ณ ดินแดนเหมืองแร่ทางตอนเหนือของทวีปแห่งความแห้งแล้ง
ที่แห่งนี้มีหลุมกว้างขนาดใหญ่ปรากฏเผยให้เห็นอยู่บนผืนทะเลทราย
หลุมนั้นกว้างจนสามารถมองเห็นได้จากบนอวกาศ
เป็นหลุมที่มีผู้คนและหุ่นยนต์ทำงานเช้าเย็นมากกว่าสองล้านชีวิต
เสียงขุดเจาะที่ดังก้องนี้ไม่เคยมีวันหยุดเงียบ
สายส่งสินแร่ดิบไม่เคยหยุดเคลื่อนวิ่งเลื่อนไหล
โรงงานถลุงไม่เคยหยุดเตาไฟอันร้อนแรง
แสงสว่างมิเคยดับสูญไปจากเหมือง
เป็นเหมืองแร่ที่มีกำลังการผลิตสินแร่เป็นอันดับต้นของโลก
แต่ทว่าเหมืองแร่ที่มีค่าแห่งนี้ กลับเต็มไปด้วยอันตรายทั้งจากในและนอกเหมือง
ภายนอกเหมืองคือรังของสัตว์ร้ายแห่งทะเลทรายที่หิวโหย
หากใครเผลอขุดออกนอกเส้นทาง หรือเขตปลอดภัยแม้แต่เพียงก้าวเดียว ก็อาจตกกลายเป็นเหยื่อของธรรมชาติ
ส่วนภายในเหมืองเอง ก็ยังเต็มไปด้วยเหล่าโจรร้ายที่หวังรวยทางลัดจากการดักปล้นชิง
หากว่าใครโลภมาก เผลอตัวไปขุดแร่นอกเขตปลอดภัยที่อยู่ใต้การควบคุมของภาครัฐ มันผู้นั้นมักจบลงด้วยการถูกกลุ่มโจรดักปล้นชิงสินแร่อันมีค่า ก่อนจะถูกปลิดชีวิตทิ้งให้กลายเป็นสารอาหารแก่ผินดินอันแห้งแล้งแห่งนี้ไป
“ด้วยเหตุนี้ เหมืองแร่ทางภาคเหนือจึงเป็นสถานที่ ที่ดีต่อการฝึกต่อสู้และเอาตัวรอด ทั้งจากภัยธรรมชาติและจากสังคมไปพร้อมกัน ”
เรากำลังอธิบายให้ทุกคนฟัง ถึงเหตุผลที่ต้องพามาฝึกไกลถึงเหมืองแร่ที่ว่านี้
“โอ๊ว~! ฟังดูน่าตื่นเต้นจังเลยค่ะพี่เอโซ!”
“การฝึกจะกินเวลาทั้งหมด 7 วัน โดยเริ่มจากการฝึกต่อสู้เป็นหลัก ถ้าผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำได้ เราจะให้ฝึกเรื่องจิตใจเป็นลำดับถัดไป เข้าใจไหมหนูไซน์ เจ้าหนุ่ม ออน”
“เข้าใจค่ะ!”
“เออ… แล้วทำไมผมถึงถูกจับมาฝึกด้วยอีกคนละครับ…? ”
“ว่างอยู่ไม่ใช่เรอะ? ไม่ดีหรือไงที่จะได้รับวิชาดี ๆ ติดตัวไปใช้ในงานหลักของตัวเอง? ถ้าอยากเก่งกาจเหมือนพวกเราก็จงหุบปากแล้วฟังไปซะ!”
“คะ— ครับผม!… (ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้นเสียหน่อย) ”
“แอบบ่นอะไรงุบงิบ ได้ยินอยู่นะเออ”
“ข– ขออภัยครับนายท่านหญิง!”
เจ้าตำรวจหนุ่มยืนตัวตรงขานรับเราด้วยเสียงอันดัง
ตอนนี้พวกเรากำลังยืนอยู่ตรงพื้นที่ส่วนบนพื้นดิน ในส่วนรอยต่อระหว่างเขตเหมืองกับเขตพื้นที่ทะเลทรายนอกเหมือง
จากตรงนี้ ถ้าเดินก้าวออกจากเขตแนวรัศมีหอคอยสีเทาทรงกรวยคว่ำออกไป พวกเราจะเริ่มถูกสัตว์ร้ายในทะเลทรายแห่งนี้เข้าจู่โจมในทันที
เพราะแบบนี้ เลยทำให้แถวนี้ไม่มีคนอื่นเดินผ่าน นอกจากพวกเรา
“เออ… ถ้าไม่เป็นการรบกวนพวกคุณ ขอข้าน้อยฝึกวิชาด้วยอีกคนจะได้หรือไม่เจ้าค่ะ? ข้าน้อย… ต้องการพลังที่จะใช้เพื่อช่วยเด็ก ๆ ของข้าน้อยออกมาเจ้าค่ะ”
“หืม? ”
อะไร? แม่กระต่ายสาวคนนี้อยากจะฝึกด้วยอย่างงั้นเรอะ?
