***วันที่ 38 เรตนิว เวลา 8:00 น.***
ณ เมืองเหมืองแร่ทางภาคตะวันตกของทวีปแห่งความแห้งแล้ง
“พวกเราขอแสดงความยินดี และมอบรางวัลพร้อมเหรียญเกียรติยศให้กับผู้กล้าเผ่าอาร์โทรโพดา หรือเผ่ามนุษย์มด รุ่นที่ 3”
“นับเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์เผ่าเรา ที่มีคนต่างเผ่าได้รับเกียรติยศตำแหน่งนี้”
“ผู้กล้ารุ่นที่สามนับจากผู้กล้ารุ่นที่หนึ่ง [สเลบ] กับผู้กล้ารุ่นที่สอง [อาเทม] ”
“ขอเชิญพบกับผู้กล้ารุ่นที่สามของเผ่า คุณ— [ออน-เอ็ซท] จากเผ่ามนุษย์!!!”
“เออ… ครับ? ”
ผมกำลังเดินไปขึ้นเวทีกลางแจ้ง ณ ใจกลางเมืองใต้ดินที่ถูกสาดส่องด้วยแสงอาทิตย์เทียม
จิตใจนั้นช่างสับสนงุนงง ว่าทำไมตัวเองถึงมายืนอยู่ในตำแหน่งนี้
เสียงตรบมือ เสียงเชียร์ และเสียงโห่ร้องสรรเสริญช่างดังก้อง จนแม้แต่เพดานถ้ำยังถึงกับสะเทือนสั่นคลอน
“ขอสัมภาษณ์เล็กน้อยครับ ไม่ทราบว่าคุณใช้อะไรจัดการสัตว์ยักษ์ที่แกล้งตายสองตัวนั้นลงได้ครับ? ”
“ความรู้สึกตอนที่ปราบมัน—”
“เห็นว่าคุณ [เดสตินี่ย์] รู้สึกประทับใจและขอบคุณในตัวคุณเป็นอย่างมาก จนอยากดึงตัวไปทำงานด้วยกัน ไม่ทราบว่า—”
บนเวทีมอบรางวัลที่เต็มไปด้วยราชินีกับนักข่าว มีเพียงแค่ผมที่ยืนนิ่งและรู้สึกแปลกแยก
ทำไมเรื่องราวมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้…
ความทรงจำมันเลือนราง
ที่พอจะจดจำได้อยู่ คือร่างกายถูกควบคุม และถูกนำไปใช้งานในฐานะอุปกรณ์สื่อกลางทางวิญญาณ
ถูกวิญญาณร้ายใช้งานบังคับตามใจชอบ ทำร้ายเพื่อนและคนสำคัญของตัวเอง
แม้นจะพยายามกรีดร้องเพื่อหยุดร่างกายตัวเองยังไง แต่ผมไม่อาจยึดร่างกายของตัวเองกลับมาได้
ความรู้สึกคือเหมือนถูกขวางกั้นด้วยกำแพงกับโซ่ล่ามที่มองไม่เห็น
ผมทำอะไรไม่ได้เลย
ถ้าตอนนั้นไม่ได้พวกสามสี่สาวช่วยเอาไว้ ผมคงถูกจองจำ ทนดูตัวเองทำร้ายคนอื่นตราบจนวันที่ร่างกายนี้กลายเป็นเถ้าธุลีดิน
*ตุ๊บ~*
แถมเป็นเพราะถูกคุณเอโซเอาหน้าผากมาแนบชิดใบหน้าระยะประชิดจนเกือบจะจูบปากกัน ตอนที่พยายามไล่ผีออกมาจากร่างกาย เลยทำให้กลายเป็นรู้สึกใจเต้น เขินอาย เวลาที่คิดถึงคุณเอโซขึ้นมาเสียอย่างงั้น…
“คุณออนครับ รบกวน—”
—หลังจากที่ถูกช่วยเอาไว้แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันต่อนะ… อืม…
เหมือนว่า— เราจะถูกจัดฉากให้กลายเป็นคนล้มสัตว์ยักษ์ได้?
