เหมือง อาเทม
เหมืองแห่งประวัติศาสตร์ที่ถูกทิ้งร้างของเผ่ามนุษย์มด
มันคือเหมืองที่เป็นทั้งเมืองและเหมืองขนาดใหญ่ ตั้งปรากฏอยู่บนผืนทะเลทรายสีขาวทอประกายแสง
ใหญ่เพียงใดนะหรือ?
ใหญ่ขนาดที่สามารถมองเห็นหลุมกว้างจากบนอวกาศได้เลยนะสิ
เหนือผืนทรายคือหลุมลึกที่ถูกขุดลงไปจนเห็นคล้ายเป็นบ่อน้ำวน
มีกำแพงที่ถูกสร้างจากแร่ฮีเฟตุส คอยปิดล้อมพื้นที่กันไม่ให้ทรายไหลเข้า เสมือนหนึ่งเป็นเขื่อนยักษ์ที่ขวางกั้นกระแสน้ำ
มีหอคอยสูงทรงกรวยเรียงราย พร้อมตัวส่งคลื่นความถี่เสียงอันน่ารำคาญ คอยขับไล่สัตว์ประหลาดระดับภัยพิบัติไม่ให้มาเยื้อย่างกรายใกล้
ถึงมันจะหยุดทำงานมาอย่างยาวนาน แต่ทว่าสภาพของหอคอยยังคงดูแข็งแรง พร้อมที่จะกลับมาทำงานได้ทุกเวลา
ถัดจากกำแพงเข้ามา คือส่วนของเนินลาดทรายอัดแน่นที่ปูทับด้วยยางผสมพิเศษที่ทนทาน
เหนือถนนลาดยาง มีวงแหวนพลังงานลอยต่อเนื่องยาว คอยเป็นเส้นนำทางยานเหาะอากาศ
ทางเดินเท้าทั้งบนพื้นและเส้นทางเดินอากาศ เต็มไปด้วยพืชพรรณหลากสีสันให้ความร่มเย็น
มีเครื่องควบคุมความชื้นอากาศที่คล้ายหิงห้อย บินลอยกระจายเหนือเหมืองจนเห็นเป็นโดมจุดสีขาวที่ดูแปลกตา
อาคารแห่งสถาปัตยกรรมเป็นตามอย่างอารยะแห่งชนเผ่ามนุษย์มด ที่ถูกขุดเป็นโพรงมากมายลึกเข้าไปในมวลทราย สร้างอุโมงค์อันซับซ้อน ชอนไชไปตามใต้ทางลาดถนน
แม้นจะมีอาคารสูงยืดโยงเหนือผืนดิน แต่ก็มิอาจทิ้งลายลักษณะเฉพาะที่ดูคล้ายกับสลักภูเขาทั้งใบให้กลายเป็นอาคารสูงเทียมฟ้า
ท่ามกลางอาคารและเนินลาดที่ไล่หลั่นระดับ จะมีลานกว้างทรงกลมในจุดที่ต่ำสุด ปรากฏให้เห็นเป็นระยะ
ลานกว้างที่ใหญ่อย่างเป็นเอกเทศนั้น เต็มไปด้วยอาคารที่ดูคล้ายดอกเห็ดผุดขึ้นเต็มไปทั่วลาน
ที่ด้านข้างอาคารจะเต็มไปด้วยโรงงานถลุงแร่ กับยานขนส่งที่ถูกปล่อยจอดทิ้งเรียงราย
หากมองดูแล้วหลับตาลง จะเสมือนคลับคล้ายได้ยินเสียงกระทบกันของสินแร่จากการหลอมเหลวอยางไม่น่าเชื่อหู
ลึกลงไปใต้อาคารดอกเห็ด คือเสาลิฟท์ที่เชื่อมลงไปสู่เหมืองใต้ดินที่ถูกขุดจนเห็นเป็นโพรงขนาดใหญ่
มองเห็นแสงไฟจากดวงอาทิตย์เทียมที่ถึงแม้จะถูกปล่อยทิ้งร้าง แต่ก็ยังคงมอบแสงสว่างให้กับเหมืองที่ถูกลืม
เสาขนส่งยังคงมีพลังงานไหลเวียน ส่องแสงสว่างสีน้ำเงินกับแดงออกมาให้เห็นเป็นระยะไม่ขาดสาย
แม้ไม่มีผู้อยู่อาศัยมานานนับปี แต่ส่วนเหมืองยังคงมีร่องรอยของการใช้ชีวิต…