ถึงจะไม่อยู่ในแผนการแต่แรก แต่ถ้าปล่อยให้ว่างจนเปลี่ยนใจบุกไปหาโนอาร์ตอนนี้คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหรนัก
“เชิญตามสบาย”
ถึงจะนอกแผนไปหน่อย แต่คราวนี้เราจะใจดีเป็นพิเศษสอนวิชาให้กับแม่กระต่ายคนนี้ด้วยก็แล้วกัน
ในปัจจุบัน แม่กระต่ายสาวได้กลายเป็นทาสทางความคิดของเราเป็นที่เรียบร้อย
หลังจากที่เธอได้อ่านข้อมูลของเราที่เป็นเบาะแสเดียวที่มี เธอก็ยอมที่จะทำตามคำสั่งของเราทุกแทบทุกอย่าง
ตอนนี้เธอได้มองว่าเราคือความหวังเพียงหนึ่งเดียว ที่จะสามารถช่วยเหล่าเด็ก ๆ ไซบอร์ก ของเธอได้
การใช้ข้อมูลเพื่อควบคุมผู้คนให้ทำตามที่สั่ง— มันช่างให้ความรู้สึกที่ดีเป็นบ้า
“เอาละ ก่อนจะฝึก เรามาเริ่มทำความรู้จักกับพื้นฐานของวิชาก่อน”
“พวกเราเรียกมันว่าวิชาแห่งสำนัก [จูนิเบียว แห่ง ทาคานาชิ ริกกะ] ”
“…”
อะไรคือสำนัก [จูนิเบียว แห่ง ทาคานาชิ ริกกะ] กันฟะ?
เราหันไปมองเจ้าสหายหัวแดงที่พูดแทรกขึ้นมาอย่างไร้มารยาทด้วยความสงสัย
ยัยนั่นหันมามองเราพร้อมกับขยิบตาให้เป็นเชิงว่า “ชื่อเจ๋งเป้งไปเลยใช่ไหมล่า~”
เจ๋งเป้งบ้านมารดาเอ็งสิยะ!
“ว๊าววววว! มีชื่อสำนักด้วย!”
“สำนัก [จูนิเบียว แห่ง ทาคานาชิ ริกกะ] …เอาจริงดิ? ”
“ข้าน้อยจะจดจำชื่อสำนักนี้เอาไว้เจ้าค่ะ”
พวกเอ็งสามตัวไม่ต้องเชื่อที่ยัยบ้านี่พูดออกมาก็ได้ยะ!
แต่พอเห็นแววตาที่เชื่ออย่างจริงจังของทั้งสามคนแล้ว คำคัดค้านมันก็จุกอยู่ในลำคอไปเสียนี่…
“เออ… วิชานี้ คือการว่าด้วยการใช้พลังงานที่ซ่อนเร้นในร่างกายเพื่อการต่อสู้”
เราพูดไปพร้อมกับหยิบแท่งโลหะยาวหนึ่งเมตรออกมาปักลงบนผืนทราย
“ปกติแล้วสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ไหน ๆ ล้วนต่างเป็นส่วนประกอบของธรรมชาติ ความแข็งแรงมักขึ้นอยู่กับมวลกล้ามเนื้อ หรือเกิดจากการฝึกฝนความแข็งแรงตามขีดจำกัดของร่างกายที่จะฝึกฝนได้ของเผ่าพันธุ์นั้น ๆ ”
เช่นว่าเผ่ามนุษย์มดมีดีเรื่องการรับสัมผัสด้วยคลื่นสมองกับกลิ่น และมีร่างกายที่เบา ถึงจะเปราะบางแต่ก็แข็งแรงอย่างน่าเหลือเชื่อ
เผ่ามนุษย์ เผ่ายักษ์ เผ่าคนแคระ ที่แข็งแกร่งได้โดยมวลกล้ามเนื้อจากการฝึกฝนร่างกาย
เผ่าภูติกับเผ่าเอลฟ์ ที่มีความพิเศษของอวัยวะในการรับสัมผัสคลื่นพลังงานเวทมนตร์
เผ่านางไม้ที่มีพื้นฐานร่างกายไม่ต่างจากพืชไม้
