ภายในอุโมงค์เล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่สูงและกว้างเพียงหกเมตร มีเผ่ามนุษย์หนึ่งคน (ตัวผม) กับเผ่ายักษ์ 6 คน กำลังเดินเรียงคู่กันอยู่
“เจ้าหมา-ดุช! ขอบคุณที่มาช่วยพวกข้า!”
” [มนุษย์] ไม่ใช่ [หมา-ดุช] !”
“นับเป็นครั้งที่สองแล้วหลังจากเหตุการณ์คฤหาสน์หลังนั้น ที่พวกข้าติดหนี้บุญคุณเจ้า!”
“จะว่าไป พวกข้ายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย ว่าพวกข้านั้นมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร อยากรู้แล้วใช่ไหมล่า? ”
“ไม่ได้อยากรู้เฟ้ย!”
“พวกข้าจะขอเอยนามให้เจ้าฟัง!”
” ไม่ได้ฟังกันเลยนี่หว่า!?!”
เจ้ายักษ์ขบวนการห้าสีกำลังพูดคุยอย่างร่าเริงกับผมอยู่ตรงหน้า
พวกเขาดูไม่รู้สึกทุกร้อนอะไรกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้กันเลยสักนิด
“ข้ามีนามว่า [เรด] จุดเด่นคือผมสีแดงยาว!”
“ข้ามีนามว่า [กรีน] จุดเด่นคือผมสีเขียวยาว!”
“ข้ามีนามว่า [เยลโล่] จุดเด่นคือผมสีเหลืองยาว!”
“ข้ามีนามว่า [บลู] จุดเด่นคือผมสีน้ำเงินยาว!”
“ข้ามีนามว่า [แบล็ก] จุดเด่นคือผมสีดำยาว!”
“”พวกเราคือขบวนการเซ็นไตแห่งหน่วยฑาทิม ถือครองตำแหน่งกลุ่มย่อยที่เก่งกาจที่สุดของหน่วยยักษาฑาทิม ขบวนการ [เรนเจอร์ฑาทิม] !!””
***บรึ่ม!***
เกิดระเบิดควันห้าสีพวยพุ่งออกมาจากการแนะนำตัวด้วยท่าโพสแปลก ๆ ของยักษ์ทั้ง 5 คน
“แค๊ก แค๊ก! โอ๊ย!? ระเบิดควันพวกนี้มาจากไหนเนี่ย!!”
“พวกเราพกติดตัวคนละอันเป็นปกติอยู่แล้ว เพื่อต้องแนะนำตัวไง”
“เพราะสั่งทำพิเศษให้มีสีและแสงประจำตัว ลูกหนึ่งเลยราคาตั้ง 5,000 ยูนิต แนะ”
“แถมต้องใช้เยอะด้วย เลยทำเอาพวกเราไม่มีเงินพอใช้เลยละ ฮะ ฮะ ฮะ”
“ทำเพื่อ!?!”
รู้สึกอยากมีพัดกระดาษเอามาฟาดหัวตบมุกพวกมันซักปาด…
“ว่าแต่ปกติเผ่ายักษ์จะไม่ตั้งชื่อแบบนี้ไม่ใช่เรอะ? ”
เท่าที่ผมรู้ เห็นว่าเผ่ายักษ์จะมีธรรมเนียมตั้งชื่อลูกหลานตามชื่อของผักผลไม้ เพราะเป็นธรรมเนียมของพวกเขาว่าจะได้รับความเมตตาจากธรรมชาติ ตามความเชื่อของพวกเขาเอง
“พวกเราทิ้งนามเดิมไปนานแล้วละ”
“เพราะว่าพวกเรานั้นคือ—”
“ขบวนการเซนไตยังไงละ!”
***บรึ่ม!***
แล้วจะระเบิดแนะนำตัวอีกรอบเพื่อ!!!
