***วันที่ 58 เอนมูว์ทัวร์ ปีที่ 125 ทวีป ออโรร่า ดาว ไดม่อน
ฤดูใบไม้ร่วงที่แสนเศร้า
เวลา 23:00 นาฬิกา
ณ ทุ่งร้างทางตอนเหนือของเมืองออกไปไม่ไกล
ที่แห่งนั้นมีสตรีน่ารักกำลังเดินเท้าท่ามกลางสายลมหนาวอยู่สามคน
“เทพไร้หน้า เต็นท์พร้อมไหม!? ”
[พร้อม >_©b]
“เทพไร้ขา ของกินพร้อมไหม!? ”
“มีพอกินไป 20 วันเลยละ~”
“เยี่ยม! งั้นออกเดินทางได้! ”
“แล้วเรื่องวิหารละ? ”
“เราทิ้งจดหมายเอาไว้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง~”
***
[จะออกไปหาเงินค่าซ่อมวิหารให้ ไม่จำเป็นต้องออกตามหา]
[จาก สามสาวผู้น่ารัก ลาพิส, เอโซ, แมรี่โกลด์]
***
“ตอนนี้คงได้แต่หวังว่าเจ้า [เพียวริแทน นิเคิล] จะไม่ทำตัวน่ารำคาญอย่างส่งคนออกมาตามหานั่นละนะ”
“ใครคือ [เพียวริแทน นิเคิล] หรือเทพไร้แขน? ”
“เจ้านักบวชสี่ตา นักบวชสูงสุดประจำทวีปออโรร่าในวิหารที่พวกเราพึ่งไปพังมาเมื่อวานก่อนไง”
“ออ~ นึกออกแล้ว”
สตรีทั้งสามคนพูดคุยหยอกเย้าอย่างสนุกสนานบนที่ราบอันว่างเปล่าห่างไกลจากถนนหลัก
มันคือการออกเดินทางนอกเขตตัวเมืองด้วยเท้าเปล่า
ซึ่ง— สำหรับคนบนโลกนี้ มันคือการกระทำที่โง่เขลานัก
โลกไดม่อน คือโลกที่เต็มไปด้วยสัตว์อันตรายดุร้าย
มีสัตว์มากกว่า 50% ของสายพันธุ์จากทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ที่ไม่อาจเอาชนะได้ด้วยลูกปืน
อีกมากกว่า 20% ของสายพันธุ์ ไม่อาจเอาชนะได้ด้วยรถถังหรือเครื่องบินรบ
เป็นโลกที่มีระดับความอันตรายถึงเพียงนั้น
การที่สตรีทั้งสามคนมาเดินเล่นบนกลางทุ่งหญ้าห่างจากตัวถนนหลักโดยไม่มีอาวุธหรือยานพาหนะ ก็เท่ากับเป็นการเชื้อเชิญเรียกหาความตาย
[นี่ ทุกคน มีตัวอะไรสักอย่างจ้องมองพวกเราอยู่ละ]
*กรร! *
เสียงบดฟันอันแหลมคมดังขึ้นพร้อมกับที่สตรีผมฟ้าเตือนเพื่อนของเธอ
ทุ่งหญ้าสีขาวที่แห้งเหี่ยวกำลังถูกบางอย่างแหวกแยกออกอย่างผิดธรรมชาติ
เหนือพงหญ้าที่ถูกแหวกออกเป็นสองฝั่ง มีครีบปลากำลังผุดงอกปรากฏให้เห็น
ครีบนั้นมีตั้งแต่ขนาดยาวราวสิบเซนติเมตร จะไปจนถึงสามสิบเซนติเมตร
ยืนด้วยขาที่เรียวบางคล้ายครีบปลาจำนวนสี่ครีบข้างลำตัว
มีจมูกกับปากเหมือนสุนัข แต่ทว่ากลับมีดวงตาเหมือนปลา
ฟันของมันยืดยาวแหลมคมจนไม่อาจประกบริมฝีปากได้สนิท ราวกับจะเป็นการอวดคมเขี้ยวของตัวเองให้โลกได้เห็น
[ฝูงหมาปิรันย่าบก – อาชนาริบ]
นั่นคือนามของมัน
สัตว์กินเนื้อที่มีความดุร้ายสูง อีกทั้งยังชอบรวมตัวออกล่าเป็นฝูงขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 50 ตัวขึ้นไป
สำหรับสัตว์ที่หิวโซแล้ว สตรีทั้งสามคนที่มีขนาดเล็กและดูอ่อนเยาว์ตรงหน้า คือมื้ออาหารบุพเพ่ระดับห้าดาวที่พวกมันรอคอยมาอย่างยาวนาน—
“มาแล้วสินะ”
“มื้อกลางวัน~”
[กินปลาย่างกัน (つ•̀_•́) つ]
—หรืออาจจะไม่ใช่…