พอทุกคนหนีออกมาจากใยแมงมุมได้สำเร็จ พวกเขาก็พบซากสัตว์ยักษ์ที่ถูกพวกคุณเอโซจัดฉากให้ดูเหมือนว่าถูกผมฆ่าทิ้งไปเสียแล้ว
พวกราชินี คนใหญ่คนโต ทุกคนเลยชื่นชมผมกันใหญ่ แล้วกลายเป็นยกให้ผมเป็นผู้กล้าประจำเผ่าไป
ส่วนคุณฑาทิม— ได้กลายเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดจากเหตุในครั้งนี้ไปแทน
เพราะสัตว์ยักษ์ที่ลุกขึ้นมาโจมตีได้อีกครั้ง ได้ถูกมองว่าพวกมัน [แกล้งตาย]
ไม่มีใครคิดหรอก ว่าพวกมันคือศพที่ถูกผีเชิด
การที่ถูกมองว่าพวกมันแกล้งตาย คุณฑาทิมเลยกลายเป็นแพะรับบาป ว่าทำงานไม่ถี่ถ้วนตรวจสอบสภาพศพให้ดีก่อนนำกลับมาที่เมือง
ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดเลยถูกหักออกจากเงินรางวัลที่เขาควรจะได้ แล้วยังถูกยกเลิกเหรียญเกียรติยศที่เขาควรได้อีกด้วย
น่าสงสารชะมัด…
“คุณ ออน-เอ็ซท ครับ? ”
“อ๊ะ? ครับ!? ”
ผมถูกดึงกลับมาโลกความเป็นจริงด้วยเสียงของโฆษกเวที
สองมือรับไมค์มาถือแบบมึน ๆ โดยที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป
“ (ผมรู้ครับว่าคุณกำลังตื่นเต้น แต่ยังไงรบกวนช่วยพูดอะไรสักอย่างทีครับ จะเลี่ยงไม่ตอบคำถามของผมก็ได้ เดียวผมจะตามน้ำให้เองครับ) ”
โฆษกเวทีที่เป็นเผ่ามนุษย์มดกระซิบเบา ๆ บอกผมเช่นนั้น
ให้ตายสิ
นี่ไม่ใช่ผลงานของผมสักหน่อย
ผมไม่ควรได้รับชื่อของผู้กล้านี้เลยแม้แต่น้อย
คนที่ควรได้รับ คือพวกสาว ๆ มากกว่า
ให้ตายเถอะ ผมละไม่เข้าใจความคิดของพวกเธอเลยจริง ๆ
***ในเวลาต่อมา***
หลังจากงานพิธี จบ
ณ พื้นที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งของเมือง
มันเป็นสวนของเผ่ามนุษย์มดที่อยู่ใต้ดิน จึงถูกออกแบบให้เต็มไปด้วยอุโมงค์ดิน กับเส้นทางวงกตคดเคี้ยวชวนสับสน
พูดง่าย ๆ คือเหมือนสวนดินมากกว่าจะเป็นสวนต้นไม้
แต่สถานที่ซับซ้อนแบบนี้ กลับชวนให้ผมรู้สึกสงบใจได้ เพราะมันมีมุมอับเยอะจนไม่ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน
ความจริงผมอยากไปคุยกับคุณฑาทิมก่อนมาเดินที่สวน แต่เขาถูกสำนักงานเรียกตัวกลับจนไม่ได้มีโอกาสร่ำลา
แม้แต่เพื่อนใหม่อย่างคุณ เบอร์รี่ หรือกลุ่มทีมเรนเจอร์ของเขา ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกรอบ
เบอร์โทรมือถือหรือเมล์ไม่มีโอกาสได้แลก
ทั้งที่รู้สึกว่าน่าจะเป็นเพื่อนแท้กัน
ผม… เสียโอกาสสร้างเพื่อนไป…
ทำไม… เหมือนกับว่าดวงตัวเองกำลังตกลง ตกลง มาตลอดเวลาก็ไม่รู้…
“สวัสดี รู้สึกยังไงกับการที่กลายเป็นผู้กล้าบ้างละ? ”
“เสียงนี้มัน! คุณหัวหน้า? ”
ผมหันไปทางต้นเสียงนั้น
ที่ตรงด้านหลังของอุโมงค์สวนดิน มีชายเผ่ามนุษย์สูง 185 ซม. กำลังยืนรออยู่
เขาสวมชุดคลุมซ่อมซ่อสกปรกปิดบังใบหน้าตัวเองจนดูคล้ายคนตกยากที่ไม่มีใครอยากเข้าไปใกล้
นัยตาสีฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของเขากำลังสะท้อนออกมาให้เห็นจากใต้ผ้าคลุมนั้น
“หึ หึ หึ ทำได้ดีกว่าที่คิดเยอะเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์วุ่นวาย ช่วยเหลือคนระดับสูงอย่าง [เดสตินี่ย์] ที่เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งองค์กรให้รู้สึกถูกใจได้”
“เออ… ครับ? ”
ใครคือ [เดสตินี่ย์] กันหว่า?