มีซากกระดูกของสัตว์ที่ถูกแมงมุมทะเลทรายเทาะกิน
มียักใยแก้วหุ้มเมือกปล่อยทิ้งโยงไปทั่วอุโมงค์และทางเดินอาคาร
มีร่องรอยของรูขุดใหม่จำนวนมากจากหนอนยักษ์ที่มีฟันสว่านอันแข็งแกร่ง
มีร่องรอยของเปลือกแมงมุมที่ถูกกัดกินเอาไปแต่เนื้อภายใน
ไกลออกไปจากส่วนใจกลางเหมืองที่ได้กลายสภาพเป็นแหล่งชุมชนของจ้าวแห่งทะเลทรายสองสายพันธุ์ มีสถานนีขนส่งแคปซูลที่ถูกทิ้งร้างตั้งปรากฏอยู่ตามขอบเหมืองทั้งแปดทิศ
สถานนีแห่งนี้เองก็เต็มไปด้วยยักใย กับเศษซากทรายที่ถมกองสูงเช่นกัน
“แปลก…”
บุรุษเผ่ามนุษย์นกหน้าตาคมคายประดุจเทพบุตร มีขนประดับกายสีขาวบริสุทธ์ กำลังยืนพูดกับตัวเองด้วยความสงสัย
ตรงหน้าของเขาเต็มไปด้วยซากศพแมงมุมกับหนอนทราย ที่ดูสดใหม่เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่ายี่สิบตัว
พวกมันมีขนาดตั้งแต่หนึ่งเมตรไปจนถึงหกเมตร เต็มไปด้วยบาดแผลจากกระสุนพลังงานความร้อนสูงที่ถูกเล็งยิงใส่ส่วนสมองควบคุมร่างกายอย่างแม่นยำราวกับจับวาง
ตรงหน้าของซากสัตวืจำนวนมาก มียานเหาะสีเงินรูปเหยี่ยวจำนวนสามลำ กำลังลอยตัวบินเพดานต่ำพร้อมส่งเสียงครางอันน่ากลัวออกมา
บนปีกสีเงินที่ดูน่าเกรงขาม มีปืนลำแสงชนิดเล็งเป้าไม่ต่ำกว่าสองกระบอกต่อปีก สะท้อนแสงไฟจากดวงอาทิตย์เทียมจนเห็นเป็นเงาของมัจจุราช ที่พร้อมจะลงเคียวแย่งชิงวิญญาณของศัตรูที่ผ่านเข้ามาในระยะยิงของมัน
“มีอะไรแปลกหรืออัลดีไฮน์? ”
“จะให้พวกเราช่วยอะไรหรือเปล่าอัลดีไฮน์? ”
ชายเผ่ามนุษย์นกอีกสองคนกระโดดลงมาจากยาน เพื่อลงมาดูเพื่อนของเขาที่กำลังสำรวจซากสัตว์ที่พึ่งถูกสังหารไป
“พวกเรามาถึงที่เหมืองนี้ได้วันกว่าแล้ว มีทั้งเจอพวกแมงมุมกับหนอนทะเลทรายโจมตี แต่ก็ผ่านมาได้อย่างปลอดภัย”
“แล้วมันไม่ดีหรือเพื่อน? ”
“… มันดูง่ายเกินไปนะสิ คีโตน วะนิลีน”
บุรุษอินทรีย์ขาวตอบสหายของตัวเองด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
“ภารกิจ [เปิดเหมือง อาเทม] คือภารกิจที่ทางรัฐบาลเผ่ามนุษย์มดทำไม่สำเร็จมานานหลายชั่วอายุคน เพราะไม่สามารถเอาอาวุธหนักมาแย่งชิงพื้นที่เหมืองคืนจากพวกอสูรร้ายแห่งทะเลทรายได้ นี่คือข้อมูลที่พวกเราได้รับมา จริงไหม? ”
“ใช่”
“ถูกต้อง”
“เราได้ยินมาว่าที่เหมืองเต็มไปด้วยไอพวกนี้ที่เป็นระดับโตเต็มวัย มีคิดเอาไว้ว่าคงได้เจอระดับตัวสูงเท่าตึกเดินกันเต็มเหมือง แต่นี่อะไร? อย่าว่าแต่ระดับสูงเท่าตึกเลย ที่เจอมีแต่ระดับตัวอ่อนที่ยังโตไม่เต็มวัยทั้งเลยไม่ใช่หรอกเรอะ? ”