ที่มุมปากของสามสาวเริ่มมีรอยน้ำลายไหลหยดย้อย
เป็นจำนวนน้ำลายที่อาจจะมากกว่าของเหล่าฝูงสัตว์ที่หิวโหยตรงหน้าเสียอีก
“— โฮ่ง!?! ”
จิตสังหาร—
มันคือจิตสังหารที่รุนแรงเฉกเช่นให้ไปเผชิญหน้ากับมังกรทมิฬ
เหล่าฝูงหมาปิรันย่าถึงกับหยุดชะงักเมื่อเห็นสามสาวไม่มีท่าทีหวั่นเกรงกลัว
กลับกันแล้ว พวกมันต่างหากที่ฝ่ายรู้สึกถึงความตายซึ่งกำลังจะมาเยือนหาแทน…
***
“เออ… หัวหน้าทาฑิมครับ คิดดีแล้วหรือครับที่มารับงานนี้? ”
“คิดดีแล้วสิวะ เงินรางวัลตั้งสามหมื่นล้านยูนิตเลยนะเฟ้ย! จะได้ล้างหนี้ทั้งหมดที่ข้ามีไปด้วยเลยยังไงละ! ”
“แต่ว่า— เล่นเอาทรัพยากรณ์กับแรงงานของบริษัทมาใช้ส่วนตัวโดยไม่แจ้งทางบริษัทแบบนี้ เดียวก็ได้เจอปัญหาทีหลังหรอกครับหัวหน้า”
“ถ้าทำสำเร็จ ตัวบริษัทก็ได้ชื่อเสียงไปด้วย พวกแกทั้งหมดก็ได้ชื่อเสียงไปด้วย ไม่ดีหรอกหรือยังไงวะ? ”
“แต่ว่าหัวหน้า ภารกิจ [ค้นหาบันทึกของวีรบุรุษ] มันอันตรายเกินไปนะครับ มีคนที่เข้าท้าทายแล้วหายสาบสูญไปไม่รู้กี่ร้อยคนแล้วนะครับ”
“ตลอดมามีแต่พวกเผ่ามนุษย์แสนอ่อนแอเข้าท้าทายไม่ใช่หรอกหรือวะ? พวกเราคือเผ่ายักษ์ เป็นเผ่านักรบเลยนะเฟ้ย! ข้านะแข็งแกร่ง! พวกแกนะแข็งแกร่ง! ทวีปป่าหินของพวกเรามันอันตรายกว่าทวีปนี้ไม่รู้กี่เท่า ไม่มีทางพ่ายแพ้ต่อภัยธรรมชาติอันจิ๊บจ๊อยของพวกเผ่ามนุษย์หรอกน่า”
ชายเผ่ายักษ์ที่มีผิวสีแดงเลือดหมูพูดอย่างมั่นใจพร้อมกับใช้กำปั้นขนาดใหญ่ทุบลงไปที่หน้าอกตัวเอง จนเกิดเสียงดังกังวาลเสมือนหนึ่งเป็นการตีกลองศึก
บนทุ่งหญ้าสีขาวอันกว้างใหญ่ มียานหุ้มเกราะที่ดูคล้ายกระทิงยักษ์กำลังวิ่งลอยเลียบเหนือพื้นอยู่สี่คัน
มันมีขนาดใหญ่โตพอที่จะบรรทุกเผ่ายักษ์ที่มีขนาดความสูงไม่ต่ำกว่าสามเมตรมากกว่าสิบคน และมังกรที่มีขนาดตัวมากกว่าห้าเมตรอีกหนึ่งตัว ได้อย่างสบาย ๆ
เป็นยานเหาะที่เปิดประทุนหลังคา มีลักษณะคล้ายกับเป็นรถบรรทุกทางการทหาร มากกว่าจะเป็นรถทัวร์เพื่อการขับชมวิวทิวทัศน์
ที่ข้างตัวรถสีเงินเหล่านั้น มีตราประทับสีดำสลักชื่อ [โฮป-คอมปะนี] ติดเอาไว้
*กรรร! *
เหล่ามังกรเกล็ดสีน้ำตาลทั้งหมดสี่ตัว ต่างส่งเสียงคำรามรับเสียงกลองศึกของทาฑิม แล้วพ่นเปวไฟสีทองขึ้นท้องฟ้าเพื่อแสดงความฮึกเฮิม
“พวกเผ่ายักษ์ก็เป็นเสียแบบนี้…”
ท่ามกลางความฮึกเฮิมของเผ่ายักษ์ที่นั่งเบียดเสียด มีชายเผ่ามนุษย์คนหนึ่งรวมอยู่ด้วย
เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีผมสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำตาลแลดูอมทุกข์ ซอยผมสั้นเหนือใบหู และสวมชุดหนังสัตว์สีดำตัวหนาเหมือนกับเผ่ายักษ์คนอื่น
“ว่าอะไรนะ เจ้าหน้าอ่อน [ออน-เอ็ซท] ? ”
“เปล่าครับ…”
ตำรวจหนุ่มไฟแรง [ออน-เอ็ซท] ถอนหายใจยาว
พวกยักษ์ที่มีแต่สมองกล้ามพวกนี้ จะเป็นกลุ่มอาชญากรได้จริง ๆ นะหรือ?
