรุปคือ จะให้ฉันช่วยแกหาวิญญาณมาแดกเข้าไปด้วยแว่นตาอันนี้ จนอ๊วกโนอาร์ออกมาใช่ไหม? ”
“ถูกต้อง หัวไวไม่เลวเลยโนอาร์!”
“แล้ว— จะให้ฉันไปหาวิญญาณมาจากที่ไหน? แถวป่าช้า? โรงฆ่าสัตว์? ”
“ใช่ ๆ แต่ว่าวิญญาณสัตว์ป่ามันให้พลังงานต่ำ กินไปไม่อิ่มหรอก มันต้องเป็นวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาหน่อย หรือไม่ก็พวกสัตว์ร้ายระดับสูงอย่างพวกสัตว์ประหลาดยักษ์ ไคจู อะไรแบบเนี่ย”
“แล้วถ้าไม่ใช้วิธีรวบรวมวิญญาณมาให้เธอกินจนอ๊วก ต้องรอนานแค่ไหน กว่าที่แกจะคายมันออกมาได้เอง”
“เออ… เนื่องจากวิญญาณของโนอาร์มีพลังงานสูงมาก กว่าจะย่อยจนเหลือแค่อัตตาเปล่า น่าจะกินเวลาสัก 1 ปี เต็มได้ ฮะ ฮะ ฮะ…”
โนอาร์คนนั้นยืนนิ่งไปเลยแฮะ
“ไม่พ้นว่าต้องช่วยแกรวบรวมวิญญาณจริง ๆ สินะ? ”
“ใช่”
“งั้น— ฆ่าคนเป็น ๆ เพื่อรวบรวมได้ไหม? ”
“อย่าทำแบบนั้นเชียว!”
“ทำไมละ? ”
“ยังจะมาถามอีกว่าทำไม!!”
ยัยนี่ความคิดอันตรายฉิบหายเลยวุ้ย!
“แล้วถ้าฆ่าพวกโจร พวกมีคดีต้องโทษประหาร ฆ่าพวกนี้ไปเท่าไหร ไม่มีใครเดือดร้อนหรอก น่าจะได้อยู่ใช่ไหม? ”
“เออ… ถ้าเป็นกรณีนี้—”
เอาจริงมันไม่น่ามีปัญหาหรอก ขอแค่คนที่ลงมือฆ่าเป็นโนอาร์
แต่— พูดตามตรงว่าไม่อยากเอาคอตัวเองไปเสี่ยงตอนนี้อะ
“… เอาเป็นว่าอย่าใช้วิญญาณที่เกิดจากการฆ่าสดเลย ขอเป็นวิญญาณที่ตายตามธรรมชาติดีกว่า ยังไงรบกวนฝากเธอไปรวบรวมวิญญาณตามธรรมชาติมาให้ผมหน่อย ส่วนวิธีรวบรวม ทำแค่ถือขวดแก้วพวกนี้ไปก็พอ”
ผมโยนขวดแก้วบรรจุวิญญาณ ที่ข้างในใส่เศษคริสตัลวิญญาณ กับลงจารึกอักขระภาษาของโลกคนตายให้กับเธอ
“นี่คืออะไร? เป็นภาษาที่ฉันไม่รู้จัก? — แต่คล้ายกับภาษาโบราณของเผ่าเอลฟ์อยู่เหมือนกัน”
“…ขอโทษด้วย อันนี้คงพูดไปมากกว่านี้ไม่ได้ แต่รู้เอาไว้ว่ามันคือขวดที่จะทำให้เธอเก็บวิญญาณได้ เมื่อนำเอาไปใกล้ ๆ กับพวกมัน”
เพราะว่าภาษาของโลกคนตาย มันถือเป็นวิชาหนึ่งของเทพเจ้า
ถ้าพูดที่มาของมันออกไปตรง ๆ เกรงว่าจะกลายเป็นเพิ่มความผิดอีกกระทงให้กับตัวเอง…
“…”
โนอาร์กำลังหันซ้ายหันขวาเหมือนกันกำลังมองหาอะไรสักอย่าง ก่อนจะไปหยุดลงตรงแมงมุมยักษ์ขนาด 15 เซนติเมตร ตัวหนึ่งที่กำลังชักใยอยู่บนมุมยอดของหลังคา
