สองวันต่อมา
***วันที่ 23 เรตนิว เวลา 8:00 น.***
“ตื่นได้แล้ว วันนี้พวกเราจะออกเดินทางไกลกัน แถมต้องไปเจอแม่สาวกระต่ายวันนี้ด้วย”
เรากำลังเดินไล่งัดเจ้าพวกขี้เซาทั้งหลายให้ลุกขึ้นจากเตียงนอนอันแสนนุ่มฟู
ไซน์ก็ดี ลาพิสก็ดี แมรี่โกลว์ก็ดี
มีแต่พวกขี้เซาทั้งนั้น
จะมีก็เจ้าตำรวจหนุ่ม ออน ที่ตื่นเร็วกว่าใครอยู่เพียงคนเดียว
มันตื่นเร็วกว่าเราเสียอีก
เจ้าหนุ่มนี่ทั้งมาตระเตรียมอาหารเช้า เตรียมชุด แล้วยังจัดของพร้อมเดินทางไกลโดยไม่จำเป็นต้องออกคำสั่ง
สวมชุดสูทสีดำประจำอาชีพพ่อบ้านได้อย่างเนียบสมบูรณ์ แล้วยังมีกริยามารยาทงามสมรูปลักษณ์
ทำอาหารเก่งกาจ ชงชาได้อร่อย แม้แต่ของแปลก ๆ เมื่อวันก่อนยังหาทางเอามาผสมกันจนเป็นอาหารหรูได้สำเร็จ
เรียกได้ว่าถ้าเปลี่ยนอาชีพมาเอาดีทางด้านนี้ คงได้กลายเป็นพ่อบ้านในตำนานอย่างแน่นอน
“งืม~ ง่วงอ่า~”
“วันนี้จะไปทำอะไรกาน~”
[Zzz (= =) zzzZ]
“ไปที่เหมืองแร่ทางภาคเหนือ เจ้าหนูไซน์ เธอพูดเองนะว่าอยากมากับพวกเรา ถ้าเธอไม่มีฝีมือเอาตัวรอดมากพอ คงได้ตายไม่สักวันใดก็วันหนึ่ง ไหน ๆ ช่วงนี้ก็ว่างอยู่ เราจึงคิดว่าน่าจะพาไปฝึกกันสักหน่อย แต่ถ้าไม่อยากฝึก จะนอนต่อก็ได้นะ”
” –!!! ตื่นค่ะตื่น!”
เจ้าหนูผมสีขาวกำลังตาโตเบิกกว้างด้วยความดีใจ
เธอลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว แล้วทำการปูกลับให้เรียบร้อยด้วยตัวเอง ก่อนจะวิ่งฝุ่นตลบไปทางห้องอาบน้ำ
อีหนูเอ๊ย~
พอหันมาเทียบกับสหายรักอีกสองคนตรงนี้—
” Zzzz”
หลับต่อเป็นที่เรียบร้อย…
” ส่วนพวกเธอสองคน… ไม่ใช่ว่าเคยตกลงกันเอาไว้แล้วว่าจะออกไปวันนี้ไม่ใช่หรือ? มาทำเป็นหลับต่อแบบนี้ แสดงว่าลืมไปแล้วสิเนี่ย? ”
“… อ๊ะ? ”
” ไม่ต้องมา [อ๊ะ?] เลย! รีบเตรียมตัวเดินทางกันเดียวนี้! ช่วยเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กมันหน่อยสิยะ!”
เราพลิกเตียงให้ล้มพลิกคว่ำเพื่อปลุกพวกเธอ
ยัยพวกนี่นี้มันน่า— นัก…
***หลังจากนั้นราว 30 นาที***
ณ สถานนีแคปซูลขนส่งทางไกล
มันคืออุโมงค์ที่มีลักษณะคล้ายกับเป็นท่อนำส่งขนาดใหญ่
อุโมงค์นี้มีผิวโค้งมน วิ่งยาวต่อเนื่องไปไกลประหนึ่งเป็นหลุมที่ทอดยาวลึกลงสู่ขุมบาดาล
ทั่วทั้งอุโมงค์เต็มไปด้วยสนามพลังงาน จนเห็นเป็นคล้ายกับมีผืนน้ำบาง ๆ ถูกเติมจนเต็มรอบด้าน
วัตถุที่ดูคล้ายแคปซูลเรือดำน้ำจำนวนมาก ต่างกำลังว่ายเวียนพร้อมกับบรรทุกผู้คนไปตามกระแสอันเชี่ยวกรากของคลื่นพลังงานที่ว่า
ณ ตัวสถานนีที่พักรอ ที่สร้างให้คล้ายกับท่าเทียบเรือสัญจร
พวกเรามาถึงที่นัดหมายกับแม่สาวกระต่ายในช่วงเวลาเช้ามืดตอนราว 8:30 น.