“ทั้งที่ให้ข้อมูลแบะแสอันน้อยนิด แต่พอรู้ตัวอีกที กลับสามารถทำให้เขาถูกใจและอยากเอามาทำงานด้วยได้ เราจะรู้สึกถูกใจเจ้านัก ถ้าได้รับการช่วยเหลือจากคนระดับสูงอย่าง [เดสตินี่ย์] คิดว่าคำสั่งล่าตัวเจ้าจากองค์กรน่าจะถูกหักล้าง ออน เจ้าทำได้ดีมาก!”
เดสตินี่ย์… เดสตินี่ย์…
อืม…
ออ! ผมนึกออกแล้ว!
[เดสตินี่ย์] คือเผ่ามนุษย์มดที่เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งคาร์นิวอย ที่คุณหัวหน้า โน-เนม อยากให้เราไปสืบ
แต่เพราะมีแต่เรื่อง ผมเลยลืมไปเสียสนิท…
ว่าแต่หมายความว่ายังไงที่บอกว่า “พอรู้ตัวอีกที” กันนะ?
ไม่ใช่ว่าท่านคอยตามสืบผมอยู่อีกต่อทอดหนึ่งหรือยังไงครับ?
หรือว่าช่วงที่อยู่ทวีปนี้ ท่านติดธุระอื่นอยู่ เลยไม่ได้ตามสืบผม?
เอาเถอะจะด้วยเหตุผลยังไงก็ช่างมันไปก่อน
“หลังจากนี้ ถ้ามีข้อมูลอะไรเด็ด ๆ เราของฝากเจ้าด้วยนะ”
“รับทราบครับ!”
เพราะตอนนี้ผมมีภารกิจใหม่มาให้ทำแล้วนั่นเอง
คงได้เวลาไปกล่าวอำลาและขอบคุณพวกคุณลาพิสแล้วละ
แอบรู้สึก… เสียใจอยู่นิดหน่อยแฮะ
***ณ ห้องพักของวิหารเทพทั้งสาม***
ข้าน้อย ทัวร์มาลีเนต ควอตซ์ กำลังนั่งสมาธิอยู่ภายในห้องของท่านอาจารย์ที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ข้าง ๆ
ท่านน้องไซต์นั้น กำลังนอนกลิ้งเล่นมองดูขวดบรรจุวิญญาณ คอยเฝ้าระวังไม่ให้พวกมันแหกหนีออกมาจากขวดแก้ว
ส่วนคุณท่าน ออน เอ็ซ์ท เขากำลังออกไปเข้าพิธีรับเหรียญผู้กล้าอยู่
ผีร้ายถูกปราบ ทุกคนปลอดภัย เรื่องทั้งหมดเหมือนจะจบลงด้วยดี
แต่ความจริงแล้วข้าน้อยรู้สึกไม่พอใจต่อบทสรุปนี้เท่าไหรนัก
เพราะว่าข้าน้อยแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย
ข้าน้อยถูกศัตรูสิงสู่ แล้วกลายเป็นภาระให้กับพวกท่านอาจารย์
ข้าน้อยยังอ่อนหัดยิ่งนัก
ถ้าข้าน้อยยังอ่อนหัด แล้วจะเอาพลังที่ไหนไปช่วยบรรดาเด็กกำพร้าของข้าน้อยจากโนอาร์กันเล่า?