บุรุษเหยี่ยวใช้ปลายเท้าของตัวเองเขี่ยลงบนซากของแมงมุม
“ตามปกติเจ้าพวกนี้มันรักลูกของตัวเองจะตายไป ถ้าเราฆ่าลูกของมัน เวลานี้ควรได้เห็นหน้าพ่อแม่ของพวกมันแล้ว แต่นี่กลับไม่โผลหัวมาซักตัวเลย! ถ้าบอกว่าทั้งฝูงมีแต่ตัวอ่อนแบบไอพวกนี้ทั้งหมด ป่านนี้พวกรัฐบาลมดมันได้ส่งคนมาเปิดเหมืองด้วยตัวเองไปแล้ว นี่ยังไม่นับเรื่องที่ของหลาย ๆ อย่างในเหมืองยังทำงานได้อยู่ด้วยนะ! มันจะแปลกเกินไปไหมเนี่ย!? ”
“คิดในแง่ดี ข้อมูลที่พวกรัฐบาลมดมีมันเก่าเก็บเป็นหลายสิบปีแล้วไม่ใช่หรือ? เวลาผ่านไป พวกสัตว์ร้ายอาจทิ้งรังจนเหลือแต่พวกตัวเล็ก ๆ ไปแล้วก็ได้แล้วมั้ง? สวนเรื่องดวงอาทิตย์เทียมกับเครื่องจักรที่ยังทำงานได้ คงต้องบอกว่าของยุคก่อนสร้างมาแข็งแรงดีนั่นละ”
“ขอให้เป็นแบบนั้นทีเถอะ”
อัลดีไฮน์ ตอบสหายของตัวเองด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจเท่าไหรนัก
เพราะสิ่งที่เขากลัว ไม่ใช่เรื่องที่ว่าข้อมูลที่มีเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด
“ถ้าไม่ใช่ว่าพวกรัฐบาลมดมันตั้งใจปกปิดบางอย่างเอาไว้ละนะ”
แต่เขากลัวการถูกหลอกใช้มากกว่า
เขาว่าเช่นนั้นแล้วกางปีกบินกลับขึ้นไปบนยานสีเงินของตัวเอง
ยานเหยี่ยวเงินทั้งสี่ลำเริ่มออกตัวบินจากสถานนีเทียบแคปซูลขนส่งที่ถูกทิ้งร้าง
บินผ่านเขตเสาขนส่งที่เต็มไปด้วยหยักใยแก้วเคลือบสารเหนี่ยวหนืดของแมงมุมทะเลทราย
บนพื้นเหมืองข้างล่างที่เต็มไปด้วยกองเนินทราย กำลังถูกเงาของยานทั้งสามลำบินฟาดผ่านไปอย่างเชื่องช้า
พวกเขามองเห็นหนอนทรายกับแมงมุมทรายเคลื่อนไหวไล่ตามเงาของยานที่บินผ่าน แต่ก็หาได้เก็บมาใส่ใจต้องหวาดระแวงอะไร
เพราะสัตว์ร้ายพวกนั้นมีความอยากรู้อยากเห็นที่ได้เห็นสิ่งมีชีวิตแปลกหน้า มากกว่าจะบุกเข้ามาโจมตีเพื่อจับกิน
“นอกจากการโจมตีที่ปากทางเข้าแล้ว ก็ไม่เจอการโจมตีระลอกใหม่เลยค่ะ กับดักอย่างใยแมงมุมเองก็ไม่ได้หนาแน่นอย่างมีนัยสำคัญ จะให้เพิ่มความเร็วยานมากกว่านี้ไหมค่ะ คุณ อัลดีไฮน์”
“บินต่อไปช้า ๆ แบบนี้ซะ เป้าหมายคือลิฟท์ขนส่งขึ้นสู่ภาคพื้นดินทางทิศเหนือ เป้าหมายแรกคือการกู้ระบบขับไล่อสูร จนกว่าจะสำเร็จ ห้ามใครลดการระวังภัยเด็ดขาด!”
“รับทราบค่ะ”
*ฟุบ*
เสียงอะไร?
คงเป็นเสียงลมพัดกระมั้ง?