ท่ามกลางแสงไฟอ่อน ๆ จากไฟส่องสว่างของสถานี มีสตรีผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้เราจากในเงามืด
” สวัสดีค่ะ ข้าน้อยทำตามสัญญาให้แล้วเจ้าค่ะ”
” ขอบคุณมากที่เหนื่อย ในชิบนี้มีข้อมูลเบาะแสของเด็กไซบอร์กที่เธอตามหาอยู่”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“แต่ขอแนะนำว่าตอนนี้อย่าพึ่งลงมือแย่งเด็กกลับมาจะเป็นการฉลาดกว่า”
“เจ้าค่ะ? ”
เธอดูสับสนเล็กน้อยกับคำแนะนำของเรา
มันไม่แปลกหรอก
“เอาเป็นว่าอย่าไปแหวกหญ้าให้งูตื่นตอนนี้ โอกาสเดียวที่จะช่วยเด็กไซต์บอร์กของเธอ คือวันเฉลิมสิ้นปีของโลก ที่ผู้นำทุกชาติต้องออกมาแสดงตัวคำปฏิญาณ ถึงตอนนั้นพวกเราจะยื่นมือเข้าไปช่วยเธอเอง”
“แต่ว่าถ้ามัวชักช้า—”
“ลองอ่านข้อมูลที่เราให้เจ้าก่อนแล้วจะเข้าใจเอง เด็กพวกนั้นปลอดภัยดี คนร้ายไม่ได้มีเป้าหมายที่ชีวิตของพวกเด็ก ๆ หรอก ขอแนะนำว่าช่วงนี้ให้เธอมาเดินทางพร้อมกับพวกเราก่อนดีกว่า”
” — เจ้าค่ะ”
เราโกหกเธอไปเสียครึ่งหนึ่ง
ข้อมูลเบาะแสที่ให้ไปคือข้อมูลจริง ที่เราเอามาจากการสอบถามวิญญาณบรรพบุรุษที่เป็นมารดาของเธอ
แต่เรื่องที่ว่าพวกเด็ก ๆ ยังปลอดภัยดี อันนี้เกิดจากการคาดเดาของเราเอง
เด็ก ๆ จะเป็นหรือตาย เอาจริงเราไม่รู้เลย
แต่ชีวิตของเด็กไซบอร์กพวกนั้นมันไม่เกี่ยวกับเราเสียหน่อย
ความจริงคือเรายังไม่อยากให้เธอไปยุ่งกับโนอาร์ในเวลานี้
เพราะโอกาสดี ๆ ที่จะได้กินพลังงานวิญญาณระดับสูงอย่างโนอาร์มันหายากมาก
ถ้าเธอคนนี้เข้าไปช่วยเด็กไซบอร์กมาได้ก่อน โอกาสงาม ๆ ที่จะเข้าแทรกแทรงมันก็จบกันพอดีสิจริงไหม?
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการคืนสู่ความเป็นเทพเจ้าให้เร็วยิ่งขึ้น
มาคิดดูแล้ว เรานี่ช่างชั่วร้ายเสียจริง
วะ ฮะ ฮะ ฮะ!