ข้าน้อย— ต้องฝึกจิตใจให้มั่นคงกล้าแกร่ง เพื่อพัฒนาศักยภาพของพลังงานวิญญาณให้มากกว่านี้เจ้าค่ะ
“…”
แต่มีบางอย่างที่ข้าน้อยรู้สึกสงสัย
ตอนที่ผีร้ายถูกขับออกมาจากร่างกายของข้าน้อย ตอนนั้น— มันเป็นฝีมือของใครกัน?
เพราะในช่วงเวลานั้น ข้าน้อยรู้สึกได้ถึงวิญญาณอันอบอุ่นที่มาช่วยพลักดันผีร้ายให้ออกไปจากร่างกาย
เป็นวิญญาณที่อบอุ่นและคุ้นเคยเจ้าค่ะ
[พวกเธอ] คือใครกัน?
***ณ ขอบเขตของมิติโลกคนตาย – เขตปกครองของพญายมราช***
ณ หน้าห้องบัลลังก์กระดูกที่ล้อมไปด้วยกำแพงไฟสีแดง
ฝั่งหนึ่งคือชายตัวยักษ์ผิวสีเลือดหมูที่ถือคฑาหัวกะโหลก กับห้อยบ่วงบาศสีทองคำ
อีกฝั่งคือสตรีสามคนที่คนหนึ่งไม่มีแขน คนหนึ่งไม่มีขา คนหนึ่งไม่มีใบหน้า มาในชุดคลุมสีขาว สภาพร่างเบาบางคล้ายเป็นภาพฉายอากาศ
“ที่วันนี้พวกเจ้าสามคนถอดจิตมาหาข้า มีธุระอะไรเช่นนั้นหรือ? ”
“ท่านยม พวกเราอยากถามท่าน เรื่องวิญญาณหลงครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นบนโลกของเรา มันหมายความว่าเช่นไรกันค่ะ? ”
“โอ๊ว? ในที่สุดก็เจอตัวที่เราอยากให้จับมาจริง ๆ ซักทีสินะ? ได้นำมันมาด้วยใช่ไหม? ”
“เปล่า ไม่ได้เอามาค่ะ”
“…นี่ไม่คิดไวใจแม้แต่กับข้าเลยหรือเจ้านะ? ”
“กับเจ้านายที่มอบคำสั่ง แต่ไม่ยอมบอกรายละเอียดว่าจะเจออะไรแบบนี้ ใครมันจะเอาเบาะแสมาใส่พานถวายให้กันตรง ๆ ละคะท่านยม? ”
พริบตานั้น บรรยากาศได้เกิดความรู้สึกชวนหนักอึ้งขึ้น
“นิสัยเจ้านี่มันช่าง— ให้ตายเถอะ ไม่คิดจะไว้ใจคนอื่นนอกจากพวกตัวเองสามคนเลยหรือยังไง? เห็นเอ็นดูสาวน้อย กระต่ายน้อย กับผู้ชายน้อย คนนั้นออกจะดี นึกว่าจะยอมเปิดใจรับคนอื่นมากขึ้นแล้วเสียอีก”
“นี่ท่านแอบดูพวกเราตลอดเวลาเลยหรือค่ะ? คงจะว่างมากเลยสินะคะ? งานของท่านยมนี่ดูท่าจะง่ายกว่าที่คิดสินะคะ? ”
“เดียวนี้ต่อปากต่อคำเก่งขึ้นนะเราเนี่ย? ”
ทั้งคู่กำลังยิ้ม
แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูอาฆาตมากกว่าจะเป็นมิตร
“ช่วยไม่ได้ ยังไม่คิดจะส่งมาให้ตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ข้าเองก็ผิดที่ไม่ได้ยอมบอกก่อนส่งพวกเจ้าไป คือแบบนี้ ช่วง 50-60 ปีหลังมาเนี่ย ไอโลกที่เจ้าสร้างขึ้นมาเริ่มมีวิญญาณหลงมากขึ้นผิดปกติ ทั้งที่มันไม่ควรเป็นแบบนั้น เราเลยสงสัยว่าคงมีตัวการสักคนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะใช่ฝีมือเทพเจ้าจริงหรือไม่ ถ้าส่งคนไปตรวจสอบตรง ๆ ก็เกรงว่าตัวการร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน ประกอบกับที่พวกเจ้าแอบไปทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ ลับหลังข้า ข้าเลยถือโอกาสส่งพวกเจ้าลงไปเกิดใหม่ให้มีกายเนื้อด้วยคำสั่ง [ลงโทษ] ยังไงละ ”
“ท่านยม… ท่านใช้คนหนักเช่นเคยเลยนะคะ…”
“คำชมนั้นข้าจะรับเอาไว้ด้วยความยินดี”
“ไม่ใช่คำชมเลยค่ะ!”