เผ่าปีศาจที่เกิดจากกระบวนการซับซ้อนของการผสมกลายพันธุ์ระหว่างเผ่า
เผ่าลิซาร์ดแมนที่เกิดมามีเกล็ดแข็งหุ้ม และมีข้อได้เปรียบเรื่องมวลกล้ามเนื้อ
เผ่ามนุษย์นกที่ถึงจะอ่อนแอ แต่ได้รับปีกในการบินบนท้องฟ้ากว้างเป็นการชดเชย
เผ่ามนุษย์สัตว์ที่มีพื้นฐานร่างกายในภาพรวมสูงกว่าเผ่าอื่น ๆ
แม้แต่เผ่าโพรแคริโอตที่แทบไม่มีใครสนใจ ก็ยังมีความสามารถในการดำรงเอาชีวิตรอดด้วยความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยอยู่ภายในสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างเงียบ ๆ
“ธรรมชาติล้วนแล้วแต่สร้างเผ่าต่าง ๆ ให้มีคุณสมบัติร่างกายแตกต่าง มีสามัญสำนึกในวิชาต่อสู้แตกต่างกัน อย่างเช่น การงอท่อเหล็กตันแท่งนี้ให้บิดเบี้ยว คงมีแต่เผ่ายักษ์ เผ่าคนแคระ กับเผ่าลิซาร์ดแมน ที่สามารถงอด้วยมือเปล่าได้”
เราพยายามใช้ปีกของตัวเองบิดท่อ แต่ก็ไม่สามารถงอมันได้
ต่อให้เปลี่ยนไปให้กรงเล็บขาบิด ก็ไม่สามารถทำอะไรท่อเหล็กนี้ได้ นอกจากทำให้มันเกิดรอยแมวข่วน
“แต่ด้วยความฉลาดของสติปัญญาที่ค้นพบชุดต่อสู้ [Battle suit] จึงทำให้ความแตกต่างเหล่านี้ถูกทำลาย และสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถเคลื่อนไหวได้เกินสามัญสำนึกปกติ”
คราวนี้เราหยิบกระดาษเปล่าแผ่นบางมาถือเอาไว้ในมือ
“การทำงานของชุด [Battle suit] คือการจำลองโครงสร้างเซลล์เทียมจากสิ่งมีชีวิตที่ผู้สร้างชุดคิดว่าแข็งแกร่ง แล้วใส่พลังงานเข้าไปในชุดเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหว นั่นคือหลักการทำงานที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอย่างพวกเราเคลื่อนไหวเหนือสามัญสำนึกได้— แต่รู้หรือไม่ว่า แท้ที่จริงแล้วทุกสิ่งมีชีวิต มิได้จำเป็นต้องพึ่งพาชุดเสริมพลังเหล่านั้นเลย”
*ฉับ!*
เราใช้กระดาษเปล่าที่ถือในมือฟันใส่แท่งเหล็ก
ทั้งที่กระดาษเปล่าไม่ควรจะสามารถฟันแท่งเหล็กตันให้ขาดครึ่งได้ แต่ทว่าแท่งเหล็กนั้นกลับขาดออกเป็นสองท่อน
รอยตัดผ่านของแท่งเหล็กเต็มไปด้วยกลิ่นไหม้ฉุนที่ร้อนจนเป็นสีแดงฉาน
ส่วนกระดาษที่เราใช้ตัดมันนั้น ได้ถูกพลังงานความร้อนบางอย่างแผดเผามอดไหม้หายไปจนสิ้นแทน
“ถ้าสามารถควบคุมพลังงานที่ซ้อนเร้นนี้ได้ อย่าว่าแต่เหล็กเลย แม้แต่โลหะที่แข็งแกร่งที่สุดในจักวาล ก็สามารถใช้เท้าเปล่าของเจ้าบดขยี้ให้เป็นชิ้น ๆ ได้เช่นกัน”
“พี่เอโซสุดยอด!”