พอเห็นว่าสามารถทำให้แม่สาวกระต่ายหยุดอยู่ภายใต้สายตาของเราสำเร็จ เราก็เริ่มเดินตรงไปที่แคปซูลแก้วขนาดยักษ์ตรงหน้า
เราพาแม่สาวกระต่ายไปซื้อตั๋วที่นั่งเพิ่มจากนายสถานี แล้วพาเดินตรงไปที่นั่งที่พวกเรากำลังรอคอยอยู่
*เวลา 8:45 น. ขบวนโดยสารที่ 845 พร้อมออกเดินทางค่ะ*
เสียงสังเคราะห์ดังก้องสะท้านไปทั่วสถานี
สะพานเทียบยานถูกยกขึ้นสูง แล้วดึงร่นเก็บสู่ตัวชานชลา
ยานแคปซูลที่ถูกยึดด้วยท่อดูด ถูกปล่อยตัวออกพร้อมเสียงอากาศขับดันที่ไหลผ่านตามสาย
แรงสั่น แรงสะท้อน สัมผัสตัวในสภาวะไร้น้ำหนักเข้าโถมจู่โจมกาย
*ออกเดินทาง*
พริบตานั้น วิวทิวทัศน์รอบตัวฉับพลันเลื่อนลอยไหลผ่านกลายเป็นเส้นแสง
แคปซูลแก้วขนาดยักษ์กำลังเคลื่อนตัวไหลไปกับกระแสอันเชี่ยวกราก
มองเห็นกระแสไฟฟ้าที่สั่นเปรี๊ยะรอบเปลือกแก้ว จนดูคล้ายเป็นเรือดำน้ำที่กำลังวิ่งผ่านวังน้ำวนใต้บาดาล
ด้วยความเร็วระดับนี้ อีกราวครึ่งชั่วโมงน่าจะไปถึงที่หมาย—
“Zzz”
“zz”
[zZz]
—หลับกันหมด…
เราหันหลังไปมองตามเสียงกรน
หนูไซน์กำลังนอนบนตักของลาพิสด้วยรอยยิ้ม
ลาพิสแขวนป้ายที่เขียนอักษร zZz เอาไว้ตรงคอ แล้วหลับตานอนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ส่วนเจ้าแมรี่โกลว์ เธอกำลังเอนตัวนอน ทำเนียนเอามือลูบหัวของเจ้าหนูไซน์อีกที
“…”
ทำเป็นไม่เห็นไปก่อนแล้วกัน
เราหันไปมองทางแม่สาวกระต่าย
เธอกำลังนั่งอ่านข้อมูลที่เราให้ไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่
ส่วนเจ้าหนุ่มตำรวจที่นั่งติดกับเธอ มันกำลังหันรีซ้าย หันรีขวา ราวกับหวาดกลัวว่ามีใครกำลังสะกดรอยตามมา
วิตกจริตไปได้
ถ้ามีจริงละก็ ไอนักสะกดรอยคนนั้นคงไม่มีทางหลุดรอดสัมผัสของลาพิสไปได้หรอก
“ว่าแต่ว่างจังแฮะ”
เราที่เบื่อ ๆ เลยลุกขึ้นมาเดินไปส่วนตู้ขายสินค้า ที่ตั้งอยู่ช่วงกลางของแคปซูล
ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มตำรวจจะเดินตามมาด้วย
มันเลี้ยวเข้าห้องน้ำไปแล้ว
*แพร่ด! *
อือหือ— ทั้งเสียงทั้งกลิ่น!
นี่เอ็งเล่นกินควายทั้งตัวเป็นอาหารเช้าหรือยังไง!?!
ตรงช่วงส่วนกลางของแคปซูล มีร้านค้าตั้งปรากฏอยู่เรียงราย
มีห้องน้ำ มีโต๊ะอาหาร รวมไปถึงลู่วิ่งออกกำลังกาย
เรียกได้ว่ามีความสะดวกครบเครื่อง จนทำเป็นโรงยิมขนาดย่อมได้
” ไม่มีชารสขมขายเลยแฮะ”
เราที่หยุดยืนอยู่หน้าตู้กดอัตโนมัติกำลังถอนหายใจด้วยความเสียดาย
ส่วนบริการที่ไม่มีน้ำชารสขมขายนะ มันก็เป็นได้แค่ร้านระดับล่างเท่านั้น!
“โอ๊ว~ แม่สาวนกน้อย มาทำอะไรที่นี่คนเดียวหรือจ๊ะ? ”
ใคร…?
เราหันไปตามเสียงที่ดังมาจากข้างหลัง
ที่ข้างหลังของเรา มีวัยรุ่นเผ่ามนุษย์นกสามคนกำลังยืนล้อมเราเอาไว้อยู่
พวกเขามีขนสีขาวเรียงตัวสวย ตัวสูงใหญ่ และมีแผงขนคอฟูฟ่องดั่งพญาอินทรี
ทั้งสามคนล้วนแต่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาประหนึ่งเป็นเทพบุตรจากสวรรค์
แต่ทว่าความประทับใจแรกที่เรามีต่อบุรุษวัยรุ่นทั้งสามคน คือกลิ่นเหม็นฉุนของน้ำหอมที่ต้องทำให้ย่นจมูกอย่างบิดเบี้ยว
“ว่าไงนกน้อยผู้น่ารัก สนใจจะมาดื่มกับพวกพี่ชายไหมจ๊ะ~? ”
” ไม่ค่ะ”
ไม่อยากเสวนากับพวกงี่เง่าให้เสียเวลาแม้แต่กระบิดเสี้ยววินาที
เราใช้ปีกที่แข็งกระด้างปัดปีกสีขาวของเขาที่กำลังยื่นเข้ามาหมายโอบไหลจนกระเด็นออก
“โอ๊ย!? อะไรเนี่ย? ปีกแข็งชะมัด!”