“…”
ถึงจะดูเป็นพวกงี่เง่า แต่เห็นบอกว่าเก่งกาจที่สุด คงคาดหวัง—
“ (เออ… คุณออนครับ พอจะเดาได้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ขอเตือนเอาไว้ก่อน ว่าเจ้าบ้าห้าตัวนี้เป็นพวกเหลือแดนที่ไม่มีใครอยากรับเข้ากลุ่ม เลยมีแค่หัวหน้าฑาทิมที่กรุณาเก็บมาเข้าหน่วยครับ พวกมันคือสุดยอดของความงี่เง่า จนติดอันดับทำผลงานยอดแย่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่งเลยครับ”
สรุปคือคาดหวังอะไรไม่ได้เลยสินะ…
ผมถอนหายใจเบา ๆ ให้กับข้อมูลจากคุณเบอร์รี่ แล้วตัดสินใจเดินนำกลุ่มเข้าไปในอุโมงค์ลึก
จากที่ดู บางทีมันคงเป็นพื้นที่ขุดแร่เก่า ที่ใช้แรงงานคนมากกว่าเครื่องจักรกล
สาเหตุที่รู้ว่าใช้แรงงานคนขุด เป็นเพราะมันมีแร่หยก เพชร รวมไปถึงหินรูปทรงสวยงามผุดปรากฏไปทั่วให้เห็นเป็นระยะ
มันเป็นหินธรรมชาติที่ดูแล้วแทบไม่อยากจะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นได้เองโดยไม่ใช่ฝีมือของคน
เพราะรูปลักษณ์ของพวกมันสวยงามจนเหมือนเป็นงานแกะสลัก
ราวกับว่ามีเทพเจ้าจงใจปั้นหินเหล่านี้ให้เป็นผลงานศิลปะ แล้วนำมันมาฝั่งเอาไว้ในใต้ดิน
ของที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนในการขุดพวกนี้ คงไม่สามารถใช้แรงงานเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ขุดขึ้นมาได้หรอก
“หวังว่าอุโมงค์นี้จะมีทางเชื่อมไปที่อื่น…”
“ถ้าไม่มี คงต้องรอจนกว่าสัตว์ประหลาดข้างนอกจะทะเลาะกันเสร็จนั่นละครับคุณออน”
“ใช่”
ทางเลือกของพวกเราตอนนี้เหลือไม่มาก
หนึ่งคือรออยู่ใกล้ปากหลุมจนกว่าการต่อสู้ข้างนอกจะสงบลง
สองคือเข้าไปสำรวจเส้นทาง เพื่อว่ามันจะมีทางออกอื่นอยู่
*ตึ่ง!*
*กีสสสสส!*
*ฮูมมม!*
แต่เสียงต่อสู้ของพวกสัตว์ประหลาด มันทำให้พวกเราต้องจำใจเข้าไปในอุโมงค์ให้ลึกมากขึ้นกว่าเดิม
ยิ่งหนอนทะเลทรายมีนิสัยชอบมุดดิน ก็ยิ่งอันตรายถ้ายังอยู่ในระยะที่ได้ยังได้ยินเสียงต่อสู้ของพวกมัน
“เข้ามาลึกมากเลยแฮะ”
“บลู พอจะรู้หรือเปล่าว่าถ้าเก็บก้อนหยกพวกนี้กลับไปขายจะได้เงินเท่าไหรกัน? ”
“ไม่รู้สิ แต่ดูจากรูปร่างกับขนาดที่ใหญ่เท่าคน— คิดว่าถ้าเอาเข้าประมูลคงได้ราคาไม่ต่ำกว่า 1 ล้าน ยูนิตแน่ ๆ ละ”
“โอ๊ววว!”
พวกยักษ์ห้าสีกำลังพูดกันเองอย่างตื่นเต้นในระหว่างที่เดินผ่านอุโมงค์ที่เต็มไปด้วยศิลาล้ำค่า
เจ้าเรดที่ได้ยินมูลค่าของหินจากเจ้าบลูถึงกับดวงตาเบิกกว้าง แล้วเดินเข้าไปใกล้หินหยกก้อนหนึ่งที่โผล่พ้นออกมาจากผนังถ้ำ
เขายื่นมือเข้าไปใกล้มัน และทำท่าว่าจะออกแรงหักปลายยอดของมันออกมา
ในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกหนาวไปถึงขั้วกระดูกสันหลัง
สัมผัสที่หกได้กรีดร้องเตือนว่ามีพลังงานวิญญาณจำนวนมากกำลังพุ่งผ่านทะลุใต้ผิวดินไปทางเขา
“อันตราย!”