ฝั่งหนึ่งหัวเราะอย่างสนุกสนาน ส่วนอีกฝั่งกำลังถอนหายใจด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า
“แล้วถ้าท่านตั้งใจจะส่งพวกเราไปเจอตัวระดับนี้ตั้งแต่แรก ช่วยกรุณาส่งพวกเราไปด้วยร่างกายเทพเจ้าสิค่ะ! ไม่ใช่ส่งไปแบบถูกผนึกพลังด้วยร่างกายหยาบแบบนี้! พวกเราเกือบตายกันแล้วนะรู้ไหม!?!”
“แต่ก็ชนะมาได้ไม่ใช่หรือ? อีกอย่าง ถ้าข้าส่งลงไปพร้อมร่างกายของเทพเจ้า มันก็ดูไม่เนียนสิจริงไหม? ”
“…”
เกิดความเงียบชวนอึดอันขึ้นชั่วขณะ
“โอ๊ย! อายุจริงก็ปาเข้าไปพันกว่าปีแล้ว ทำเป็นงอนงอแงไปได้! เอาเป็นว่าตอนนี้ศัตรูมันคงไหวตัวแล้วว่าข้าได้ส่งพวกเจ้ามาตรวจสอบ หรืออาจไม่ไหวแต่ แต่ระวังมากขึ้น! ถ้าพวกเจ้าไม่คิดส่งเบาะแสมาให้ข้า งั้นจงดูแลเบาะแสนี้ให้ดี ๆ ยอมให้มันเปิดปากบอกให้ได้ว่าตัวการคือใครมาให้ข้าก็พอแล้วกัน!”
“ขอโบนัส”
“หืม? ”
“บอกว่าขอโบนัสหน่อย งานหนักแบบนี้ทั้งที รบกวนขอโบนัสด้วยค่ะ”
“พวกเธอนี่มันช่าง— ”
ชายผิวแดงนั่งนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เขานั่งหลับตาลงราวหนึ่งวินาที ก่อนจะเปิดเปลือกตากลับมา
“ได้ ข้าจะเอาไปพิจารณาให้”
“รบกวนขอสัญญาเป็นลายลักอักษรด้วยค่ะ”
“เรื่องมากจริง! เทพอย่างข้าพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว! ”
“กฏเก่าคร่ำครึเกือบหมื่น ๆ ปี มันล้าหลังแล้วค่ะ รบกวนออกเอกสารสัญญาทีค่ะ”
“… ก็ได้”
บุรุษผิวแดงเลือดหมูพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างรำคาญ แล้วเริ่มตวัดมือไปในอากาศ
เขานำนิ้วชี้ขวาวาดเป็นลายเซ็นลงบนอากาศ จารึกแสงสีเหลืองบนพื้นที่ว่างเปล่า
พริบตาที่เขาวาดเสร็จ กระดาษเรืองแสงแผ่นหนึ่งได้ผุดปรากฏตรงหน้า
กระดาษเรืองแสงนั้นเต็มไปด้วยอักษรจารึกที่ไม่ใช่ภาษาบนมิติโลกคนเป็น ก่อนจะจางหายไปดั่งเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
“พอใจหรือยัง? ”
“พอใจแล้วค่ะ งั้นพวกเราไปก่อนนะคะ ส่วนการสอบสวน พวกเราจะจัดการเองค่ะ”
เงาทั้งสามโน้มตัวเคารพชายร่างยักษ์ แล้วเลือนหายไปจากห้อง
“ให้ตายสิ นี่ข้าคิดถูกหรือผิด ที่ไปฝากงานให้เจ้าแสบสามตัวนี้ทำงานนี้กันนะ? ”
MANGA DISCUSSION