“ปีกแข็ง? หรือว่าจะเป็นพวกพิการ? ”
” พวกที่ถูกทอดทิ้งจาก [ท่านท้องฟ้า?] ”
เจ้าพวกสารเลวกำลังจ้องมองมาทางเราด้วยสายตาดูถูกดูแคลน
อีกแล้ว…
สายตาแบบนี้อีกแล้ว…
ไม่ว่าจะผ่านไป 1,000 ปี หลังจากที่เราตายไปเป็นเทพ
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย
เผ่าปักษาก็ยังเป็นพวกงี่เง่าที่ให้ความสำคัญกับเรื่องงี่เง่าไม่เคยเปลี่ยนแปลง
[การบิน] คือความภาคภูมิใจอันสูงสุดของเผ่าปักษา หรือที่รู้จักในปัจจุบันว่าเผ่ามนุษย์นก
ผู้ที่บินไม่ได้ ผู้ที่เกิดมามีขนปีกแข็งกร้าว หนักไปด้วยมวลกล้ามเนื้อ พวกเขาเหล่านั้นคือความอัปยศของเผ่า
พวกเขามักจะถูกเรียกว่า [เหล่าคนที่ถูกทอดทิ้งโดยท่านท้องฟ้า]
“ว๊าย ๆ ~ ช่างน่าสงสาร~”
“บินไม่ได้แบบนี้คงทรมานมากเลยสิน้า~”
“มามะ มาให้พวกพี่ปลอบใจ~ พวกพี่ไม่ดูถูกเธอที่บินไม่ได้หรอกน้า~”
น่าหงุดหงิด
ทำเป็นเวทนาสงสารแต่กลับเห็นจิตใจที่ยิ้มเย้ยหยันอยู่ใต้หน้ากาก
มันทำให้เรานึกถึงความทรงจำแย่ ๆ ของครอบครัวกับพี่น้องที่ทิ้งให้เราหิวตายตั้งแต่แรกเกิด
สั่งสอนเจ้าพวกบ้านี้สักทีดีไหม?
ทำเอากระดูกหักสักสองสามท่อนคงไม่ผิดกฎหมายหรอกใช่ไหม?
” ขอโทษนะครับ พอดีว่าเธอมากับผมนะครับ”
ในตอนนั้นเองที่มีเสียงคุ้นหูดังขึ้น
ชายในชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากห้องน้ำที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
เขาเข้าแทรกกลางเจ้าพวกโง่ แล้วถือวิสาสะเอามือขวาจับปลายปีกที่คมและแข็งราวใบมีดจนแน่นไม่ยอมปล่อย
“แกคือ? ”
“กระผมคือเพื่อนของเธอ ถ้าไม่เป็นการรบกวน คงต้องขอตัวพาเพื่อนผมกลับก่อนนะครับ”
ทั้งที่เจ้าหนุ่มนี่สูงเพียงช่วงหน้าอกของชายสามคนตรงหน้า แต่สายตาของเขากลับดุดัน แล้วหันไปเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ
“เด็กเผ่ามนุษย์? ”
“กระผมอายุ 18 ไม่ใช่เด็กแล้วครับ”
เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ
ชายสามคนที่ล้อมพวกเราเริ่มกระตุกมุมปากขึ้นสูง
” ฮะ ฮะ ฮะ! เผ่ามนุษย์ผู้ใหญ่นี่ไม่ใช่ว่าสูงราว 180 เซนติเมตรกันหรือยังไง!? ”
“ไอเตี้ยเผ่ามนุษย์กับผู้ถูกทอดทิ้งเผ่าปักษา เข้ากั้น~ เข้ากัน~”
“เอ้า! ทั้งขบวนรถมาฉลองให้กับคู่รักของพวกเราหน่อยเร็ว!”