สงสัยจะถูกป้ายความผิดให้สงสัยมากกว่า…
เขากำลังคิดสงสัยเช่นนั้น
หลังจากที่เขาถูกภูติหัวแดงลูบคมไปเมื่อวานก่อน เขาก็ถูกมอบหมายงานใหม่มาให้
นั่นคือการสืบหาเบื้องหลังของ [ทาฑิม] หัวหน้าคนงานสำรวจบุกเบิกดินแดนของ [โฮป-คอมปะนี] ประจำสาขาออโรร่า
“ (เพราะเป็นตำรวจใหม่ที่ไม่ค่อยมีรู้จัก เลยถูกส่งมาเป็นสายสืบในฐานะคนงาน… แต่คนพวกนี้ดูไม่ได้ชั่วร้ายอะไรเลยแฮะ ออกจะเหมือนการรวมกลุ่มของพวกสมองกล้ามบริสุทธิ์มากกว่า… เอาเถอะ ความจริงมีเพียงหนึ่ง คนเราไม่อาจวัดเพียงแค่ภายนอกได้ งานนี้ผมจะต้องทำให้ดีที่สุด จะไม่ยอมให้ผิดพลาดเหมือนคราวตอนภูติหัวแดงเด็ดขาด!) ”
[ออน-เอ็ซท] เรียกกำลังใจให้กับตัวเอง
ยักษ์ที่มีผิวสีน้ำตาลเลือดหมูผู้นี้ กำลังถูกทางการต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรผิดกฏหมาย [คาร์นิวอย] อยู่
เพราะผู้หญิงทุกคนที่ยักษาทาฑิมเคยเข้าหาจีบ มักจะหายตัวอย่างลึกลับหลังจากนั้นในอีกไม่กี่วันถัดมา
จะถูกสงสัยมันก็ไม่แปลกหรอก…
“หัวหน้าครับ ที่ทางทิศตะวันออกจากตรงนี้ พบนักเดินทางกลุ่มหนึ่งกำลังถูกฝูง อาชนาริบ โจมตีอยู่ครับ! ”
“หืม!? แบบนี้ก็แย่สิ! ทุกคน! เคลื่อนพลไปช่วยด่วน! ”
ยักษาทาฑิมคำรามก้อง พร้อมกับกระโดดคร่อมลงบนร่างของมังกรเกล็ดสีน้ำตาล
มือทั้งสองดึงบังเหียนอย่างรุนแรง แล้วโผบินทะยานนำกองขบวนรถออกไปด้วยความเร็วสูง
*กรรรรร!! *
เสียงคำรามของมังกรแห่งภูผาดังลั่นสั่นสะท้านเหนือทุ่งหญ้าสีขาวบริสุทธิ์
ก๊าสไวไฟถูกรวบรวมสะสมที่แก้มทั้งสอง พร้อมเตรียมขบเคี้ยวฟันสร้างประกายจุดไฟสีทองทำลายล้าง
“ข้ามาช่วยแล้วเหล่านักเดินทาง! ”
ยักษาทาฑิมยืนคำรามพร้อมกับโพสท่าอย่างกล้าหาญในชุดหนังสีดำ โดยหันหลังให้พระอาทิตย์สีแดง ประหนึ่งเป็นฮีโร่ผู้ลงมาจาโปรดจากสวรรค์—
“ฮืม? ”
แต่แล้วเขากลับต้องหยุดการโพสท่าสุดเท่เอาไว้กลางคัน
ยักษาทาฑิมกำลังเอามือขยี้ตาตัวเอง แล้วเพ่งมองดูทุ่งหญ้าอีกครั้ง
ทำไม… กลายเป็นฝูงสัตว์ ที่กำลังวิ่งหนีอยู่ละนั่น?