“ทะ— ทำได้ยังไงครับ!? ”
“นี่มัน… หลักการคล้ายกับวิชากำหนดจิตและสมาธิเลยเจ้าค่ะ”
เจ้าลูกเจี๊ยบทั้งสามคนต่างมีท่าทีตอบสนองแตกต่างกันออกไป
ไซน์ที่ตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น
นายตำรวจหนุ่มที่มองดูแท่งเหล็กถูกกระดาษตัดอย่างไม่เชื่อสายตา
แม่สาวกระต่ายที่พูดพึมพำกับตัวเองเสมือนว่าเคยได้เรียนรู้หลักวิชานี้มาก่อน
เราไม่แปลกใจสำหรับกรณีของแม่กระต่ายสาว
เพราะว่ามารดาผู้ให้กำเนิดเธอนั้น อดีตเป็นถึงผู้กล้าของเผ่ากระต่าย ที่เราเคยเฝ้าดูมาก่อนในยุคที่ตัวเองยังเป็นเทพเจ้า
มารดาของเธอถือว่าเก่งเอาเรื่องเลยละ
ในเผ่ากระต่ายนั้นมีวิชาของนักฆ่าที่ถูกถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
ในตอนที่เราเป็นเทพเจ้าเองนั้นยังถึงกับแปลกใจ ที่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำสามารถเข้าถึงหลักวิชาแห่งการกำหนดสัมผัสจิตวิญญาณในขั้นต้นได้สำเร็จ
ไม่ว่าจะวิชา [ลมปราณ] การเดินพลัง [ชี่] การกำหนด [จิต] หรือจะเรียกว่าอะไรก็สุดจะแล้วแต่
ล้วนต่างมีจุดเริ่มต้นเดียวกันคือเข้าให้ถึงสิ่งต้นกำเนิดตัวตนของเรา
[พลังวิญญาณ]
“ก่อนอื่นขอเตือนก่อนว่าวิชานี้เป็นการเรียกพลังงานที่ซ่อนอยู่ภายใต้กายเนื้อให้ออกมาสู่มิติแห่งความเป็นจริง มันคือก้อนมวลพลังงาน มันไม่ได้ทำให้เรามีร่างกายแข็งแรงเพิ่มหรืออะไรทั้งสิ้น เหมือนอย่างกระดาษที่ถูกเผาไหม้ไป ถึงจะได้รับพลังอำนาจมาจนสามารถตัดเหล็กได้ แต่ธรรมชาติของกระดาษเป็นฉันใด ก็ย่อมเป็นฉันนั้น ร่างกายของพวกเจ้าก็เช่นเดียวกัน ถ้าใช้อย่างไม่ระวัง มันจะเป็นร่างกายเนื้อของพวกเจ้าเสียเองที่จะถูกทำลายทิ้งไปจนเหลือเพียงแต่กายวิญญาณ”
“ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร แต่จะพยายามค่ะ!”
“ครับ!”
“เจ้าค่ะ!”
“การฝึกขั้นต้นที่เราจะสอนในช่วง 7 วันแรก คือการให้สามารถรับรู้สิ่งที่เรียกว่า [พลังงานซ้อนเร้น] นี้ให้ได้ก่อน”
ว่าแล้วเราก็ขยิบตาไปทางแมรี่โกลว์กับลาพิส—
“ZZz”
[ZzZz]
— “ตื่น! ทั้งสองคนเลย!”
“เหวอ! ถึงเวลากินข้าวแล้วหรือ!?!”
[สวัสดียามเช้าค่ะ O_=]
“เช้าบ้านเธอสิยะ! แมรี่ รีบขุดหลุมสำหรับฝึก! ส่วนลาพิส เธอรีบไปเตรียมตัวเป็น [นักล่า] เดียวนี้! มันได้เวลาฝึกแล้ว!”
***
ผมกำลังมองดูพวกสามสาวเริ่มทำอะไรสักอย่างที่ดูแปลกประหลาด
คุณเอโซให้คุณแมรี่ขุดหลุมบนทะเลทราย จนมันกลายเป็นหลุมกว้างขนาด 30 เมตร ที่มีความลึกมากกว่า 50 เมตร
มันเป็นหลุมที่แทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับการปีนกลับขึ้นมา
พอขุดหลุมเสร็จ เธอก็ให้คุณลาพิสลงไปยืนอยู่ที่ใจกลางหลุมเพียงคนเดียว
หลุมที่ไม่มีวันปีนกลับขึ้นมา กับคุณลาพิสที่ให้รับบท [นักล่า] ยืนอยู่ใจกลางหลุม
อย่าบอกนะว่า…
“จะมัวยืนบื้ออะไรกันตรงนี้ รีบตามลงไปข้างล่างสิยะ!”