เกิดเสียงหัวเราะลั่นดังไปทั่วส่วนของห้องบริการ
พอดูให้ดี เหมือนว่ารอบ ๆ นี้จะเต็มไปด้วยผู้โดยสารเผ่ามนุษย์นกแทบทั้งสิ้น
แถมพวกมันยังสวมชุดพนักงานของ [โฮป-คอมปะนี] เหมือนเจ้ายักษ์โง่หัวแดงตัวนั้นด้วย
เราหันไปมองใบหน้าของเจ้ามนุษย์หนุ่ม
มันหน้าแดง ตัวสั่นเทาไปด้วยความโกรธ
แต่กระนั้น มือที่จับปลายปีกของเราก็ยังคงอ่อนโยน ไม่ได้บีบแน่นแรงขึ้นตามอารมณ์โกรธของตัวเอง
“…”
ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
เขารีบสะบัดหน้าหลบเสียงหัวเราะ แล้วเดินพาเราหนีออกมาจากห้องบริการอย่างรวดเร็ว
พวกเราเดินเคียงคู่กันมาโดยไม่ปริปากพูดใด ๆ จนกระทั้งไม่ได้ยินเสียงหัวเราะจากห้องบริการอีกต่อไป
“ทำไมถึงมาช่วย? รู้ไม่ใช่หรือว่ากับอีแค่วัยรุ่นกระจอกสามคน มันไม่พอมือเราคนนี้หรอก”
“ทำไมคุณถึงไม่โกรธครับ? ”
“ฮืม? ”
เขาหยุด
หยุด แล้วหันมามองหน้าของเราด้วยใบหน้าที่กลายเป็นสีแดง
“ทั้งที่ถูกพวกเขาดูถูกดูแคลนขนาดนั้น ทำไมคุณถึงยังทนได้ละครับ!”
ไม่โกรธ?
นายเข้าใจเราผิดแล้ว
ช่าย~ เราไม่โกรธเลยสักนิด~
ไม่โกรธ แต่รำคาญจนจะเข้าไปหักกระดูก ถอนขนออกมาแทนต่างหาก~
“แล้วทีเจ้าละ? เจ้าเองก็อดทนไม่โกรธ แล้วเดินหนีออกมาเหมือนกันไม่ใช่หรือ? ”
“ถ้าไม่ได้เห็นว่าคุณกำลังอนทนอยู่ ผมกระโดดชกหน้าใส่พวกมันไปแล้วครับ!”
” นี่แกใส่ใจความรู้สึกของเราขนาดนี้เลยเรอะ? ”
” มันก็แหง่สิครับ! พวกเราต่างเป็น [เพื่อน] กัน! แล้วจะให้ผมที่บังเอิญเดินผ่านไป ทำเป็นมองไม่เห็นเพื่อนที่กำลังถูกดูแคลนได้ยังไงกันครับ!”
เจ้าหมอนี่?
เจ้าหมอนี่กำลังโกรธแทนเรา?
ทำไม?
เพราะว่าเป็น [เพื่อน] ?
เรากับเจ้าหมอนี่ไปเป็นเพื่อนกันตอนไหน?
ก็แค่คนรู้จักกันชั่วคราวที่บังเอิญมาเจอหน้ากันไม่ใช่หรอกหรือ?
“… ขอบคุณมาก เรื่องมันจบแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ”
” ครับ…”
เจ้ามนุษย์หนุ่มคนนี้ สงสัยว่าน่าจะมีอายุสั้น
เขาแคร์คนอื่นมากจนเกินไป
ขนาดกับเราที่แทบไม่ได้สนใจอะไรเขา แล้วยังหาเรื่องแกล้งใช้งานเขา มันยังมาสนใส่ใจความรู้สึกของเราเลย
ทนไม่ได้เมื่อเห็นถูกต่อว่า
เข้ามาช่วยทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องขอ
พยายามอดทนอดกลั้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่คิดเอาเรื่องคนที่ดูถูก
คนที่ชอบช่วยชาวบ้านไปทั่วแบบนี้ มักจะอายุสั้นอย่างน่าตกใจ
ที่สำคัญ คือมันกล้าที่จะเรียกเราผู้นี้ว่าเป็น [เพื่อน]
“…”
ตัดสินใจแล้ว
คราวนี้ นอกจากฝึกวิชาให้เจ้าหนูไซน์ จับเจ้ามนุษย์หนุ่มผู้ซื่อตรงคนนี้มาฝึกด้วยอีกคนดีกว่า
สิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจบริสุทธิ์สองคน กับเทพผู้มีจิตใจชั่วร้าย
เราจะย้อมผ้าขาวที่มองโลกง่าย ๆ ของพวกเอ็งสองคนให้กลายเป็นสีดำเสีย
ผลของการฝึกจะออกมาเป็นยังไงนะ?
ชักจะน่าสนุกเสียแล้วสิ
หุ หุ หุ~
MANGA DISCUSSION