เธอมองไปที่มัน แล้วกระโดดขึ้นไปคว้าแมงมุมตัวนั้นลงมา
*แผละ*
เธอบี้มันตายคามือ…
วิญญาณของแมงมุมผู้โชคร้ายกำลังลอยออกมาจากซากของมัน
ทว่าก่อนที่วิญญาณนั้นจะได้มุ่งหน้าสู่ปรโลก มันกลับถูกขวดแก้วบรรจุวิญญาณของผม ดูดเข้าไปข้างในก่อน
ดวงวิญญาณสีเหลืองที่แผวบางคล้ายแสงเทียน กำลังลอยไปมาอยู่ภายในขวดแก้วอย่างสับสนและน่าเวทนา
“อืม… ดูท่าจะไม่ได้โกหกสินะ”
ไม่มีความเชื่อใจกันแม้แต่กระเบียดนิ้วเดียวเลยนะยัยนี่…
“แล้วแกคิดจะทำอะไรในระหว่างที่ฉันรวบรวมวิญญาณมาให้แก? ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแกไม่คิดหนีหรือทรยศ? ”
“โอ๊ย! ผมไม่หนีไปไหนหรอก เพราะว่ากำลังลำบากต้องหาที่ซ่อนตัวเองอยู่เหมือนกัน! เธออาจไม่รู้ แต่ผมกำลังถูกตามล่าตัวอยู่เหมือนกันนะรู้ไหม!”
“ซึ่งคนที่ตามล่าเธออยู่นั้นคือใครกัน? บอกฉันได้ไหม? [แม—รี่—โกลด์—] ”
ชะอุ๊ย…
เสียงใครคุ้น ๆ จัง~❤
ผมหันหัวไปทางต้นเสียงนั้นอย่างช้า ๆ เหมือนหุ่นยนต์ที่ขึ้นสนิม
“สะ— สวัสดีสหาย…ละ— ลาพิส~❤ อะ— เอโซ~❤”
“อืม สวัสดีจ๊ะ~❤ แมรี่~❤ ไม่เจอกันนานเลยนะ~❤ แล้วมิทราบว่ามาทำอะไรบนหอระฆังของโบสถ์ พร้อมกับคุณโนอาร์ผู้สูงศักดิ์จากนิกายของเผ่ามนุษย์สัตว์กันสองคนละจ๊ะ~❤ แถมยังอุปกรณ์พวกนั้นอีก~❤”
เหงื่อแตกพลั๊ก ๆ !
เหงือแตกพลั๊กเสมือนลูกสาวที่ถูกคุณแม่จับได้ว่ากำลังซ่อนผลสอบที่ได้คะแนนศูนย์!
“คือ— เออ— อ่า— ทำไมถึงเจอพวกเรา— ได้…”
“เธอคือว่าฉันเป็นใครกันยะ? กับอีกแค่แนวคิดง่าย ๆ ว่า [ซ่อนใต้จมูกในสถานที่ ที่คิดไม่ถึง] ฉันจะไม่รู้สึกตัวเลยอย่างงั้นนะหรือ? อีกอย่าง ไอเสียงระฆังที่ผิดที่ผิดเวลาเมื่อกี้นะ ใครไม่รู้สึกตัวก็โง่เต็มทนแล้วยะ!”
สมกับเป็นสหาย เอโซ…
“ว่ายังไง? มาทำอะไรกันตรงนี้? ถ้าว่างอยู่ เธอพอจะสะดวกไปพบกับท่านยมสักครั้งพร้อมกับพวกเราหน่อยดีไหม? ”
ตายโหง—
“โนอาร์ รีบเผ่นเดียวนี้เร็ว!”
“เอ๋? เออ? เนี๊ยว!?!”
โดยไม่จำเป็นต้องพูดมากความไปมากกว่านี้
ผมรีบคว้ามือนุ่ม ๆ ของโนอาร์ แล้วหนีออกมาจากหอระฆังในทันทีด้วยการระเบิดกำแพงออกไป
ศึกปะทะเล่นไล่จับระหว่างพวกเรา สามสหาย ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
MANGA DISCUSSION