“แว๊ก!? ”
ผมถูกเธอถีบส่งลงมาจากข้างบนอย่างไม่ทันตั้งตัว
ก้นหลุมที่ดูน่ากลัวกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ใบหน้ามากขึ้นทุกชั่วขณะ
“อุฟ! ทรายเต็มหน้าเลย… นี่มันหมายความว่ายังไงครับ?!”
“อ่าว? นึกว่าจะรู้ตัวแล้วเสียอีก ว่าจะให้ทำอะไรต่อ”
*ฉัวะ!*
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด!!!”
เหมือนว่าจะมีอะไรสักอย่างคล้ายเลือดกระเด็นลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
แขนขวาขนปุยสีดำของคุณควอตซ์กำลังหลุดกระเด็นเป็นวิถีโค้ง ก่อนจะร่วงตกลงมากองอยู่ตรงหน้าของผม
พอหันกลับไป ก็พบว่าที่ด้านข้าง มีร่างของคุณควอตซ์กำลังนอนดิ้นทุรนทุรายในสภาพเลือดท่วมอยู่บนพื้น
ทั่วทั้งร่างของเธอถูกหมัดของสตรีผู้งดงามกระหน่ำใส่ไปทั่วจนยุบและบอบช้ำ หักผิดรูปอย่างน่าสยอดสยอง
ส่วนหนูไซต์ที่ยืนยิ้มมาได้จนถึงเมื่อกี้ กำลังตกใจภาพตรงหน้า จนตัวแข็งทื่อเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว
“เออ…”
คุณลาพิสกำลังฆ่าคุณควอตซ์
ฆ่าแบบสด ๆ ด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเลือดเย็นโดยไม่พูดจาอันใด
“ไม่ต้องห่วง ลาพิสยั้งมือเอาไว้แล้ว แค่นั้นไม่ถึงตายหรอก ส่วนแขนที่ขาดไป เดียวแมรี่โกลว์จะทำการรักษาให้เอง~”
นี่คือ [ยั้งมือ] แล้ว…
“เออ… คุณเอโซครับ คือว่าผมต้องการคำอธิบายเพิ่มเติมครับ…”
“ให้ตายสิ”
คุณเอโซที่กำลังกางร่มและปูเตียงนอนชายหาดอยู่ตรงปากหลุมได้หยุดมือของตัวเอง แล้วหันลงมามองทางผมอีกครั้ง
“คือแบบนี้ ไอวิชาที่เรียกว่าการเข้าถึงพลังงานซ้อนเร้นเนี่ย จริง ๆ คือการเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่า [พลังวิญญาณ] นี่แหละ แต่มันต้องใช้การบําเพ็ญเพียร ใช้ความเข้าใจที่มีต่อธรรมชาติ ชีวิต และความเข้าใจต่อโลกของคนตาย เป็นสิ่งที่ต้องฝึกนานนับสิบนับร้อยปีเลยรู้ไหม? ”
“เออ… ครับ…? ”
“แต่มันมีวิธีลัดอยู่อย่าง คือไอสิ่งที่เรียกว่า [พลังวิญญาณ] เนี่ย ถ้าได้ตายสักครั้ง ก็จะได้รับประสบการณ์ตรงเลยละ ว่าสิ่งที่เรียกว่า [วิญญาณ] มันมีหน้าตาเป็นยังไง”
เฮ้ย…
พูดแบบนี้ อย่าบอกนะว่า—
“เพราะงั้นเลยคิดจะฝึกด้วยวิธีลัด ด้วยการทำให้อยู่ในสภาพวิญญาณหลุดออกจากร่าง จนกว่าพวกเจ้าจะจดจำสัมผัสของวิญญาณได้ยังไงละ”
*กร๊อบ–!!*
หลังจากนั้นไม่ถึง 10 วินาที ผมก็เห็นโลกทั้งใบกำลังกลับตาลปัตร จากการถูกมือของสาวสวยบิดหักคอ 360 องศา จากทางด้านหลังอย่างไม่ทันรู้ตัว
ภาพที่เห็นในชั่วเวลาสุดท้ายของสติสัมปชัญญะ คือภาพของหนูน้อยไซต์ที่กำลังถูกลาพิสลูบหัวอย่างอ่อนโยน
เหมือนจะเห็นอะไรสักอย่างที่คล้ายกับแสงไฟวิญญาณลอยติดมือของเธอออกมาจากหัวของหนูไซต์ด้วย
เออ… เดียวนะ?
ถ้าทำแบบนั้นในการดึงวิญญาณออกจากร่างได้ แล้วจะจับหักคอผมไปเพื่ออะไรกันฟะ!!
MANGA DISCUSSION