“เหวอ!? นี่เจ้าทำอะไรของเจ้าเนี่ย? มาพลักข้าทำไม? ”
ไม่มีใครที่มองเห็นนอกจากผม
ที่ตรงหน้า ในจุดที่ก้อนหินหยกตั้งเอาไว้ มีวิญญาณเผ่ามดจำนวนเกือบ 10 คน กำลังยืนตั้งขวางเป็นกำแพงกันพวกเราให้แยกออกจากหินหยกก้อนนั้นเอาไว้อยู่
เป็นเผ่ามดระดับมดทหารเลวที่มีความสูงอยู่ราวหนึ่งเมตรครึ่ง
ผมไม่เคยเห็นวิญญาณที่ก่อตัวเป็นรูปร่างชัดเจนขนาดนี้มาก่อน
พวกมันทั้ง 10 คน กำลังจ้องมาทางพวกเราด้วยสีหน้าที่โกรธแค้น
คงไม่ได้กำลังคิดว่าพวกเราเป็นหัวขโมยเหมืองแร่อยู่หรอกใช่ไหม…
“ปกป้อง…”
“ปกป้องเหมืองของราชินี…”
“พวกโจร… ต้องถูกลงโทษ…”
“ทุกคน ใส่เกียร์หมาวิ่ง!”
“เอะ? เอ๊???? ”
ผมรีบออกตัววิ่งนำทางทุกคนที่ยังคงสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเขามองไม่เห็นในสิ่งที่ผมเห็น เลยกลายเป็นหน้าที่ของผม ที่ต้องเป็นคนมองระวังพวกผีแทนพวกเขา
ผมชักปืนรังสีออกมา แล้วใช้มันยิงใส่วิญญาณที่กำลังบินไล่ตามมา โดยเล็งไปที่จุดรวมพลังงานแสงของมัน
แสงรังสีที่วิ่งตัดผ่านจุดรวมพลังงานวิญญาณ ได้จุดระเบิดให้ร่างกายของมันระเบิดแตกออกเป็นละอองแสง
*ปึ่ง!*
“เหวอ!?! ทำไมอยู่ ๆ ถึงมีคลื่นระเบิดเกิดขึ้นมาบนอากาศได้กันเนี่ย!? ”
“อะไร!? จะบอกว่ามีพวกจิ้งเหลนถ้ำอยู่อย่างงั้นเรอะ!? ”
จิ้งเหลนถ้ำที่พวกยักษ์ห้าสีพูดถึง คือสัตว์ร้ายขนาดหนึ่งเมตรที่สามารถพรางตัวเองให้กลืนไปกับธรรมชาติได้
พวกมันมีนิสัยรักสงบ ไม่ดุร้าย แต่ก็กินเนื้อเป็นอาหาร จึงถือว่าเป็นสัตว์อันตรายประเภทหนึ่ง
แต่ว่าสิ่งที่ผมพึ่งกำหราบไป มันไม่ใช่จิ้งเหลนถ้ำนี่สิ
พอเห็นว่าพรรคพวกของมันถูกยิงแตกสลายไปต่อหน้า พวกผีมดจึงบินแตกฝูงหายเข้าไปในผนังของถ้ำแทน
ส่วนร่างที่แตกสลายไป มันกำลังค่อย ๆ กลับมารวมตัวก่อร่างขึ้นมาใหม่
ให้ตายสิ ต้องทำยังไง ถึงจะฆ่าพวกวิญญาณได้กันเนี่ย?
ศัตรูที่ฆ่าไม่ตาย… นี่มันฝันร้ายชัด ๆ !
“คุณออน ผมได้ยินเสียงขุดเจาะดังมาจากข้างหน้าด้วยครับ!”
“เบอร์รี่ แกหูฟาดไปเองหรือเปล่า? มันจะไปมีคนงานเหมืองที่ไหนมาขุดเจาะในเหมืองร้าง—”
“มันมีเสียงจริง ๆ ด้วยวะเรด!”
พวกเราทั้งเจ็ดคนวิ่งหนีผีจนกระทั้งออกมาสู่ที่โล่งแห่งหนึ่ง
มันคือโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยรูพรุนของทางแยกอุโมงค์จำนวนมาก
มีเสาไม้กับเหล็กที่ถูกเอามาค้ำโครงสร้างดินไม่ให้พังถล่ม และมีรถเหาะลากเลื่อนที่ใช้ขนสินแร่ดิบวางถมกองอยู่ตรงมุมของห้อง
มีส่วนของห้องน้ำและส่วนบริการที่ดูคล้ายโรงอาหาร
มีเวทีขนาดใหญ่ที่ดูคล้ายกับห้องประชุม
ดูแล้วไม่ต่างอะไรไปจากส่วนที่พักคนงานเหมือนใจกลางอุโมงค์
ถ้ามันเป็นที่พักธรรมดาซึ่งถูกทิ้งร้าง มันคงไม่น่าตกใจเท่าไหรนัก
แต่ว่า…
“อะไร? ทำไมรถเข็นแร่ถึงบินเคลื่อนไหวได้เอง? ”
“ไม่มีฝุนจับ? ”
“ทำไมอุปกรณ์ขุดเจาะถึงลอยไปมาเองได้!!? ”
“แถมไม่ใช่ว่ามันเคลื่อนไหวด้วยหุ่นยนต์นาโนด้วยนะ”
“ระ— หรือว่า…”
“ผะ ผะ ผะ”
“““ผะ— ผีผีผีผีผีผีผีผีผีผีผีผีผีผีผีผีผีผีผี!!!!!!!”””