บุรุษเหยี่ยวขาวคิดเช่นนั้นแล้วหันไปมองจอฉายภาพตรงหน้าต่อ
*วีววว~*
“… ใครก็ได้ไปเช็คลมแอร์ของยานทีซิ ว่ามันเป็นบ้าอะไร ทำไมถึงส่งเสียงดังออกมาแบบนั้น? ”
“ได้ค่ะ”
เหยี่ยวขาวคิดว่าเป็นเพียงแค่เสียงลมแอร์จากการทำงานที่ผิดปกติ
แต่แล้วหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มรู้สึกบางอย่างที่แปลกประหลาด
“!!!”
ไม่ใช่แค่เขา แต่เป็นพร้อมกันทุกคนภายในยาน…
พวกเขาทุกคนล้วนต่างขนฟูฟ่องตั้งชันขึ้นมาอย่างน่าตกใจ
ปีกคู่ที่เคยเอาไว้ใช้งานถูกนำมาห่มร่างกายตัวเองอย่างหวาดกลัวตัวสั่น
นักบินของยานที่สวมแขนกลเสริมประดับติดแผงคอ เพื่อทำงานละเอียดอย่างการขับยาน ยังเคลื่อนไหวมั่วซั่วไปตามคลื่นสมองสั่งการที่กำลังสับสน
เผ่ามนุษย์นกคือเผ่าที่มีสัญชาตญาณพิเศษดีกว่าเผ่าใด ๆ
และสัญชาตญาณที่ว่านั้น มันกำลังบอกอะไรบางอย่างกับพวกเขา—
“จะ— จอดยาน! หาที่ปลอดภัยลงจอดยานเดียวนี้!”
“แต่ว่าพวกเราอยู่ใจกลางรังของหนอนทะเลทรายนะคะท่าน? ”
“ไปจอดบนยอดโรงงานหรืออะไรก็ได้! รีบหาที่ลงจอดเดียวนี้เลย!”
อัลดีไฮน์ กำลังกรีดร้องลั่น
เวลาเดียวกัน ยานที่บินตามพวกเขามาอีกสองลำก็เริ่มลดเพดานบินต่ำอย่างน่าตกใจ
“เฮ้ย!? คีโตน วะนิลีน! ทำไมยานของพวกแกมันลดเพดานบินลงจนดูเหมือนว่ากำลังจะโหม่งใส่พื้นโลกเลยวะ!”
“มันกำลังโหม่งพื้นโลกจริง ๆ นั่นละวะ อัลดีไฮน์…”
“ยานของพวกเราควบคุมไม่ได้! ไม่รู้ที่มาของสาเหตุด้วย! อัลดีไฮน์!? ช่วย—”
*ซ่าาาาาา———-*
เสียงสัญญาณจากยานเหยียวทั้งสองลำขาดหายไป พร้อมกับที่ก้อนโลหะสีเงินพุ่งปะทะใส่แท่นขุดเจาะหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเหมือง
เกิดเสียงระเบิดตามด้วยเปลวไฟขนาดใหญ่ส่องประกายขึ้น
เปลวไฟที่ลุกโชนนั้น กำลังสะท้อนอยู่ในดวงตาของเหยี่ยวขาว ประหนึ่งว่ากำลังมองดูเปลวเพลิงส่งวิญญาณของสหายตัวเอง
“คีโตน! วะนิ—”
**พรึบ!**
โลกทั้งใบของเขาได้ดับมืดลงมาในเวลาเดียวกัน
ยานเหยี่ยวเหล็กของเขาได้หยุดการทำงานอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ระบบลอยตัวทั้งยานล้วนเป็นอัมพาต แม้แต่พลังงานสำรองเองก็นิ่งสนิทราวกับถูกจับแช่แข็ง
ไฟทั้งยานดับมืดลง
ในท่ามกลางความมืด
“ฮิ ฮิ ฮิ~”
“ทำงาน~ มาทำงานให้กับราชินีของเราเถิด~”
“ทำงานตราบฟ้าดินสลาย ถวายให้แด่ราชินีแฟต~”
“ทำงานชั่วกัลปาวสาน ถวายให้แด่ผู้กล้า อาเทม~”
“” เพื่อบรรพบุรุษ “”
เขาได้ยินเสียงหัวเราะเช่นนั้นดังก้อง ก่อนที่ยานทั้งลำจะร่วงหล่นสู่พื้นโลกไปในท้ายที่สุด
MANGA DISCUSSION