“ไม่ปล่อยให้หนีหรอก! ”
“อาหาร! อาหารกลางวันของพวกเรา!! ”
[ทอดกิน อร่อยค่ะ :d]
*เอ๋ง!?! *
เสียงร้องเจ็บปวดของสัตว์ตัวน้อยผู้น่าสงสารยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุด
พวกมันใช้ครีบทั้งสี่ที่ภาคภูมิใจในการไล่ล่าเหยื่อ สับขาวิ่งหน้าตั้งเท่าที่กล้ามเนื้อของมันจะทำไหว
ใช้ร่างกายที่เพรียวผอมบาง มุดแทรกไปกับพงหญ้าทึบหน้า หวังว่ามันจะช่วยอำพรางตัวตนจากนักล่าผู้เหี้ยมโหด
[ตัวที่ 40~]
ประหนึ่งดั่งมีดวงตาทิพย์
สตรีผมสีฟ้าที่มีผ้าปิดตาวิ่งแทรกผ่านพงหญ้า มุ่งตรงใส่เป้าหมายได้ราวกับมองเห็นเด่นชัด
ใช้ขาที่เรียวบางขาว วาดขาจากล่างขึ้นบน แตะใจกลางลำตัวจนลอยขึ้นท้องฟ้าสูงสิบเมตร
“ถอดเกล็ดค่ะ”
ระหว่างที่ปลาตัวนั้นลอยใจกลางอากาศ ได้มีสตรีผมเหลืองปรากฏตัวขึ้นตรงร่างของปลาตัวน้อยผู้โชคร้าย
เธอใช้ปีกที่ดูแข็งและแหลมคม ฟาดฟันลงไปบนตัวของปลา จับแล่ออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยใจกลางอากาศ
แยกกระดูก เครื่องใน ถอดเกล็ด จนเหลือเพียงแค่ส่วนเนื้อแดงหวานช่ำอย่างสวยงาม ประหนึ่งราวกับเป็นงานศิลป์ชั้นยอดที่เกิดจากเซฟมือหนึ่งแห่งวงการอาหารมาจัดทำแล่เนื้อปลาให้
“เปลวไฟ”
“ข้าขอวิงวอนต่อเปลวไฟจากเพทผู้รังสรรค์”
“ขอวิงวอนต่อเทพเจ้าแห่งอาหาร”
“โปรดมอบเปลวไฟอันร้อนแรงให้กับเราผู้นี้”
“เปลวไฟแห่งการทำอาหาร— ไฟย่างปลา~”
ภูติหัวแดงที่สวมเพียงผ้าคาดหน้าอกท้าลมหนาวเอยเอื้อนออกเสียงร่ายมนต์ตราอย่างไม่มีความจำเป็น
พริบตานั้นเปลวไฟจักผุดก่อตัวเหนือใจกลางอากาศ
ควบคุมความแรงอย่างเหมาะเจาะ ย่างเฉพาะส่วนนอกให้กลิ่นหอมของไขมันลอยพุ้ง ปิดผิว แล้วกักเก็บส่วนหวานฉ่ำเอาไว้อยู่ภายใน
เพียงพริบตาเดียว ปลาย่างสุกหนึ่งที่ก็ถูกเตรียมเสร็จสรรพพร้อมทาน
และปลาที่ว่านั้น ก็มีจำนวนมากถึงสี่สิบตัววางกองเรียงรายอยู่บนจานที่ปูวางเอาไว้บนพื้นทุ่งหญ้าด้านหลังพวกเธอ
“ยังเหลืออีก 10 ตัว ละ~”
“เก็บมาย่างให้หมดทั้งฝูง อย่าให้เหลือ! ”
“อะไรกันวะเนี่ย…”
ทาฑิมมองดูสามสาวล่าฝูงหมาปิรันย่าอย่างสงสัย
ไม่ต้องพึ่งอาวุธและใช้กำลังกายล้วน ๆ ในการล่าสังหาร
นี่เขากำลังฝันอยู่หรืออย่างไรกัน…
แถม— ดูเหมือนพวกเธอจะปราถนาล่าให้หมดทั้งฝูงเสียด้วย
[อ๊ะ? สัมผัสรูปร่างแบบนี้? เจ้ายักษ์ที่มาจีบเมื่อวันก่อนนี่?]
ในตอนนั้นเองที่สตรีผมสีฟ้ารู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของยักษาผู้มาช่วยเหลือ
เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทั้งที่ดวงตามองไม่เห็น
เวลาเดียวกัน ยักษาทาฑิมก็นึกถึงใบหน้าที่ตัวเองไม่อาจลืมลงได้
“เฮ้ย… นั่นมันยัยหนูตาบอดเมื่อวันก่อนนี่หว่า!?! ”
ใบหน้าของสตรี— ที่เคยส่งเขาไปท่องเที่ยวท้องฟ้ายามตรีเมื่อวันนั้น
MANGA DISCUSSION