เจ้าพวกยักษ์ห้าสีถึงกับตกใจน้ำลายฟูมปาก แล้วกอดกันตัวเกลียวตัวสั่นไปเลย
ตัวโตซะเปล่าแต่ขี้ขลาดชะมัด
พวกนายน่าจะดูคุณเบอร์รี่เป็นตัวอย่าง
ดูสิ ทั้งที่เขาตัวเล็กและมีร่างกายผอมบางกว่าพวกนายตั้งเยอะ แต่เขายังนิ่งสงบไม่แสดงท่าที่หวาดกลัวใด ๆ ออกมาให้เห็นเลยสักนิดเดียว
ช่างมีจิตใจกล้าหาญ—
“…”
ทำไมถึงมาจับมือผมแน่นขนาดนี้กันละครับคุณเบอร์รี่?
พอหันไปดูหน้าเขาให้ชัด ๆ —
ตาขาวเหลือกบน
ตัวนิ่งไม่ขยับ
ผิวซีดเซียวเย็นเฉียบเหมือนคนตาย
สลบหมดสติจนถึงขั้นเกือบหยุดหายใจ
พบคนกลัวผีตรงนี้หนึ่งคนครับ
“คุณเบอร์รี่ ตั้งสติเอาไว้ก่อนสิครับ!”
“คะ— คุณออน!?! เอ๊? เมื่อกี้เหมือนว่าผมจะเห็นคุณยายที่ตายไปเมื่อนานมาแล้ว… ว่าแต่… ไอที่มันลอย ๆ อยู่ตรงหน้านี่ มันใช่ ผะ- ผะ- ผะ-”
“ก็ [ผี] นั่นละครับ เหมือนที่เจอมาแล้วตอนคฤหาสน์ที่ทวีปออโรร่าไงครับ? พวกคุณยังไม่ชินกันอีกหรือครับ? ”
“ชินได้ก็บ้าแล้วครับ!”
“ของแบบนี้มันเจอกันทุกวันเสียที่ไหนเล่า!?!”
“แล้วแกละไม่กลัวเลยหรือยังไงเจ้า หมา-ดุช? ”
“ไม่เลยสักนิดครับ”
“สุดยอด!! ”
ทั้งคุณเบอร์รี่กับพวกยักษ์ห้าสีต่างมองมาทางผมด้วยสีหน้าเคารพยกย่อง
มันจะไปน่ากลัวอะไรเล่า?
ในมุมมองของพวกยักษ์คงเห็นเป็นว่าอุปกรณ์กำลังลอยไปมาด้วยตัวเองอย่างหาสาเหตุไม่ได้
แต่ผมเห็นชัดเจนเลยว่ามีวิญญาณเผ่ามนุษย์มดสูงหนึ่งเมตรจำนวนมาก กำลังขนของพวกนี้ไปมาอยู่
ไม่มีวิญญาณคนไหนที่หันมาสนใจพวกเราแม้แต่คนเดียว
พวกเขาเอาแต่ทำงาน ทำงาน แล้วก็ทำงาน ราวกับเป็นคนบ้า
ถ้าเทียบกับพวกที่กำลังตามล่า ผีพวกนี้ดูมีความรู้สึกคุกคามน้อยกว่ามาก
“อย่าไปสนใจพวกมัน แล้วเดินผ่านไปอย่างช้า ๆ เชื่อผม ที่น่ากลัว มีแค่กลุ่มที่ตามหลังพวกเรามาเท่านั้นครับ”
“เดียว… ข่างหลังเองก็มีไล่ตามมาเหมือนกันเรอะ!?!”
“ไม่ใช่ว่าเป็นจิงเหลนหรอกเรอะที่ไล่ตามมา!? ”
พวกยักษ์ห้าสีทำท่าจะร้องไห้ออกมาแล้วแฮะ…
ส่วนคุณเบอร์รี่
*หมับ*
จับมือผมเสียแน่นเลย
ทั้งที่เป็นมือของผู้ชาย แต่กลับนุ่ม—
ท่องไว้ “มันคือตัวผู้” “มันคือตัวผู้” “มันคือตัวผู้”
“…”
โอเค ไร้สาระกันพอแล้ว รีบหนีไปจากที่ต้องสาปแห่งนี้กันดีกว่า
ผมเดินนำทุกคนผ่านกลุ่มก้อนของวิญญาณไปอย่างเงียบ ๆ
ส่วนพวกที่ตามล่ามาจากข้างหลัง— ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร แต่เหมือนพวกผีจะหยุดนิ่งรออยู่ที่ปากทางเข้าห้องโถงไปแทน
“… ไปทางนี้ไม่ได้”
“เอ๊? แต่ว่ามันดูโล่งขนาดนี้? ”
“คุณเบอร์รี่อาจไม่เชื่อ แต่ผมเป็นพวกที่เห็น [ผี] ครับ และตรงหน้านี้มีพวกมันเดินกันอยู่เพียบเลยครับ”
“!!!”
พอบอกว่ามีผีอยู่เพียบ คุณเบอร์รี่ก็ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า พร้อมกับเอาสองมือกุมมือซ้ายของผมจนแน่นยิ่งกว่าเดิม
นี่ถ้าเป็นผู้หญิงนะ มันจะเป็นพฤติกรรมที่ดูน่ารักมากเลยละ
อยากให้คนที่มายืนกุมมือตัวสั่นตรงนี้ เป็นคุณลาพิสมากกว่าแฮะ
“… ตรงนี้ก็เยอะ”
พอจะหันไปอีกทาง ก็พบว่ามีพวกผีมาขวางเส้นทางอีก
ซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง…
“นี่? หยุดทำไมหรือคุณออน? ”
“พวกเรากำลังโดนล้อม…”
“!!!”
ใช่
พวกเราถูกผีคนงานเหมืองล้อมเอาไว้ทุกทิศทางไปแล้ว
นี่มัน—
“ฮิ ฮิ ฮิ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่สามารถมองเห็นวิญญาณหลงมาที่แบบนี้ด้วย”
“นั่นใคร!”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เจ้ามนุษย์หนุ่มที่มองเห็นวิญญาณ”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากเพดานอุโมงค์
วิญญาณมดทหารที่เคยไล่ตามพวกเรา ต่างพากันบินเข้ามาในห้องโถง แล้วเรียงแถวทำความเคารพเจ้าวิญญาณตัวนั้นที่กำลังบินลงมา
มันเป็นวิญญาณมดเพศเมียที่สูงเพียง 1 เมตร
แต่ท่าทางของเธอกลับดูมีอำนาจและทรงพลัง ทั้งที่ตัวเล็กเพียงแค่นั้น
“กี่สิบปีแล้ว ที่ไม่ได้คุยกับคนเป็น ๆ กันนะ? ดีเลย ฉันว่าอยากจะถามอะไรเจ้าสักหน่อย”
“ถามว่า? ”
“คุณออน นั่นคุณกำลังคุยกับใครอยู่? ยะ— อย่าอยู่ ๆ ก็พูดคนเดียวแบบนี้สิ มันทำพวกเรากลัวนะรู้ไหม…”
“ใช่ ๆ เบอร์รี่พูดถูกแล้ว”
“อย่าแกล้งพวกข้ากันแบบนี้สิฟะเจ้า หมา-ดุช!”
คุณเบอร์รี่ตัวสั่นยิ่งกว่าเดิม
ส่วนพวกยักษ์ห้าสีนั้น พวกมันเกาะอยู่ข้างหลังผมอีกทีเหมือนเป็นเด็กเลยละ
“ดูท่าจะมีแค่เจ้าคนเดียวที่มองเห็นสิเนี่ย~? ”
“คงงั้น ว่าแต่คุณวิญญาณ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ? พอจะปล่อยพวกผมไปได้หรือเปล่า? ”
“ได้ แต่ไม่ใช่เจ้า”
วิญญาณมนุษย์มดพูดแล้วส่ายหน้า
“เพราะว่าเราต้องการร่างกายของเจ้ามาเป็นภาชนะร่างทรงของเรายังไงละ!”
เธอพูดเช่นนั้น แล้วบินพุ่งเข้าใส่ร่างกายของผมในทันที
เธอเร็วมาก
เร็วจนผมไม่สามารถเหนี่ยวไกปืนยิงสวนกลับไปได้ทันเวลา
ในชั่วพริบตานั้น ผมได้นึกถึงคำสอนหนึ่งของคุณเอโซขึ้นมา
ว่าอย่า “ไปทำให้วิญญาณรู้ว่าเรามองเห็นพวกมัน”
MANGA DISCUSSION